ตอนที่ 510 ชื่นชอบนางหรือ ?
“คุณชายหยอกล้อข้าเยี่ยงนี้มิรู้สึกว่าเกินไปหรือ ? ”
อันหลิงเกอยกยิ้มเล็กน้อยแต่มิคิดว่าประโยคต่อไปของฟางหลิงซู่จะทำให้นางหมดคำพูด
“ข้ามิรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องล้อเล่น เพราะเท่าที่ข้าทราบคือประมุขหอสดับพิรุณก็ชื่นชอบเจ้ามิใช่หรือ เหตุใดข้าฟางหลิงซู่จึงรู้สึกเยี่ยงนั้นบ้างมิได้ ? ”
ได้ฟังน้ำเสียงของฟางหลิงซู่ที่มีความจริงจังก็ทำให้อันหลิงเกอมิรู้ว่าควรทำเยี่ยงไร
ในตอนที่เขาเอ่ยถึงหอสดับพิรุณนั้น อันหลิงเกอรู้สึกประหลาดใจอย่างบอกมิถูก เขาและหอสดับพิรุณมีความสัมพันธ์อันใดต่อกัน ?
อันหลิงเกอไม่มีทางเชื่อเขาเพียงเพราะคำพูดมิกี่ประโยค และนางยังรู้สึกแปลกในคำกล่าวของเขาอีกด้วย
“ฟางหลิงซู่ เจ้า…”
“เรียนคุณชาย อ๋องมู่มาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอเตรียมพูดบางอย่าง ทว่าจู่ ๆ เสียงของอาโผก็ดังจากนอกศาลา
มู่จวินฮานมาถึงแล้ว !
อันหลิงเกออดระส่ำระสายมิได้
เมื่อเห็นสีหน้าคาดไว้แล้วของฟางหลิงซู่ อันหลิงเกอก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงอันตราย
“มู่จวินฮานมาจริงสินะ”
ฟางหลิงซู่ลุกขึ้นยืนแล้วลงบันไดไปพร้อมมองบุรุษที่เดินเข้ามาทีละก้าว
“มู่จวินฮาน…”
อันหลิงเกอยืนอยู่ข้างกายฟางหลิงซู่ ครั้นเห็นเงาที่เดินเข้ามาทีละก้าวของมู่จวินฮานก็อดตะโกนเรียกชื่อเขามิได้
“คุณชายฟางให้เกียรติเชิญมา ข้าต้องมาอยู่แล้ว”
ฟางหลิงซู่ยกยิ้ม จากนั้นก็มองไปยังอันหลิงเกอที่อยู่ข้างกาย ทันใดนั้นเขาก็ดึงนางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด
อันหลิงเกอมิทันได้ตั้งตัวเท้าก็ลอยขึ้น แต่เมื่อตกมาในอ้อมกอดของเขาก็ยิ่งทำให้นางรังเกียจมากขึ้น
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ! ”
สิ้นสุดเสียงของอันหลิงเกอมินาน เงาของมู่จวินฮานก็ลอยตัวลงมา ฟางหลิงซู่คาดเดาไว้แล้วว่ามู่จวินฮานต้องลงมือ เมื่อครู่จึงลองหยั่งเชิงอีกฝ่าย !
กล่าวกันว่าอ๋องมู่เป็นแค่ขุนนาง ทว่าตอนที่กระโดดขึ้นเมื่อครู่ ฟางหลิงซู่รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าจ้าวหลานหยู่มิรู้กี่เท่า
อาโผยืนอยู่ด้านข้างเพราะไร้คำสั่งของฟางหลิงซู่จึงมิมีทางลงมือ
แต่นางยังแปลกใจอยู่มิน้อย วันนี้อันหลิงเกอพบนางแล้วมิได้เผยเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้น
หรืออีกฝ่ายจดจำความเกลียดชังในวันนั้นมิได้แล้วหรือ ?
