ตอนที่ 406 โชคลาภ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 406 โชคลาภ

หนึ่งร้อยคนนี้อยู่ใต้บังคับบัญชาของกงเซินจ่าง !

เฟิงโก่วคาบหญ้าหางหมาไว้ในปาก จ้องมองไปยังกลุ่มคนที่สวมใส่เครื่องแต่งกายของนักรบ มันน่ายินดียิ่ง

โชคใหญ่ลอยมาหาข้าแล้ว ขณะที่พวกเจ้ากำลังเดินทาง เวลานี้แหละที่ข้าจะได้แสดงฝีมือสักที

พวกเขาซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้

คนพวกนั้นเดินใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ

เฟิงโก่วยกคันศรขึ้น ปลายศรเล็งไปยังศัตรู

นี่เป็นการต่อสู้จริงจังคราแรกของพวกเขา แต่กลับมิมีผู้ใดที่รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เป็นเพราะคำสอนของไป๋ยู่เหลียนที่ล้างสมองของพวกเขามาเนิ่นนาน ในสายตาของเฟิงโก่ว ในตอนนี้มิมีผู้ใดสามารถต่อกรกับดาบเทวะนี้ได้ !

ไม่แปลกที่พวกเขาจะคิดเยี่ยงนี้ เพราะมิเคยมีกองทัพใด ที่มีการฝึกอย่างไร้มนุษยธรรมเฉกเช่นพวกเขา

“ศัตรูเยี่ยงนั้นหรือ ? ก็แค่หมูฝูงหนึ่งเท่านั้น ! ”

“ส่วนพวกเจ้า ? ก็คือคนฆ่าหมูเยี่ยงไรเล่า ! ”

“จำใส่หัวของพวกเจ้าเอาไว้ให้ดี หากดาบเทวะหลุดออกจากฝักเมื่อใด ทั่วหล้าหาได้มีผู้ใดกล้าต่อกร ! ”

ดังนั้น ตอนนี้ก็เพียงแค่ฆ่าหมู 100 ตัวเท่านั้นเองมิใช่หรือ

เมื่อศัตรูคนที่อยู่ด้านหน้าสุด ได้เดินผ่านต้นไม้ต้นสุดท้ายที่อูมู่อยู่ เฟิงโก่วก็ได้เริ่มเป่านกหวีด เสียงดังราวกับเสียงนกร้องในยามวิกาล

ทหาร 10 นายเหนี่ยวคันศร พุ่งไปเต็มแรงหวังทำลายศัตรูให้สิ้นซาก

เมื่อศัตรูบางคนล้มลงกับพื้น ศัตรูที่เหลืออยู่ด้านล่างต่างก็พากันแตกตื่น แต่ยังมิทันได้ตั้งตัว ลูกธนูก็โผเข้ามาอีกครา

ศัตรูล้มตายไปอีก 10 คน อีก 80 คนที่เหลือยังมิทันได้โต้ตอบอันใด ลูกธนูรอบที่สามก็มาถึง

ครานี้ศัตรูตอบสนองและมีเสียงตะโกนมาว่า “ข้าศึกโจมตี ! ”

ศัตรูวิ่งหนีตายกันจ้าละหวั่น แต่ก็ยังคงอยู่ในระยะของลูกธนูอยู่ ลูกธนูถูกยิงมาเป็นรอบที่สี่โดยมิหยุดพัก

เฟิงโก่วกระโดดลงมาจากต้นไม้ พร้อมคว้าดาบยาวกระโจนเข้าไปกลางกองทัพศัตรูราวกับหมาบ้า เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ

ทหารหน่วยรบพิเศษ 10 นายวิ่งกรูเข้าไป ผ่านไปมิถึงสิบอึดใจการต่อสู้ก็ได้สิ้นสุดลง

อูมู่โยนศัตรูคนหนึ่งลงไปอยู่ต่อหน้าเฟิงโก่ว “หัวข้า เอาหัวข้าเป็นประกันโปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ขอท่านโปรดพิจารณา”

ศัตรูผู้นี้แต่งกายต่างจากผู้อื่นที่ตกตายไป เสื้อผ้าดูดีกว่า ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้นำของกองกำลังนี้

เฟิงโก่วมิได้เอ่ยถาม เขาเดินเข้าไปพร้อมกับตบไปที่ร่างของศัตรูหนึ่งที “ตุ้บ… ! ” ศัตรูผู้นี้ถูกตบเสียจนเลือดไหล

“เอ่ยมา ว่าเจ้ากำลังทำอันใด ? ”

เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากตัวของศัตรูผู้นั้น เฟิงโก่วขมวดคิ้วมุ่น และใช้หลังมือตบเข้าอีกคราอย่างเต็มแรงด้วยความเดือดดาล

“เร็วเข้า อย่าลีลาให้มาก ข้ามิได้ว่างถึงเพียงนั้น… ! ”

