องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 397 เป็นผู้ชายที่ต้องถูกนังจิ้งจอกบ้าผู้ชายลักพาตัวไป
ซูมู่หรงหมุนตัว : “ไสหัวไป!”
“เจ้ากล้ามากที่ทำให้ข้า….” หนานกงเย่ลุกพรวดขึ้นมาด้วยความโกรธเกรี้ยว และไม่ยอมลงโดยง่าย
ฉีเฟยอวิ๋นพยายามดึงตัวหนานกงเย่พลางกล่าวว่า : “ท่านอ๋อง ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเรานะเพคะ ยอม ๆ ไปเถอะ”
หนานกงเย่จึงหยุดกล่าวต่อ
ซูมู่หรงหันไปมองฉีเฟยอวิ๋นด้วยแววตาคมกริบคล้ายคมมีด : “หากรู้ว่าคุณไร้น้ำใจไร้คุณธรรมแบบนี้ ผมบีบคอคุณให้ตายไปตั้งแต่ตอนแรกแล้ว”
ซูมู่หรงกัดฟันกรอด ฉีเฟยอวิ๋นเองก็จนปัญญา
วิธีการในตอนแรกของเขาไม่เหมือนกับตั้งใจฆ่าเธอตรงไปไม่ทราบ มาเอ่ยเรื่องนี้ในตอนนี้ไม่รู้สึกผิดบ้างหรืออย่างไร?
“ชีวิตของนางข้ารับผิดชอบเอง เจ้าคือผู้แพ้ของข้า วันนี้ข้าเห็นแก่หน้าของอวิ๋นอวิ๋นจึงได้ไว้ชีวิตเจ้า หากเจ้ายังมาราวีไม่เลิก ข้าสับเจ้าเป็นชิ้น ๆ แน่”
ฉีเฟยอวิ๋นก็เสียใจมากเช่นกัน แล้วการจำยอมของนางละ?
“ผู้แพ้? ไม่จำเป็น หากไม่มีอวิ๋นอวิ๋น คุณจะเป็นคู่ต่อสู้ของผมได้เหรอ?” ซูมู่หรงเดินขึ้นหน้าไปสองสามก้าว หนานกงเย่กำลังจะเดินขึ้นหน้าเช่นกัน
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเห็นท่าไม่ดี จึงรีบเดินไปรั้งหนานกงเย่ไว้ โชคดีที่ยังไม่ได้เกิดเรื่องราวใหญ่โต
ทั้งสองคนไม่ยอมถอยให้แก่กัน แต่ก็ยังคงรักษาทีท่าของตนเองไว้
บรรยากาศเริ่มอึดอัดลง แต่ทั้งสองคนยังไม่มีใครลงมือเพราะเห็นแก่ฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นเองก็ไม่แน่ใจนัก ว่าพวกเขากลัวว่าจะสู้อีกฝ่ายไม่ได้ หรือเห็นแก่นางกันแน่
โดยรวมแล้วก็ยังถือว่าสงบลงได้
“หัวหน้า จริง ๆ แล้วฉันยังมีเรื่องที่อยากให้หัวหน้าช่วย และที่เรามาในครั้งนี้ก็เพื่อเรื่องนี้ค่ะ”
ได้ยินว่ามีเรื่องซูมู่หรงก็มีสีหน้าจริงจังขึ้นทันใด แม้ว่าในใจจะยังไม่พอใจ ยังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ก็ยังเอ่ยปากพูดออกไป : “เขารังแกคุณเหรอ?”