อันหลิงเกอและนางต่างรู้ดีแก่ใจว่าการลอบสังหารเมื่อสองสามวันก่อนเป็นความตั้งใจของนาง แน่นอนว่าละเมิดต่อความตั้งใจของหอพิษกู่โดยสิ้นเชิง
“คุณชายระวัง ! ”
ในตอนที่อาโผกำลังจมอยู่กับความคิด คมกระบี่ของมู่จวินฮานก็ฟาดลงมาที่ปลายคางของฟางหลิงซู่ อาโผรีบรุดขึ้นหน้าแต่ถูกฟางหลิงซู่ขวางไว้
เวลาเดียวกันฟางหลงซู่ก็ปล่อยตัวอันหลิงเกอ
“ทักษะการต่อสู้ข้าคงสู้อ๋องมู่มิได้จริง ๆ ”
เขายื่นมือและผลักอันหลิงเกอออกไป การกระทำเมื่อครู่ทำให้เข้าใจความสามารถของมู่จวินฮานมากขึ้น จ้าวหลานหยู่เอาชนะอีกฝ่ายมิได้ก็สมเหตุผล
แม้ฝีมือของจ้าวหลานหยู่มิแย่ แต่ความสามารถในการคาดเดาจิตใจคนด้อยกว่า มิอาจเทียบกับความระแวดระวังของมู่จวินฮาน หากต้องเผชิญหน้าย่อมสู้มู่จวินฮานมิได้แน่
“ในเมื่อเป็นเยี่ยงนี้ หมิงซินอยู่ที่ใด ? ” อันหลิงเกอพยายามทรงตัวอยู่ข้างมู่จวินฮาน จากนั้นก็มองฟางหลิงซู่และเอ่ยถาม
ครั้งนี้ฟางหลิงซู่มิได้แสดงแววตาเจ้าเล่ห์อีก แต่มองไปทางอาโผปราดหนึ่ง
“พาตัวออกมา”
ในใจของอันหลิงเกอรู้สึกกังวล นางกลัวว่าจักมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นกับหมิงซิน หลังจากฟางหลิงซู่เผชิญหน้ากับมู่จวินฮานแล้วนางได้ทำการตรวจชีพจรของเขาและพบว่ามิมีความผิดปกติจึงวางใจ
“หมิงซิน ! ”
อันหลิงเกอเห็นหมิงซินค่อย ๆ เดินออกมาทีละก้าวภายใต้การผลักไสของอาโผ
โชคดีที่อีกฝ่ายมิได้เป็นอันใด เด็กสาวผู้นี้อยู่กับนางมาหลายปี หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นอันหลิงเกอคงรับมิได้
“พระชายา ! ”
หมิงซินเห็นเจ้านายแล้วดวงตาก็แดงก่ำ แต่ถูกอาโผมัดเชือกไว้แน่นจึงมิสามารถวิ่งมาหาได้
“หมิงซิน ข้ามาพาเจ้ากลับจวน”
อันหลิงเกอกล่าวด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม หมิงซินอายุยังน้อย เมื่อพบเจอเรื่องเหล่านี้ย่อมเกิดความมิสบายใจ อันหลิงเกอเข้าใจดีและด้วยเหตุนี้จึงอบอุ่นและอ่อนโยนมากเป็นพิเศษ
“ฟางหลิงซู่ปล่อยนางเดี๋ยวนี้”
อันหลิงเกอก้มหน้าลง จากนั้นน้ำเสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นมาในอากาศ
“อันหลิงเกอ จงให้ของสิ่งหนึ่งแก่ข้าและข้าจักปล่อยนางไป”
“ของอันใด ? ” อันหลิงเกอเอ่ยปากได้มินาน นางก็รู้สึกว่าตนร้อนใจเกินไป
“เลือดของเจ้า”
เลือดของนาง ?
