กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 675
ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องอันโหยหวนและเสียงคร่ำครวญอันเจ็บปวดซึ่งอยู่ไม่ไกลจากนาง

กู้ชูหน่วนฟังออกว่าเป็นเสียงกรีดร้องของเจี้ยงเสวี่ยและเสียงคร่ำครวญของจอมมาร

“อาม่อ เจี้ยงเสวี่ย พวกเจ้าอยู่ที่ไหน?”

“พี่หญิง ข้า……ข้าอยู่ที่นี่……”

กู้ชูหน่วนพยายามดึงใบบัวออกมามองหาตำแหน่งที่อยู่ของจอมมารและเจี้ยงเสวี่ย

ในที่สุดนางก็มองเห็นและทำให้นางอดไม่ได้ที่จะตกใจและสงสาร

นั่นเป็นฉากที่ช่างน่าอดสูเหลือเกิน

เจี้ยงเสวี่ยตกลงบนใบบัวและดีดเด้งไปมาไม่หยุด ร่างกายมีเลือดไหลออกมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งเห็นได้ด้วยตาเปล่า เลือดที่ไหลหยดลงมานั้นตกลงบนใบบัวทั้งหมด ทำให้ใบบัวที่ผลิบานมีสีเขียวมากยิ่งขึ้นและสวยงาม

ม่านเกราะบัวนั้นอยู่เบื้องบนของศีรษะของเขาและเกสรตัวผู้ก็ทำหน้าที่เหมือนหนอนดูดเลือด ดูดแก่นสารและไขกระดูกของเขาอย่างต่อเนื่อง เจ็บปวดจนเจี้ยงเสวี่ยกรีดร้องอย่างโหยหวนโดยไม่คำนึกถึงภาพลักษณ์ใดๆ

จอมมารก็ไม่ต่างไปจากเจี้ยงเสวี่ยนัก เขาพยายามปัดป้อง แต่ยิ่งปัดป้องมากเท่าไรก็ดูเหมือนว่าดอกบัวและใบบัวนั้นจะยิ่งดูดเลือดรุนแรงมากยิ่งขึ้น

แม้แต่จอมมารที่เป็นยอดฝีมือสูงสุดระดับห้า เมื่อต้องเผชิญหน้ากับใบบัวและดอกบัวเช่นนี้ก็ไม่มีเรี่ยวแรงป้องกันได้เลยแม้แต่นิดเดียว

“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เหตุใดพวกข้าไม่เป็นอะไร แต่พวกเจ้ากลับเป็นเช่นนี้”

กู้ชูหน่วนพยายามอย่างหนักที่จะดึงดอกบัวและใบบัวเหล่านั้นออกไปและช่วยชีวิตพวกเขา แต่ก็ไร้ประโยชน์ กลับทำให้ใบบัวและดอกบัวนั้นเพิ่มความโหดร้ายยิ่งขึ้นไปอีก

เสี่ยวลู่ก็ช่วยเหลือ แต่ดอกบัวเหล่านี้เปรียบเสมือนกำแพงเหล็ก และไม่ว่าจะฉีกดึงหรือเผาทำลายอย่างไรก็ไร้ประโยชน์

เมื่อเห็นว่าเจี้ยงเสวี่ยและจอมมารต้องสูญเสียเลือดและแก่นสารในร่างกายออกไปมากและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ กู้ชูหน่วนจึงพยายามฝืนบังคับให้ตัวเองต้องเข้มแข็งและสงบขึ้น

“พี่หญิง……ข้า……ข้าเจ็บ……”

ร่างกายของกู้ชูหน่วนสะดุ้งขึ้นกะทันหันจากการกัดนิ้วมือของตัวเองให้ขาด เพื่อให้เลือดสดหยดลงไปบนใบบัวและดอกบัว

เมื่อดอกบัวและใบบัวที่ดุร้ายเหล่านั้นได้ดูดกินเลือดสดของกู้ชูหน่วน ความดุร้ายนั้นก็หายไปในพริบตาและไม่ดูดกินพวกเขาทั้งสองคนอีกต่อไป แต่กลับเก็บเกสรดอกบัวและใบบัว จากนั้นปล่อยให้เจี้ยงเสวี่ยและจอมมารตกลงไปในสระบัวโดยไม่ทำร้ายพวกเขาอีก

กู้ชูหน่วนรีบเข้าไปประคองจอมมารที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและกล่าวด้วยความเป็นห่วง “อาม่อ เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง?”

