ตอนที่ 490 - เชือดไก่ด้วยมีดฆ่าวัว

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.490 – เชือดไก่ด้วยมีดฆ่าวัว 

 

 

 

 

 

สมองของฉินเฟิง แน่นอนมิได้เน่าไปแล้วแต่อย่างใด แม้ดอกไม้แห่งการทำลายล้างจะเป็นอบิลิตี้ที่เขาได้รับมาจากสวนใต้ดิน แต่หากรวมมันเข้ากับอักษรรูนทั้งหมดของศิลานรกก่อนหน้านี้ มันจะก่อให้เกิดอบิลิตี้ที่ทรงพลังในฉับพลัน 

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม ศิลานรกคือสมบัติเลเวล S ตั้งแต่ได้มันมาจนถึงตอนนี้ ฉินเฟิงยังไม่สามารถดูดซับศิลานรกทั้งก้อนไปได้เลย  

 

 

 

 

 

ฉะนั้น การจะสร้างอบิลิตี้ที่เหนือกว่าเลเวล C จึงมีความเป็นไปได้สูง 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงยกมือขึ้น ดอกบัวปรากฏในฝ่ามือของเขา ความมืดมิดนับไม่ถ้วน ทั้งหมดมารวมกันอยู่บนดอกไม้นี้ 

 

 

 

 

 

และไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่สรรพแสงโดยรอบคล้ายถูกดึงดูดเข้ามาโดยดอกบัว 

 

 

 

 

 

สายตาของฝูงชนในที่นี้ต่างหรี่แคบลง สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันน่าหวาดกลัวที่แผ่ออกมา ฝีเท้าชะงักงัน จ้องมองฉินเฟิงด้วยความหวาดระแวง 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงวาดมือ โยนดอกบัวนี้ลอยออกไป ในพริบตา ราวปรากฏเมฆครึ้มอยู่เหนือศีรษะของผู้คน 

 

 

 

 

 

จากนั้น กลีบดอกไม้ก็เริ่มร่วงหล่น ลอยไปทางร่างของกวนซวงตง ที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุด 

 

 

 

 

 

กวงซวนตง ชัดเจนว่าเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ ณ ขณะนี้เขาพบว่าเหตุการณ์ไม่น่าไว้วางใจ 

 

 

 

 

 

แม้ความเร็วของกลีบดอกมันจะดูเหมือนเชื่องช้า แต่ดันให้ความรู้สึกที่แสนยิ่งใหญ่ 

 

 

 

 

 

สิ่งใดที่ยิ่งใหญ่ สิ่งนั่นย่อมเชื่องช้า แต่ในความเป็นจริง ทุกสิ่งเกิดขึ้นแค่ลมหายใจเดียว 

 

 

 

 

 

ผู้ใช้อบิลิตี้อย่างเขา ไม่ได้ว่องไวนัก รู้สึกตัวอีกที กลีบดอกไม้ก็ใกล้เข้ามาจนเกือบจะถึงตัวเสียแล้ว 

 

 

 

 

 

“ฉันไม่เชื่อหรอกว่ามันจะทำร้ายฉันได้ –ก็แค่ผู้ใช้อบิลิตี้เลเวล C !” 

 

 

 

 

 

กวนซวงตงขบคิด พลังสมาธิถูกเร่งเร้า สภาพแวดล้อมรอบกายเขา ก่อเกิดกระแสคลื่นน้ำอันน่าตกใจขึ้นทันใด 

 

 

 

 

 

กระแสน้ำว่ายวนอย่างบ้าคลั่ง ราวกับมีตาน้ำพุ ผุดจากพื้น ปลดปล่อยพวกมันออกมา 

 

 

 

 

 

ตูม! 

 

 

 

 

 

สองอบิลิตี้ปะทะเข้าใส่กัน  

 

 

 

 

 

แต่ผลลัพธ์ของมัน กลับทำได้เพียงกลีบดอกไม้สีหมึกอ่อนจางลงเท่านั้น และกลีบดอกที่ว่า ก็ยังร่วงตกลงบนกายของกวนซวงตงอยู่ดี 

 

 

 

 

 

“หือ? ไม่เห็นเกิดอะไรขึ้นเลย?” กวนซวงตงเมื่อพบว่ากลีบดอกไม้ไม่ส่งผลอะไรต่อเขา เจ้าตัวก็หัวเราะเสียงดัง “ที่แท้ก็แค่อบิลิตี้ต้มตุ๋น เอาไว้หลอกคนโง่!” 