เฟิงโก่วหันหน้าไปเอ่ยกับอูมู่ “ตัดหูของพวกมันทิ้งเสีย ถือว่าเป็นความดีความชอบของกองทัพ ! ”

อูมู่ตื่นตกใจทันพลัน แม้แต่โมวโถก็ยังมิเคยเอ่ยอะไรเยี่ยงนี้เลยสักครา แต่เขาก็มิได้คัดค้านเฟิงโก่ว และได้นำทหาร 9 นายไปตัดหูของอีกฝ่าย

ศัตรูผู้นั้นประคองตนเองขึ้นด้วยร่างที่สั่นเทา จากนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้น ยอมหมอบศีรษะให้กับเฟิงโก่วที่กำลังเดินไปมา “ นายท่านโปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ! ”

“ข้าบอกให้เจ้ารีบเอ่ยมาเร็ว ๆ ! ”

“ข้าน้อยยอมแล้ว ข้าน้อยจะบอกทุกอย่าง… ในหุบเขานี้…อุดมไปด้วยเสบียงอาหาร ข้าน้อยเพียงแค่ได้รับคำสั่งให้มาเฝ้าที่นี่เท่านั้นขอรับ”

เมื่อเฟิงโก่วได้ยินดังนั้น ก็ได้เกิดความฮึกเหิมขึ้นมา เขานั่งลงและตบหน้าของศัตรูผู้นั้น “ลุกขึ้น นำทางข้าไปดูหน่อยสิ”

ศัตรูผู้นั้นเดินนำหน้า รู้สึกอึดอัดใจยิ่งกว่าหมาจนตรอก จิ้งซุ่ยจินกัง เจ้าหลอกข้า !

กองทัพทหารทางเหนือประจำการอยู่ที่ตั้งเก่าของกองทัพสวรรค์มิใช่หรือ ?

เหตุใดถึงยังเห็นคนของกองทัพอยู่ที่นี่ได้อีกเล่า ?

สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างไกลมากนัก อีกทั้งภูเขาผิงหลิงก็กว้างใหญ่ไพศาล มิน่าจะมีผู้ใดรู้จักได้

ที่นี่มิมีแม้แต่ถนนหนทาง ดูแล้วผู้คนมิน่าอาศัยอยู่ได้ แล้วคนธรรมดาจะมาทำอันใดที่นี่กันเล่า ? ด้วยเหตุนี้กงเซินจ่างจึงให้จิ้งซุ่ยจินกังหาสถานที่สี่แห่งเพื่อเก็บเสบียงและที่นี่คือหนึ่งในนั้น

มิว่าผู้ใดก็ตามที่ได้เห็นที่แห่งนี้ ต่างก็พากันอุ่นใจ เพราะในค่ำคืนนี้จิ้งซุ่ยจินกังได้ส่งกองกำลังมาเพื่อลาดตะเวนดูว่ามีสัตว์ป่าหลงเข้ามาหรือไม่ ส่วนมนุษย์นั้นยากที่จะพบเจอในที่แห่งนี้ได้

โชคร้ายยิ่ง ที่เขาได้พบเจอกับกองทัพที่มีแต่คนที่แปลก ๆ เต็มไปหมด

หากว่าเป็นมีดแหลม พวกเขาจะเลือกซ่อนตัวและมิเปิดเผยตัวตนออกไป

แต่หากเป็นก้อนหิน เขาเลือกที่จะหนีกลับไปเพื่อรายงานกงเซินจ่าง ว่าพบศัตรูที่นี่ อาจจะมีอันตรายเกิดขึ้นได้

การมาของเฟิงโก่วครานี้ เขามิได้คิดอันใดมากมายนัก

แต่เป็นโชคดีของเขาที่มาพบเข้ากับกลุ่มศัตรู อีกทั้งเฟิงโก่วยังได้รู้ข้อมูลสำคัญมาโดยบังเอิญอีกด้วย

ขณะที่เดินเข้าไปในหุบเขานั้น เขาก็ได้เดินเข้าไปยังถ้ำแห่งหนึ่ง ปากถ้ำถูกปิดไว้ด้วยก้อนหิน เมื่อนำก้อนหินเหล่านั้นออกไปแล้วเฟิงโก่วและทหารทั้งสิบก็ต้องพบกับความตะลึง !