“เจ็บ……เจ็บเหลือเกิน”

จอมมารยื่นมืออันขาวนวลสวยงามออกไปทั้งสองข้าง มือทั้งสองข้างของเขาเป็นเพราะเสียเลือดไปมาก จึงทำให้ซีดเซียวและไม่มีเลือดฝาดเลยแม้แต่นิดเดียว รวมไปถึงมีรอยย่นเกิดขึ้นบ้างเล็กน้อย

รูม่านตาสีฟ้าและสีม่วงของเขาหรี่ลงเล็กน้อยและในที่สุดก็กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง

ทำให้หูของกู้ชูหน่วนสั่นสะเทือนและเกือบจะพลั้งเผลอลงมือจัดการจอมมารกระเด็นออกไป

“มือของข้า……เหตุใดมือของข้าถึงมีรอยเหี่ยวย่น? เช่นนั้นแล้วใบหน้าของข้าล่ะ ใบหน้าของข้าก็มีริ้วรอยเหี่ยวย่นด้วยใช่หรือไม่?”

จอมมารรีบจับสัมผัสใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาและรีบเดินหนีออกห่างจากกู้ชูหน่วน

แต่เป็นเพราะสูญเสียเลือดมากจึงทำให้ยืนไม่มั่นคงและเกือบจะล้มลงไป

กู้ชูหน่วนประคองเขาเอาไว้และกอดเขาไว้พลางลูบหลังและปลอบเขา “ใบหน้าของเจ้าไม่มีริ้วรอยเหี่ยวย่น ใบหน้าของเจ้ายังสวยงามดังเดิม หยุดร้องโวยวายได้แล้ว ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสที่ฆ่าไม่ตายเหล่านั้นของเผ่าเพลิงฟ้าจะไล่ตามมาหรือไม่ หากยังร้องโวยวายเช่นนี้ต่อไป พวกเขาจะต้องตามมาเจออย่างแน่นอน”

“มือของข้าเหี่ยวลงแล้ว ใบหน้าของข้าจะไม่เหี่ยวย่นจริงหรือ?”

“เจ้าไม่เชื่อคนอื่น หรือว่าเจ้าไม่เชื่อข้าด้วยอย่างนั้นหรือ? ข้าเคยโกหกเจ้าด้วยหรือ?”

“เอ่อ……ดูเหมือนว่าท่านโกหกข้าอยู่บ่อยครั้งไป”

“จริงหรือ เหตุใดข้าถึงจำไม่ได้ แต่รอยเหี่ยวย่นเพียงเล็กน้อยของเจ้าจะนับประสาอะไร เจ้าดูนี่สิ……”

กู้ชูหน่วนหยิบยาขึ้นมาหนึ่งขวดและนำยามาทาลงบนฝ่ามือของเขา เดิมทีที่มีรอยเหี่ยวย่นออกมาเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อนางถูไปมารอยเหี่ยวย่นนั้นก็ค่อยๆ หายไป

มือของเขายังคงนุ่มนวลและอ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อน และยังมีกลิ่นจางๆ และหัวใจที่ตึงเครียดของจอมมารก็โล่งใจ

“นี่คือยาอะไร เหตุใดถึงมีประโยชน์มากเช่นนี้ พี่หญิง ท่านให้ข้าได้หรือไม่?”