ไม่คิดว่าทันทีที่เอ่ย หนานกงเย่จะใส่แรงอย่างเต็มกำลัง ดวงตาดุจหงส์เบิกกว้าง และฟาดฝ่ามือข้างหนึ่งออกไป
ฝ่ามือข้างหนึ่งของหนานกงเย่ได้ฟาดออกไป จนเกือบจะโดนใบหน้าของซูมู่หรง โชคดีที่ซูมู่หรงหลบเลี่ยงได้ทันเวลา
หนานกงเย่ไม่มีทางหยุดแค่นั้น กลับรีบคว้าปืนของซูมู่หรงกระบอกนั้น ภายใต้ความจนปัญญา ข้อมือของฉีเฟยอวิ๋นจึงได้ยื่นออกไปขวาง ทำให้ปืนที่อยู่ในมือเขาหลุดมือไป
ใบหน้าของหนานกงเย่เคร่งขรึมลง ก่อนจะมองไปยังนิ้วมือที่ว่างเปล่าของตนเอง
จากนั้นก็หันไปมองฉีเฟยอวิ๋น : “เอามา”
“ไม่ได้” ฉีเฟยอวิ๋นรีบเก็บปืนกระบอกนั้นทันที
ซูมู่หรงจึงเอ่ยขึ้นว่า : “นั้นมันปืนของผมนะ”
“หึ ของข้าต่างหาก” หนานกงเย่เองก็มีปืนเช่นเดียวกัน ปืนกระบอกนั้นเหมือนกับกระบอกนี้มาก จึงย่อมเป็นของเขาแน่นอน
“คุณนี่มันป่าเถื่อนจริง ๆ”
“เจ้าหาว่าข้าป่าเถื่อนเช่นนั้นรึ?”
ฉีเฟยอวิ๋นปวดหัวมาก : “หัวหน้า หัวหน้าอาจจะไม่เชื่อนะคะ แต่ปืนกระบอกนี้มันอยู่ที่นั่นจริง ๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันเคยฝันเห็นปืนกระบอกหนึ่ง ซึ่งก็คือกระบอกนี้ของหัวหน้า ต่อมามันถูกส่งต่อให้ท่านอ๋อง ไม่อย่างนั้นหัวหน้าคิดว่าเขาจะใช้อย่างไรละคะ?”
จนกระทั่งตอนนี้ ซูมู่หรงก็ยังรู้สึกว่า ภาพทุกอย่างตรงหน้าคือความฝัน ฉีเฟยอวิ๋นล้อเขาเล่น
แต่เขาก็รู้ ว่านี่คือความจริง
ซูมู่หรงเดินเข้ามาใกล้ : “เอาปืนมาให้ผม”
ฉีเฟยอวิ๋นยื่นปืนกระบอกนั้นให้ซูมู่หรง มือของซูมู่หรงนั้นเบามาก จับปุ๊บรู้ได้ในทันทีว่าในปืนกระบอกนี้ไม่มีกระสุนแล้ว
“เอากระสุนมาด้วย” ซูมู่หรงแสดงท่าทางออกคำสั่ง ทั้งยังมีพลังน่าเกรงขามอีกด้วย
ส่วนฉีเฟยอวิ๋นนั้นมีความชำนาญอยู่แล้ว จึงส่ายหน้าและพูดว่า : “หัวหน้า ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่ให้หรอกนะคะ หัวหน้าทิ้งปืนก็เท่ากับทิ้งชีวิต แต่กระสุนนั้นไม่เหมือนกัน หัวหน้ามีกระสุนมากมาย เราเอาไปแค่ไม่กี่ลูกเท่านั้น ปืนกระบอกนั้นก็ไม่มีกระสุน ตอนนี้ฉันคงผลิตกระสุนให้หัวหน้าไม่ได้หรอกนะคะ”
“คุณอยากได้หรือเขาอยากได้?” ซูมู่หรงมองไปทางฉีเฟยอวิ๋นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยการเยาะเย้ย
“ผู้แพ้ต้องเสียสละกระสุน มีเท่าไหร่ข้าก็เอาเท่านั้น มีสิ่งใดที่ไม่อยากได้ หากอวิ๋นอวิ๋นบอกว่าอยากได้ก็ต้องได้”
น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวจนฆ่าคนได้ของหนานกงเย่ ทำให้ซูมู่หรงอยากเข้าไปบิดศีรษะของเขา เหตุใดเขาถึงไม่มีความสามารถนี้ อีกทั้งฉีเฟยอวิ๋นก็ยังคอยปกป้องหนานกงเย่เหมือนกับดื่มซุปที่ทำให้หลงใหลอย่างไรอย่างนั้น ถึงได้เป็นเดือดเป็นร้อนแทนเขาทุกอย่าง