 

 

 

 

 

เขาไม่รู้สึกเจ็บหรือตระหนักถึงอันตรายสักนิด แต่ในสายตาของคนอื่น ยามมองเขา กลับฉายชัดถึงความตกใจ 

 

 

 

 

 

เพราะกวนซวงตงก่อนหน้านี้ มีใบหน้าไม่ต่างจากผู้ใหญ่ในอายุ 30 ปี ทว่าตอนนี้ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก เริ่มปรากฏริ้วรอยมากขึ้น ผิวหนังดูไม่เต่งตึง หากให้บอกว่าเขามีอายุมากกว่าเดิม 10 ปี มันไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย 

 

 

 

 

 

ในเวลานั้นเอง อีกสองกลีบก็เริ่มผลัดใบ ร่วงหล่นลงมา กู่ฉางกับฉีหยานที่ยังไม่สัมผัสมัน ไม่คิดเอ่ยอะไรแม้สักครึ่งคำ ดีดผึงล่าถอยไปทันที 

 

 

 

 

 

ทว่าแม้พวกเขาจะคิดถอย แต่มันก็สายเกินไป 

 

 

 

 

 

ปราณกำลังภายนอกปกคลุมทั้งตัว ทว่ากลีบดอกไม้สีหมึกนี้ ราวกับมีอำนาจมหาศาล ยามสัมผัสโดน โล่ปราณกำลังภายในแตกสลายลงทันที จากนั้นกลีบดอกไม้ก็ร่วงโรย จมหายเข้าไปบนร่างกายของพวกเขา 

 

 

 

 

 

ทั้งสองไม่อาจสัมผัสถึงความผิดปกติใดๆ เพียงแต่รู้สึกว่า ร่างกายของตนอ่อนแอลงอย่างอธิบายไม่ถูก เมื่อพวกเขายกมือขึ้น ก็พบกับมือที่แต่เดิมแข็งแกร่งและเปี่ยมไปด้วยพลัง บัดนี้เริ่มปรากฏริ้วรอยและจุดด่างดำมากขึ้น 

 

 

 

 

 

ไม่ต้องบรรยายไปมากกว่านี้ก็รู้ ว่าพลังชีวิตของทั้งสองคน กำลังถูกสูบหายไป 

 

 

 

 

 

“ไม่! รีบวิ่ง! หนีเร็วเข้า!” 

 

 

 

 

 

ทั้งสองล้มเลิกภารกิจ ไม่คิดทำลายอบิลิตี้ของฉินเฟิง ใช้ออกด้วยวิชาตัวเบา ฉีกหนีจนพ้นจากพิสัยโจมตีของฉินเฟิงทันที 

 

 

 

 

 

อำนาจอบิลิตี้ที่กู่ฉางและฉีหยานได้รับ เห็นได้ชัดว่ารุนแรงยิ่งกว่าของกวนซวงตง เพราะในสายตาของกวนซวงตง สหายทั้งสองราวกับแก่ลง 20 ปี  

 

 

 

 

 

ณ ขณะนี้ กวนซวงตงทราบแล้ว ว่าเขากำลังพบเจอกับอะไร ในหัวใจฟุ้งไปด้วยความตื่นตระหนก 

 

 

 

 

 

ทว่าความเร็วของเขา เห็นได้ชัดว่ามิอาจเทียบเคียงกับทั้งสองได้ 

 

 

 

 

 

ดังนั้นตัดสินใจเหี้ยมหาญ กวนซวงตงวิ่งไปในทิศทางตรงกันข้าม มุ่งเข้าหาฉินเฟิง 

 

 

 

 

 

‘ต้องฆ่า หากคนที่กำลังควบคุมอบิลิตี้นี้ตายลง อำนาจของรูนมืดก็จะสลายไปเอง’ 

 

 

 

 

 

กวนซวงตงอยู่ไม่ไกลจากฉินเฟิง พลังสมาธิในตัวเขาเริ่มถูกเร่งเร้าอีกครั้ง 

 

 

 

 

 

“เทคนิคมังกรน้ำ!” 

