บทที่ 199 บอกแล้วไงว่ามันจะขึ้น

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

“คุณ คุณว่าผมไร้ยางอายงั้นเหรอ?!”

จางเจี้ยนถังเกือบมีอาการหัวใจวาย

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยถูกล้อเลียนมาก่อน แต่มันขึ้นอยู่ว่าใครคือคนล้อเลียนเขามากกว่า!

ถ้าเย่เทียนไม่ใช่สามีของเฉินหวั่นชิง แล้วเขาคือใคร? นับประสาอะไรถึงกล้ามาดูถูกคนอื่นแบบนี้?

เมื่อเห็นว่าบทสนทนาเริ่มไปไกล เฉินหยังจึงรีบขยิบตาให้กับเกาหยุนเสียงเพื่อสะกิดเขาให้พูดเข้าประเด็นหลัก

“ท่านจาง คุณใจเย็นหน่อย”

เกาหยุนเสียงเข้าใจสิ่งที่เฉินหยังกำลังจะสื่อ และพูดว่า “ตอนนี้จะเก้าโมงเช้าแล้วนะ อีกครึ่งชั่วโมงตลาดหุ้นก็จะเปิด เรามาจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จก่อนดีกว่า!”

“ประธานจาง ประธานเกาพูดถูกนะครับ ตอนนี้เรื่องของบริษัทสำคัญกว่า ผมว่าเราควรประกาศการลงมติคณะกรรมการของเราก่อน แล้วจัดการแถลงข่าวก่อนที่ตลาดหุ้นจะเปิด”

สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเฉินหยังก็คือการได้รับตำแหน่งผู้บริหารของบริษัท ส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง

“เดี๋ยวนะ ใครช่วยบอกทีว่าเกิดอะไรขึ้น?”

ก่อนที่จางเจี้ยนถังจะตอบสนอง เย่เทียนก็ยกมือถามก่อน

“ก็เพราะคุณไง! คุณเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์แล้วไม่ใช่เหรอ เรื่องนี้มันต้องกระทบต่อราคาหุ้นของบริษัทแซ่เฉินอย่างแน่นอน”

น้าเหมยที่เข้าข้างเฉินหวั่นชิงมาตลอดก็จ้องเขม็งไปที่เย่เทียน “ตอนนี้คณะกรรมการของเราประชุมก็เพื่อจะลงมติว่า หวั่นชิงยังเหมาะสมที่จะเป็นผู้บริหารต่อหรือไม่”

จริงที่น้าเหมยเป็นคนสนับสนุนเฉินหวั่นชิงอย่างจริงใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะชอบเย่เทียนด้วย

ก็เหมือนแม่หลายๆ คนที่ดีต่อลูกสาว แต่ไม่ได้หมายถึงจะดีต่อลูกเขยเสมอ

ยิ่งไปกว่านั้น เหตุการณ์ในวันนี้เย่เทียนเป็นต้นเหตุ สิ่งนี้ก็ทำให้เธอยิ่งเกลียดชังเย่เทียนอย่างไม่ต้องสงสัย

“อะไรนะ?”

เย่เทียนสีหน้าแปลกประหลาดและถามเฉินหวั่นชิงอย่างจงใจว่า “พวกเขาจะไล่คุณออกจากตำแหน่งเหรอ?”

จางเจี้ยนถังผู้ซึ่งไม่พอใจต่อเย่เทียนก็พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เย่เทียน ผมแนะนำให้คุณออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด! ถ้ายังรบกวนการประชุมของเรา ผมจะเรียก รปภ. แล้วนะ!”

“ผมว่าคุณแก่จนเป็นโรคอัลไซเมอร์แล้วใช่ไหม? ผมพูดชัดขนาดนี้แต่คุณไม่ได้ยินเลยเหรอ?”

เย่เทียนชำเลืองมองเขาเหมือนคนงี่เง่าคนหนึ่งและพูดอย่างน่าเกรงขาม “พวกคุณรวมหัวกันรังแกภรรยาผมแบบนี้ จะให้ผมยืนอยู่เฉยๆ ได้เหรอ?”