อันหลิงเกอคิดว่าฟางหลิงซู่ต้องแฝงความหมายบางอย่างไว้ คาดมิถึงว่าเขาต้องการแค่เลือดของนางจริงๆ
“ได้ ข้าจักให้ ! ”
อันหลิงเกอดึงกริชออกมาแล้วทำการกรีดข้อมือ หมิงซินขี้ขลาดพอเห็นภาพนี้จึงหลับตาทันที
อาโผถือถ้วยลายครามที่เตรียมไว้แล้วเดินเข้ามา
โลหิตของนางหยดลงถ้วยลายครามทำให้แววตาของอาโผและฟางหลิงซู่ลุกวาว
“เอาล่ะ ปล่อยพวกนางไป”
อันหลิงเกอคาดมิถึงว่าเป็นแค่การตกลงง่าย ๆ เยี่ยงนี้ ทั้งหมดล้วนมิใช่นิสัยของฟางหลิงซู่สักนิด
อันหลิงเกอมองมู่จวินฮาน พอเห็นอีกฝ่ายแสดงสีหน้าสงสัยจึงมิได้คิดอันใดมากและมิได้เดินไปยังประตูใหญ่ ทว่าพามู่จวินฮานกระโดดขึ้นบนกำแพงเมื่อครู่
ส่วนชิงเฟิงยังยืนอยู่ด้านล่างของกำแพง ดูเหมือนเป็นกังวลมิน้อยและพอได้ยินการเคลื่อนไหวจึงเงยหน้าขึ้นจนเห็นอันหลิงเกอและมู่จวินฮานนั่งอยู่บนกำแพง
“ท่านอ๋อง พระชายา ! ”
ชิงเฟิงแสดงสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด ส่วนในตอนที่อันหลิงเกอนำตัวหมิงซินขึ้นมาบนกำแพงนั้นเขาตกใจจนแทบพูดมิออก
พวกเขาพาหมิงซินกลับมาได้อย่างมิน่าเชื่อ
“เรากลับกันเถิด”
อันหลิงเกอตบบนไหล่ของหมิงซินเบา ๆ จากนั้นก็นำมือของสาวใช้วางลงในมือของชิงเฟิงและยกยิ้มอย่างพอใจ
“เจ้าดูแลต่อเถิด”
หลังพวกนางจากไป หนานกงหลิงเยว่ก็เดินออกมาและฟางหลิงซู่วางถ้วยเมื่อครู่ลงเบื้องหน้าของญาติผู้น้อง
เมื่อเห็นถ้วยใบนั้นดูดซับเลือดจนเหลือเพียงส่วนเล็ก ๆ หนานกงหลิงเยว่ก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ
“ใช่นางจริงหรือเจ้าคะ ? ”
ดูท่าแล้วอันหลิงเกอเป็นคนที่พวกตนตามหา
“อืม”
ฟางหลิงซู่ตอบกลับเบา ๆ มิรู้ว่าดีใจหรือเสียใจ
ส่วนอาโผที่ยืนอยู่ด้านข้างก็มองไปยังทั้งสองตลอดเวลา เรื่องเมื่อครู่นางมิค่อยแน่ใจแต่คาดมิถึงว่าอันหลิงเกอเป็นคนที่พวกตนรอคอยมาโดยตลอด
…
“ดูเหมือนนางเป็นผู้สาปแช่งตระกูลฟางของเราจริง…” ในตอนที่ฟางซั่วได้ยินอาโผรายงานก็อดขมวดคิ้วมิได้
“เอาล่ะ เจ้าออกไปได้”
ตอนนี้แววตาของฟางซั่วพราวระยับและมิรู้ว่ากำลังคิดเรื่องใดอยู่
“เจ้าค่ะ”
อาโผมิได้ถามให้มากความ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับหอพิษกู่ยิ่งรู้น้อยยิ่งดีต่อตน มิว่าเป็นคนของผู้ใดเหตุผลนี้ล้วนใช้ได้ดี
ฟางซั่วก็เป็นคนของหอพิษกู่ เพียงแต่มิใช่โดยการมีสายเลือดเดียวกัน กอปรกับเขาใกล้ชิดคนในกลุ่มหมอเทวดาและเกลียดอันหลิงเกอเข้ากระดูกดำ
ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังได้รู้ว่าอันหลิงเกอเป็นสตรีที่แคว้นชิงเยว่เคยทำนายเอาไว้