 

 

 

 

 

นี่คืออบิลิตี้ที่สามารถเรียนรู้ได้ตั้งแต่เลเวล E และมันจะยิ่งทรงพลังขึ้น ตามอักษรรูนที่ถูกอัดฉีดเข้าไป และพลังสมาธิที่คอยควบคุม กล่าวได้ว่าอบิลิตี้มังกรธาตุต่างๆ สามารถเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของมันได้อย่างไร้ขีดจำกัด 

 

 

 

 

 

อบิลิตี้มังกรของกวนซวงตง ถึงขั้นสามารถวิวัฒนาการเป็นมังกรห้าหัว โฉบกัดจากทิศทางที่แตกต่างกัน แต่ทั้งหมดมุ่งตรงไปโจมตีฉินเฟิง 

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะพบเผชิญกับอบิลิตี้นี้ แต่ฉินเฟิงกลับไม่มีทีท่าว่าจะขยับเลย ปราณกำลังภายในของเขาเรียบเนียนราวกระจกใส 

 

 

 

 

 

“มิสเตอร์ฉิน รีบหลบเร็วเข้า!” มู่จินร้องตะโกน 

 

 

 

 

 

แม้แต่ตัวเขาเอง ยังไม่กล้าทานรับอบิลิตี้น้ำของกวนซวงตงเลย แล้วฉินเฟิงจะทานรับมันได้อย่างไร? 

 

 

 

 

 

ขณะนี้ มังกรน้ำได้มาเบื้องหน้าของฉินเฟิง มันปะทะเข้ากับปราณกำลังภายในอย่างหนักหน่วง ทว่ากลับเป็นฝ่ายมันเอง ที่แตกกระเซ็นเป็นธารน้ำ แยกออกไปหลายทิศทาง 

 

 

 

 

 

หัวมังกรทั้งห้าบิดบี้ ทั้งหมดเร่งเร้าพลังจนทำลายตนเอง แต่มิอาจสั่นคลอนร่างกายของฉินเฟิงได้เลย 

 

 

 

 

 

มิใช่เพียงมังกรน้ำที่สลายไป แต่มันไม่อาจทำลายปราณกำลังภายในของฉินเฟิงได้ด้วยซ้ำ 

 

 

 

 

 

การจู่โจมในครั้งนี้ นิยามได้เพียงสองคำ ‘ป่นปี้’ 

 

 

 

 

 

“เป็นไปไม่ได้!” กวนซวงตงไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น ยังปรากฏร่องรอยของความสิ้นหวัง สะท้อนในแววตาเขา 

 

 

 

 

 

เพราะอีกกลีบดอกหนึ่ง กำลังร่วงโรย จมเข้าสู่ร่างกายเขา 

 

 

 

 

 

“อ๊าาาาา!” 

 

 

 

 

 

กวนซวงตงร้องโวยวาย เร่งเร้าพลังสมาธิเพื่อควบรวมรูนน้ำไม่หยุดยั้ง แต่นี่มิใช่การโจมตีอย่างในครั้งก่อนอีกต่อไป มันไร้ซึ่งเป้าหมายอย่างชัดเจน เป็นเพียงการโจมตีอันบ้าคลั่งเท่านั้น 

 

 

 

 

 

อบิลิตี้ธาตุน้ำและธาตุมืดปะทะเปรี้ยงปร้างเข้าใส่กัน 

 

 

 

 

 

ฉากดังกล่าว มันน่าหวาดกลัวจริงๆ สภาพแวดล้อมรอบกายของกวนซวงตง บัดนี้ถูกเปลี่ยนเป็นทะเลสาบ คลื่นน้ำลุกฮือขึ้นสู่ฟากฟ้าอย่างต่อเนื่อง 

 

 

 

 

 

ผู้คนที่เหลือได้อพยพขึ้นไปบนเรือเหาะก่อนแล้ว ดวงตาของทุกคนต่างเบิกกว้างด้วยความเหลือเชื่อ กลืนน้ำลายลงลำคออย่างยากลำบาก เม็ดเหงื่อเย็นผุดพรายขึ้นตามแผ่นหลัง 

 

 

 

 

 

“ถึงปืนใหญ่ของเรือเหาะจะสามารถสังหารเลเวล B ได้ แต่ถ้าถูกเลเวล B รุกเข้าหาทัน ก็อาจเป็นเรือเหาะซะเอง ที่กลายเป็นซาก” 

 

 

 

 

 

“ใช่ ช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน นี่สินะคืออำนาจอของผู้ใช้พลังเลเวล B ” 

 

 

 

 

 

“แต่ … กลับสามารถกดดันผู้ใช้พลังเลเวล B จนเข้าสู่สภาวะนี้ได้ อย่าบอกนะว่าท่านประธานเขา … ” 

 

 

 

 

 

ในหัวใจของทุกคน บังเกิดความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา 

 

 

 

 

 

อย่าบอกนะว่าฉินเฟิงมีพลังมากกว่าอีกฝ่าย? 