“ได้”

ไม่ง่ายเลยที่จะพูดเกลี้ยกล่อมจอมมารสำเร็จ กู้ชูหน่วนหันไปมองเจี้ยงเสวี่ย ทั้งสองสบตากันโดยไม่พูดอะไร

เจี้ยงเสวี่ยราวกับเพียงหายใจก็แก่ลงกว่าสิบปี ใบหน้าขาวซีดเซียวและเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น แม้แต่ดวงตาก็ยังตกลง ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงเลยสักนิด

นี่หรือคือคนวัยหนุ่ม……

เมื่อมองออกไป คาดว่าคงมีอายุไม่ต่ำกว่าห้าสิบปีกระมัง……

จอมมารรีบหยิบกระจกบานเล็กออกมาและมองดูตัวเองในกระจกด้วยอาการสั่นเล็กน้อย

เขาไม่แก่อย่างน่ากลัวเหมือนเจี้ยงเสวี่ยเช่นนั้น เพียงแค่มีรอยย่นเล็กน้อยเท่านั้น

จอมมารถอนหายใจยาว หัวใจของเขาพองขึ้นอีกครั้ง รอยเหี่ยวย่นอันน่าเกลียดทำให้เขาแก่ขึ้นหลายปีในทันที

กู้ชูหน่วนกล่าวว่า “พอได้แล้ว หยุดส่องได้แล้ว อย่าว่าแต่เจ้ามีริ้วรอยเหี่ยวย่นเพียงเล็กน้อยเลย ต่อให้ตอนนี้เจ้าเป็นคนแก่ชรา ข้าก็ไม่รังเกียจเจ้า รอให้กลับไปยังเผ่าหยกให้ได้ ข้าจะช่วยเจ้าฟื้นฟูขึ้นใหม่และจะทำให้เจ้ากลับไปหล่อเหลาดังเดิมอย่างแน่นอน”

ถึงแม้จะพูดออกไปเช่นนี้ แต่จอมมารยังคงรู้สึกรังเกียจตัวเองเล็กน้อย เขาหยิบผ้าคลุมใบหน้าออกมาและปกปิดใบหน้าของตัวเองเอาไว้ จากนั้นพยายามอยู่ให้ห่างไกลกู้ชูหน่วนและบ่นพึมพำในปากเบาๆ

“ช่างน่าแปลกใจเหลือเกิน เหตุใดใบบัวและดอกบัวถึงเลือกทำร้ายเพียงข้าและเจี้ยงเสวี่ยเท่านั้น หรือเพียงเพราะพวกข้าไม่ใช่คนของเผ่าหยกอย่างนั้นหรือ?”

“ใช่กระมัง สระบัวนี้สร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องคนของเผ่าหยกน่ะ”

กู้ชูหน่วนนั่งลงและทำการตรวจวัดชีพจรให้กับเจี้ยงเสวี่ย

เขาถูกช่วยชีวิตเอาไว้ได้ทันจึงไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่เขาสูญเสียเลือดไปมากและแก่นสารสำคัญในร่างกายก็ถูกดูดออกมาจำนวนมาก เกรงว่าจะเป็นการยากที่จะฟื้นฟูกลับให้เป็นเหมือนเดิมในระยะเวลาอันสั้นนี้

จอมมารกล่าวว่า “เลือดของท่านสามารถควบคุมใบบัวได้ เหตุใดท่าถึงไม่รีบปล่อยออกมา ทำให้ข้าต้องเสียเลือดเป็นจำนวนมากเช่นนี้”

“ข้าก็แค่ลองทำดูเท่านั้น”

เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ กู้ชูหน่วนก็รู้สึกเหงื่อไหลออกมา

หากเลือดของนางไม่สามารถช่วยได้ เช่นนั้นนางก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะช่วยพวกเขาได้อย่างนั้น

“เจี้ยงเสวี่ย เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง ยังไหวหรือไม่?”

เจี้ยงเสวี่ยพยายามพักหน้าอย่างยากลำบาก

เขาไม่สามารถตายได้ เพียงแต่ร่างกายของเขากลับไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่นิดเดียว

“นาย……นายท่าน……” เจี้ยงเสวี่ยชี้ไปที่นายท่านของเขาอย่างสั่นเทาด้วยความกังวลที่ไม่อาจปกปิดในดวงตาของเขา

“ไม่ต้องเป็นกังวลไป เขาก็เป็นคนของเผ่าหยก ดอกบัวเหล่านี้ไม่มีทางทำร้ายเขา เสี่ยวลู่ เจ้าประคองเขาแล้วเดินไปพร้อมกัน”