เมื่อได้ยินคำนี้ จี้หงยี่ที่นิ่งเงียบมาตลอดก็มองเย่เทียนเปลี่ยนไป

ในความเป็นจริง ในฐานะคณะกรรมการของบริษัทแซ่เฉิน และยังเป็นผู้สนับสนุนเฉินหวั่นชิงมาตลอด ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้พบกับเย่เทียน

ถึงอย่างไรแล้ว เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน และมีประสบการณ์ในการพบปะผู้คนมาก แต่การที่ได้พบกับในครั้งนี้ เย่เทียนทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นคนละคน

ทั้ง ๆ ที่เป็นใบหน้าอันคุ้นเคย แต่สีหน้าแววตาที่เขาได้เห็นนั้น มันช่างต่างกับเย่เทียนผู้อ่อนแอที่เขาเคยรู้จักมาก่อน

“เย่เทียน ไม่ว่าคุณจะเป็นสามีของหวั่นชิง หรือจะเป็นพนักงานคนหนึ่งของบริษัทแซ่เฉิน แต่ตอนนี้เรากำลังประชุมคณะกรรมการอยู่นะ!”

เถาเจิ้งหยันที่เงียบมาเป็นเวลานานก็เอ่ยปากพูดขึ้น “ถ้าพูดถึงเรื่องงาน คุณยังไม่มีคุณสมบัติในการเข้าร่วมการประชุมนี้ ถ้าพูดถึงเรื่องส่วนตัว คุณเคยเห็นใครพาญาติพี่น้องมาที่ประชุมเหรอ?”

“มันก็ถูกของคุณนะ แต่ถ้าผมพูดไม่ผิด ผมก็ควรจะเป็นคนสำคัญของเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ?”

เย่เทียนจะยอมจากไปง่ายๆ ได้อย่างไร เขาได้แต่คว้าหนังสือพิมพ์ขึ้นมาแล้วชี้ไปที่รูปของเขา

“ก็เพราะคุณเป็นคนสำคัญในเรื่องนี้ คุณถึงยิ่งไม่มีคุณสมบัติอยู่ต่อไง!”

ดวงตาของเกาหยุนเสียงเบิกกว้างราวกับระฆังทองแดง และเขาก็ตะโกนอย่างเสียงดังว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะคุณทำตัวเหลวไหลและปล่อยให้นักข่าวไปทำข่าวได้ พวกเรายังจำเป็นต้องมานั่งเครียดที่นี่เหรอ?”

“คุณไม่เคยละอายใจสำหรับความผิดพลาดของตัวเองบ้างเลยเหรอ? นิสัยแย่ๆ อย่างคุณจะมีสิทธิ์อะไรมาอยู่ที่นี่!”

“ตลก! ตลกจริงๆ!”

เย่เทียนไม่ได้โกรธ แต่กลับหัวเราะตอบว่า “ผมขอถามประธานเกาหน่อยนะครับ ถ้ามีใครทำผิดกฎหมาย เขาต้องการขึ้นศาลไหม? แล้วถ้าผมทำผิด ทำไมผมถึงไม่มีสิทธิ์ที่จะอธิบายล่ะ?”

“อธิบาย?”

เกาหยุนเสียงหัวเราะอย่างเย็นชาแล้วชี้ไปที่หนังสือพิมพ์ “ตอนนี้หลักฐานมัดแน่นขนาดนี้ แล้วคุณจะอธิบายอะไรอีก?”

“ประธานเกา คุณเชื่อข่าวในหนังสือพิมพ์ด้วยเหรอ?”

เย่เทียนส่ายหัวอย่างจนใจและถอนหายใจพูดว่า “ผมสงสัยจริงๆ เลยนะครับ ว่าคุณนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ได้อย่างไร? สมองอย่างคุณ ต่อให้ไปเล่นละครซีรีส์ ผมว่าชีวิตคุณอยู่ได้แค่ไม่เกินตอนหรอก”

“คุณ……” เกาหยุนเสียงรู้สึกโกรธขึ้นมาทันที

แน่นอนว่าคนที่รู้สึกประหลาดใจที่สุดก็คือเฉินหวั่นชิงที่นั่งอยู่ใกล้เย่เทียน เธอไม่นึกเลยว่าเย่เทียนจะพูดเก่งขนาดนี้ ใช้เพียงคำพูดไม่กี่คำก็สามารถทำให้เกาหยุนเสียงกับจางเจี้ยนถังโกรธจนไม่เป็นท่า

เย่เทียนยักไหล่และพูดอย่างตรงไปตรงมา “สองวันนี้ผมช่วยตำรวจไขคดีในเมืองเอก ผมไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลยด้วยซ้ำ แต่ผมสงสัยนะว่ารูปถ่ายพวกนี้มีบางคนพยายามจะใส่ร้ายผม จงใจส่งไฟล์ไปให้นักข่าว!”