 

 

 

 

 

บนเรือเหาะ อัจฉริยะรุ่นเยาว์คนอื่นๆ แตกตื่นตกใจจนพูดไม่ออก ผู้คนจากตระกูลโหวและตระกูลตี๋เงียบสนิท ราวกับโดนกาวมาฉาบปิดปากเอาไว้ 

 

 

 

 

 

แม้ก่อนหน้านี้พวกเขาจะรู้สึกไม่พอใจอยู่ลึกๆ แต่ตอนนี้ ในหัวใจของพวกเขา ทั้งหมดฟุ้งไปด้วยความหวาดกลัวที่มีต่อฉินเฟิง 

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม ความหวาดกลัวดังกล่าว ยิ่งได้เห็นฉากต่อไป เกรงว่ามันจะพุ่งทะยานจนถึงขีดสุด 

 

 

 

 

 

แม้กู่ฉางและฉีหยานจะวิ่งหนีไป แต่ก็ยังคงถูกกัดกร่อนด้วยฤทธิ์ของดอกไม้แห่งการทำลายล้าง อายุของพวกเขายิ่งมายิ่งลดทอน ถึง 20 ปี ตอนนี้ทั้งสองไม่ต่างไปจากชายชราอายุ 70 – 80 ไร้ซึ่งพละกำลัง หลงเหลือเพียงกำลังภายในเท่านั้น ที่ยังพอใช้ให้พวกเขาหลบหนี 

 

 

 

 

 

แต่ในสนามรบ กวนซวงตงเห็นได้ชัดว่าไม่ได้โชคดีแบบนั้น 

 

 

 

 

 

ดอกไม้แห่งการทำลายล้างยังคงร่วงโรย ตอนแรกร่วงแค่ทีละกลีบเดียว จากนั้นก็เพิ่มเป็นสอง และเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนปัจจุบัน สถานที่แห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยกลีบของดอกไม้ของมัน 

 

 

 

 

 

และฉากดังกล่าว กินเวลายาวนานกว่า 5 นาทีเต็ม 

 

 

 

 

 

ขณะที่กวนซวงตง แค่หนึ่งนาที ก็ไม่สามารถฝืนทนได้แล้ว 

 

 

 

 

 

จากวัยหนุ่มกลัดมัน กลายเป็นวัยกลางคน ต่อมากลายเป็นชราภาพ สุดท้ายร่อแร่เป็นไม้ใกล้ฝั่ง ต้องทราบนะว่าสำหรับมนุษย์ ต่อให้คุณทรงพลังสักเพียงใด แต่ก็ไม่อาจเอาชนะความตายได้ 

 

 

 

 

 

กวนซวงตงพยายามงัดสมบัติหลายชิ้นออกมาเพื่อรักษาชีวิต แต่สุดท้ายไม่ได้ผล ต้องจบชีวิตลง 

 

 

 

 

 

และแม้เขาจะล้มตัวลงแน่นิ่งไปแล้วก็ตาม แต่ดอกไม้แห่งการทำลายล้างยังคงผลัดใบต่อไป ศพของอีกฝ่ายเริ่มแห้งกรัง จากนั้นผิวหนังเหือดหายเหลือเพียงกระดูก และจากกระดูกแปรเปลี่ยนเป็นกองฝุุ่น หากไม่ใช่เพราะมีเสื้อผ้าและอุปกรณ์รูนตั้งอยู่ ทุกคนคงไม่เชื่อ ว่าในจุดนี้ เมื่อครู่ยังมีร่างของผู้ใช้พลังเลเวล B นอนอยู่ 

 

 

 

 

 

ในที่สุดดอกไม้แห่งการทำลายล้างก็สลายไป  

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงเฝ้ามองฉากนี้อยู่พักหนึ่ง สุดท้ายกล่าว “ค่อนข้างเสียของแฮะ” 

 

 

 

 

 

มันไม่คุ้มค่าที่จะใช้จริงๆ ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากการเชือดไก่ด้วยมีดฆ่าวัวเลย 

 

 

 

 

 

มู่จินที่รั้งอยู่เบื้องหลังฉินเฟิง พอได้ฟัง ก็แทบกระอักเลือดออกมา