กู้ชูหน่วนกล่าวพลางประคองเยี่ยจิ่งหายที่บาดเจ็บสาหัสและหมดสติขึ้นมา จากนั้นเดินเข้าไปยังส่วนที่ลึกของดอกบัว

จอมมารไม่ทนอีกต่อไปและเดินไปขวางกูู้หน่วน จากนั้นชี้ไปยังใบหน้าอันหล่อเหลาที่เหี่ยวย่นของตัวเองและกล่าวอย่างน่าสงสาร “พี่หญิง ข้าก็บาดเจ็บเช่นเดียวกัน ข้าก็ต้องการให้ท่านประคอง”

“เจ้าช่วยจริงจังสักหน่อยได้หรือไม่?”

“ข้าไม่จริงจังอย่างไร ท่านดูสิข้าบาดเจ็บสาหัสมากเพียงใด? ข้าเสียเลือดมากเกินไปทำให้ขาทั้งสองข้างไร้เรี่ยวแรงที่จะเดิน ไม่เช่นนั้นท่านหามข้าสิ”

“รอให้เจ้าบาดเจ็บหนักเหมือนเยี่ยจิ่งหานเสียก่อน จากนั้นค่อยมาหาข้า”

กู้ชูหน่วนกลอกตาขาวใส่ ใครๆ ก็รู้ว่าเยี่ยจิ่งหานหนักมากเพียงใด นางถูกกดทับจนแทบจะทรุดลงแล้ว

หากยังไม่รีบกลับไปรักษาที่เผ่าหยกละก็ เช่นนั้นแล้วอาการบาดเจ็บของเยี่ยจิ่งหานจะต้องแย่ลงไปอีกอย่างแน่นอน

จอมมารยังคงดื้อดึง จากนั้นดึงเยี่ยจิ่งหานผลักไปที่เสี่ยวลู่

เหตุใดเยี่ยจิ่งหานถึงสามารถแนบชิดกู้ชูหน่วนได้ในขณะที่มีสติ

และตอนหมดสติก็ยังสามารถแนบชิดกับกู้ชูหน่วนได้อีก

เสี่ยวลู่ประคองเจี้ยงเสวี่ยก็ยากมากพออยู่แล้วและยังต้องประคองเยี่ยจิ่งหาน นางเกือบจะทรุดร่างลงไปทับกัน

นางมองไปที่นายท่านของตัวเองด้วยความลำบากใจและส่งสายตาเพื่อบอกให้รู้ว่านางไม่ได้มีพลังวิเศษมากเช่นนั้น

กู้ชูหน่วนกล่าวอย่างไม่พอใจ “เจ้าไม่ต้องการให้ข้ากลับไปถึงเผ่าหยกใช่หรือไม่?”

“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร เพียงแค่พี่หญิงต้องการ เช่นนั้นก็เป็นความต้องการของอาม่อด้วยเช่นกัน”

“เช่นนั้นเจ้าก็หยุดสร้างปัญหาได้แล้ว รีบๆ เดิน” กู้ชูหน่วนกลับมาประคองเยี่ยจิ่งหานอีกครั้ง

และเมื่อเห็นว่าบาดแผลของเขายิ่งแย่ลงมากเพียงใด ประคองต่อไปก็ไม่เร็วเท่าแบก

กู้ชูหน่วนจึงแบกเยี่ยจิ่งหานไว้ที่หลัง

จอมมารจะยอมได้อย่างไร

เพียงแค่ประคองก็รู้สึกว่าเยี่ยจิ่งหานแอบแต๊ะอั๋งนาง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแบกอยู่บนหลัง

“พี่หญิง เยี่ยจิ่งหานหนักมากมายเช่นนั้นและร่างกายก็มีเลือดไหลออกมาก จะลำบากท่านได้อย่างไร เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ”

“ได้ หากเจ้าปล่อยเขาทิ้งไว้กลางทาง เช่นนั้นก็อย่าโทษข้าก็แล้วกัน”

“รู้แล้ว รู้แล้วน่า”

หลังจากที่แบกเยี่ยจิ่งหานดีแล้ว จอมมารรู้สึกมีบางอย่างผิดปกติ