ฉีเฟยอวิ๋นเก็บกระสุนไว้อย่างดี พลางกล่าวขอบคุณ : “ขอบคุณหัวหน้าที่เห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว”
“คุณไม่ได้แตกต่างไปจากเมื่อครึ่งปีก่อน ยังคงไร้ยางอายแบบนั้นเหมือนเดิม” ซูมู่หรงพูดอย่างไม่เกรงใจ
ใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋นร้อนผ่าวไม่น้อย รู้สึกอึดอัดใจที่โดนกล่าวหาแบบนี้
“หน้าไม่อาย” หนานกงเย่อยากจะสะสางบัญชีกับซูมู่หรง แต่ถูกฉีเฟยอวิ๋นรั้งไว้
“เขาเป็นหัวหน้าของข้า พูดเถอะ”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางซูมู่หรง : “หัวหน้า เรามีเวลาไม่มากนัก และอาจจะต้องไปเร็ว ๆ นี้ หากจะพูดก็คงยาว ได้โปรดช่วยเราด้วย ทำยาที่รักษาโรคซึมเศร้ามาให้ฉันด้วย”
“คุณจะไปอีกแล้วเหรอ?” ทันทีที่บอกว่าจะไป ซูมู่หรงจึงหันไปเผชิญหน้ากับหนานกงเย่อย่างอดไม่ได้ ใบหน้าที่เคร่งเครียดของเขาตอนนี้ซีดเผือดลง การหายใจก็เริ่มหนักหน่วง
จากนั้นก็ก้มหน้าลงมองฉีเฟยอวิ๋น แววตาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความอาลัยอาวรณ์
“หัวหน้า ฉันต้องไปจริง ๆ เพราะฉันยังมีลูก”
ซูมู่หรงมองไปทางหนานกงเย่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แต่ไม่ได้ถ่วงเวลาอีกต่อไป : “อยากได้ยาแก้ซึมเศร้าใช่ไหม?”
“ข้างนอกนั้นต่างเป็นยาที่มีส่วนผสมค่อนข้างซับซ้อน แต่กลับมีผลข้างเคียงร้ายแรง ฉันแค่อยากเข้าวัง หัวหน้าหาให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ?”
“ผมจะไปดูตลาดมืดให้ละกัน”
“ตลาดมืด?” ทำไมฉีเฟยอวิ๋นถึงได้ลืมเสียสนิท เธอจำได้ว่าตลาดมืดมีทุกอย่างที่ซื้อได้
ซูมู่หรงจึงพูดขึ้นว่า : “พวกคุณรอผมที่นี่ เดี๋ยวผมไปเอง”
จากนั้นซูมู่หรงก็หมุนตัวเดินจากไป ฉีเฟยอวิ๋นมองจนเจ้าตัวเดินลับหายไปจึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนจะมองไปทางหนานกงเย่ : “ท่านอ๋อง ท่านอยากฆ่าหัวหน้าจริง ๆ หรือเพคะ?”
“….” หนานกงเย่ไม่ตอบ ฉีเฟยอวิ๋นรู้ได้ในทันทีว่าเขาคิดเช่นนี้จริง ๆ
“เราไปรอกันเถอะ ไม่นานหัวหน้าก็กลับมาแล้ว”
หนานกงเย่เดินตามฉีเฟยอวิ๋นไปรออีกฝ่าย ฉีเฟยอวิ๋นพาเขาไปในห้องหนังสือของซูมู่หรง ทันทีที่เข้าไปหนานกงเย่ก็ทำการสำรวจ และยังเปิดตู้หนังสือของซูมู่หรงหนึ่งรอบ
ภายในมีเสื้อผ้าที่ยังคงปิดผนึกไว้ไร้ร่องรอยการเปิดชุดหนึ่ง เขาหยิบมันขึ้นมาดูแวบหนึ่ง ด้านบนมีหมายเลขสลักไว้ว่า 001
หนานกงเย่หยิบมันออกมาเปิดดู ฉีเฟยอวิ๋นจึงกล่าวว่า : “นี่คือชุดฝึกของหัวหน้า ยังไม่ได้ใส่เลย ท่านเปิดดูทำไมเพคะ?”