“ปากอยู่ที่คุณ คุณจะพูดยังไงก็ได้”

จางเจี้ยนถังหัวเราะอย่างเย็นชา “ผมไม่สนหรอกนะว่าตำรวจจะเชิญคุณไปไขคดีที่เมืองเอกหรือไม่ ต่อให้มันเป็นเรื่องจริง แล้วหลักฐานล่ะ? แค่พูดปากเปล่า ใครไม่เป็น?”

“แต่เรื่องที่คุณทำตัวเหลวไหล หนังสือพิมพ์หลายๆ ฉบับก็ได้รายงานข่าวของคุณด้วยกัน แล้วคุณคิดว่าคุณจะปฏิเสธได้งั้นเหรอ?”

เย่เทียนส่ายหัว “ไม่ ไม่ ไม่ ผมไม่ได้จะปฏิเสธ แต่ผมไม่เคยทำด้วยซ้ำ!”

“ไม่ว่าคุณจะเคยทำหรือไม่เคยทำ แต่ตอนนี้ทุกคนเชื่อว่าคุณเคยทำแล้ว!”

เฉินหยังไม่อยากเถียงกับเย่เทียนอีก เขาเพียงแค่อยากฟังข่าวการประกาศการเลื่อนตำแหน่งของเขาเท่านั้น

เกาหยุนเสียงก็เห็นด้วย “เสี่ยวหยังพูดถูก ท่านจาง คุณอาวุโสที่สุดในที่นี้ คุณรีบประกาศข่าวเลยสิ!”

“เดี๋ยว!” เย่เทียนยืนขึ้นและหยุดเขาเอาไว้

“เหตุผลที่พวกคุณต้องการเลือกผู้บริหารคนใหม่ สาเหตุหลักก็คือกลัวราคาหุ้นของบริษัทตกเท่านั้น แต่ว่า……”

“ตอนนี้ตลาดหุ้นยังไม่เปิด ทำไมพวกคุณถึงแน่ใจว่าราคาหุ้นมันจะตก?”

“คุณอาจจะพูดถูก แต่……”

จางเจี้ยนถังฮึดฮัดไม่พอใจ “แต่หัวข้อข่าวในหนังสือพิมพ์รายใหญ่ของทุกฉบับล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของคุณทั้งนั้น แน่นอนว่ามันต้องเป็นหัวข้อถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนในหมู่ประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงเวลานั้น……”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ น้าเหมยก็ขัดขึ้นว่า “แต่ฉันคิดว่าเสี่ยวเย่พูดถูก การเลือกผู้บริหารใหม่มันเป็นเรื่องสำคัญมาก ตอนนี้ตลาดหุ้นยังไม่ได้เปิดเลย เราจะคาดเดาไปเองไม่ได้”

เธอเป็นคณะกรรมการผู้สนับสนุนเฉินหวั่นชิงมาตลอด ต่อให้เธอไม่ได้ชอบเย่เทียน แต่สามารถดูออกว่าเธอกำลังพยายามช่วยเฉินหวั่นชิง

“นี่มันใช่การคาดเดาที่ไหน ทุกคนต่างก็อยู่ในวงการธุรกิจตั้งนานแล้ว สำหรับกระแสความวุ่นวายของผู้คน ทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่ามันจะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!”

เมื่อเสียงพูดของน้าเหมยจบลง เกาหยุนเสียงโต้กลับอย่างไม่ไว้หน้า

น้าเหมยถึงกับเงียบไปทันที

เพราะเกาหยุนเสียงพูดถูก กระแสของผู้คน โดยเฉพาะกระแสเชิงลบ มันจะส่งผลกระทบต่อบรรดานักลงทุนในตลาดหุ้นและสร้างความตื่นตระหนกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างน้องก็ทำให้พวกเขาเกิดความไม่มั่นใจอย่างแน่นอน

ถ้ามีคนนำในการขายหุ้นในสถานการณ์แบบนี้ เชื่อว่าคนส่วนใหญ่จะเทขายตาม และโอกาสที่ราคาหุ้นจะร่วงจึงมีสูงมาก

เย่เทียนโบกมือแล้วยิ้มพูดอย่างลึกซึ้ง “เหอะๆ! พวกคุณคิดว่าราคาหุ้นมันจะตก แต่ผมคิดว่าราคาหุ้นมันจะไม่ตกหรอกนะ ในทางกลับกัน มันจะพุ่งสูงขึ้น!”