นี้คือถ้ำที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ มิรู้ว่าลึกเท่าใด แต่ความกว้างราว 3 จ้าง

ในถ้ำเต็มไปด้วยเสบียงอาหาร ทั้งข้าวเปลือก ข้าวสาลี ข้าวฟ่าง หม้อไหและอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ

“เอ่ยมา ว่าเหตุใดถึงนำเอาเสบียงมาซ่อนไว้ที่นี่ ? ”

ศัตรูผู้นั้นเริ่มงุนงง นั่นสิ ข้าเองก็มิรู้เช่นกันว่าเหตุใดต้องเอามาซ่อนไว้ที่นี่… เขาจึงเฉไฉไปเรื่องอื่นแทน “ข้าได้ยินมาว่าท่านหัวหน้ากำลังจะได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ ในงานเฉลิมฉลอง และจะต้องใช้อาหารเป็นจำนวนมากและเสบียงเหล่านี้อีกมินานก็จะมีกองทัพใหญ่มาขนเอาไปขอรับ“

เฟิงโก่วตกตะลึงทันใด กงเซินจ่างกำลังจะได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้เยี่ยงนั้นหรือ ?

อยู่ ๆ เขาก็หัวเราะขึ้นมา ศัตรูผู้นั้นถึงกับผงะ แสงดาบสะท้อนเข้าดวงตา เลือดพุ่งกระเด็นไปทั่วบริเวณ บัดนี้หัวของศัตรูผู้นั้นได้หลุดออกจากบ่าแล้ว และได้กระเด็นไปอยู่ข้าง ๆ ลำตัว

“เสบียงเยอะถึงเพียงนี้ จะเผาทิ้งก็น่าเสียดาย อูมู่ เจ้าลองเอ่ยมาสิ จะเอาเยี่ยงไรดี ? ”

“นายท่าน พวกเราต้องกลับไปรายงานเรื่องนี้”

“อ่า…จริงด้วยสิ ต้องนำเรื่องนี้ไปรายงานผู้บัญชาการ”

พวกเขาออกเดินทางอีกครา พอมาถึงที่หน้าผา เฟิงโก่วก็ได้เริ่มจัดแจง “อูมู่ พวกเจ้าขึงเชือกให้ดี ๆ ข้าจะไปรายงานต่อผู้บัญชาการสักหน่อย ประเดี๋ยวข้าจะกลับมา”

เขาวิ่งกลับไปที่ค่าย หลังจากที่ฟ่านตงหลินรู้ข่าวจากเฟิงโก่ว เขาก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

ไม่สิ นี่เจ้ามิได้ไปขึงเชือกหรอกหรือ ?

เหตุใดถึงได้ฆ่าศัตรูนับร้อยได้ในคราเดียว อีกทั้งยังหาที่ซ่อนเสบียงของศัตรูเจออีก ?

ฟ่านตงหลินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขามิรู้ว่าจะจัดการเยี่ยงไรดีกับเสบียงอาหารที่เยอะถึงเพียงนี้ เขาจึงรีบเขียนจดหมายแล้วให้คนนำไปส่งยังกองพลที่หนึ่งโดยเร็ว ไป๋ยู่เหลียนอยู่ที่นั่น เรื่องนี้ต้องถึงหูของไป๋ยู่เหลียนโดยเร็วที่สุด

เรื่องที่กงเซินจ่างจะได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้นั้น… ฟ่านตงหลินก็ได้เขียนลงไปในจดหมายด้วย แต่แน่นอนว่าเขามิได้ใส่ใจในเรื่องนี้มากนัก เพราะอีกมินานกงเซินจ่างก็ต้องตายอยู่แล้ว จะมาเป็นฮ่องเต้ได้อย่างไรกัน !

เขามิได้หวังจะให้ไป๋ยู่เหลียน ตอบกลับมา เยี่ยงไรเสียเป้าหมายของเขาคือไปให้ถึงยอดเขาหู่จี๋ ส่วนเรื่องที่ไป๋ยู่เหลียนจะจัดการกับเสบียงเหล่านี้เยี่ยงไรนั้น ประเดี๋ยวเขาก็คงจัดการเอง

ในคืนนี้ทหารของกองพลที่สอง ได้เดินทางไต่ข้ามผาสูงจนมาถึงยอดเขาหู่จี๋ยามรุ่งสาง

สิ่งที่เขามิรู้คือหลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนทราบเรื่อง เขาก็ได้รีบเขียนจดหมายและให้คนส่งไปที่กองทัพสวรรค์ทันที

มิมีทางเลือกอื่นแล้ว พรุ่งนี้กงเซินจ่างย่อมส่งคนมาขนเสบียงไป แต่กองพลที่หนึ่งกลับติดภารกิจสำคัญ เขาต้องการมอบของขวัญชิ้นใหญ่นี้ให้กับเผิงเฉิงอู่

เผิงเฉิงอู่แทบจะมิอยากเชื่อเมื่อได้รับข่าวนี้

เขาส่งพลทหาร 10,000 นายไปเฝ้าประจำการที่หุบเขาทันที

หากว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง แสดงว่าฝ่าบาทได้ทรงวางแผนการเอาไว้ทั้งหมดแล้ว โดยมิต้องสงสัยเลยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่หุบเขาเยว่หมิง ผู้ใดเป็นคนวางแผน