“ข้าก็แค่ดู”
หนานกงเย่หยิบมาเปลี่ยนให้กับตนเอง และเดินไปส่องตนเองหน้ากระจก
ฉีเฟยอวิ๋นกลับสูดลมหายใจเย็นเข้าปอดด้วยความตกตะลึง มันดูดีมากทีเดียว!
หนานกงเย่หมุนตัว : “ตัดผมสั้นให้ข้าด้วย”
“ไม่ไว้ยาวแล้วหรือเพคะ หากกลับไปหัวล้านเช่นนี้จะทำอย่างไรละเพคะ?”
“ข้าอยากตัด” หนานกงเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นน่าเกรงขาม
หนานกงเย่ดึงผมออกมาเตรียมจะตัด ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้กลอกตาไปทางเขา : “ข้าทำไม่เป็น”
“เช่นนั้นก็ไปร้านตัดผม”
“แล้วท่านรู้ได้อย่างไรเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นจำไม่ได้ว่าเคยบอกหนานกงเย่ ว่ามีร้านตัดผม
“ข้าเห็นระหว่างทาง”
“เช่นนั้นไม่ได้เพคะ ท่านเก็บไว้เถอะ หากตัดทิ้งไปแล้ว…”
“อวิ๋นอวิ๋นตั้งครรภ์ท้องโตอยู่ในจวนของข้า แต่เมื่อมาที่นี่เจ้ากลับไม่มี กลับไปก็น่าจะยังเหมือนเดิม ข้าคิดว่านี่คือความฝัน ไม่ใช่เรื่องจริง” ความคิดของหนานกงเย่นั้นแตกต่าง ฉีเฟยอวิ๋นก็ได้แต่หวังว่ามันจะเป็นแค่ความฝัน
หนานกงเย่เดินออกไปข้างนอกตรงไปร้านตัดผม ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามเขาออกไป
เมื่อมาถึงข้างนอกเขาก็เจอเข้ากับร้านตัดผมแห่งหนึ่ง แต่ฉีเฟยอวิ๋นไม่กล้าพาเขาเข้าไปในร้านตัดผม และดึงเขากลับไปยังสถาบันวิจัย จากนั้นก็หากรรไกรปัตตาเลี่ยนตัดผมของซูมู่หรง ก่อนจะทำการตัดผมให้เขาด้วยตนเอง
ฉีเฟยอวิ๋นตัดผมของหนานกงเย่อย่างอาลัยอาวรณ์ นางยังอยากกลับไป จึงตัดออกแค่ส่วนหนึ่ง จากนั้นก็ม้วนและเก็บมันไว้ในกระเป๋า ราวกับเก็บอัญมณีล่ำค่าได้อย่างไรอย่างนั้น
หนานกงเย่จ้องเขม็งไปทางนาง ฉีเฟยอวิ๋นจึงหยิบไดร์เป่าผม และเริ่มตัดผมอีกครั้ง
หนานกงเย่นั่งอยู่หน้ากระจก ใบหน้าที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครก็ค่อย ๆ หล่อเหลาขึ้น
ฉีเฟยอวิ๋นตัดเสร็จก็เดินออกไป นางเองก็ตกตะลึงกับคนที่จ้องมองอยู่ในกระจกนั้นเช่นกัน
จริง ๆ นางรู้อยู่แล้วว่าหากเขาตัดผมสั้นเขาจะหล่อเหลามาก แต่คาดไม่ถึงว่าจะหล่อเหลาถึงระดับนี้
หากเดินออกไปข้างนอก มีหวังคงถูกนังจิ้งจอกบ้าผู้ชายเหล่านั้นลักพาตัวไปแน่