บทที่ 201 บทละครที่สุดยอด

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

ความจริงแล้ว ตอนที่เย่เทียนไปขอความช่วยเหลือจากโจ๋หย่วนหัน โจ๋หย่วหัน เฉาจื้อเหาและพวกตำรวจระดับสูงกำลังนั่งทำหน้าเคร่งเครียดกันอยู่

นอกจากจะเป็นเรื่องที่คุณยายกระดาษลี่ชุ่ยฮวาฆ่าคนจนเกิดเป็นเรื่องใหญ่ ถึงแม้ว่าเธอจะได้รับการลงทัณฑ์ไปแล้ว แต่ผลกระทบที่ตามมาก็ต้องได้รับการจัดการไม่ใช่รึไง?

ไม่มีวิธีไหนจะดีไปกว่าการหาใครขึ้นมาเป็นฮีโร่สักคนออกมา

แต่ประเด็นมันอยู่ที่ เย่เทียนไม่ใช่คนธรรมดา ถ้าจะให้เขามายืนอยู่ตรงหน้าทุกคน เขาจะเห็นด้วยมั้ย?

ถ้าให้คนอื่นขึ้นมารับตำแหน่งฮีโร่นี้ไป แล้วเย่เทียนจะโกรธมั้ย?

ด้วยเหตุนี้ ตอนที่เย่เทียนโทรศัพท์มา ทั้งสองฝ่ายก็เห็นพ้องต้องกันโดยที่ยังไม่ทันได้หารือกันเลยด้วยซ้ำ

ด้วยความที่กลัวเย่เทียนจะปฏิเสธ เฉาจื้อเหาถึงขั้นสั่งเฮลิคอปเตอร์อย่างตามใจให้ส่งโจ๋หย่วนหันกลับไปที่เจียงหนัน แถมยังถ่ายคลิปงานมอบรางวัลทั้งคืนเลยด้วย

แน่นอนว่า ด้วยปัญหาเรื่องเวลา จึงส่งผลให้งานแถลงข่าวของทางตำรวจไม่ได้จัดขึ้นเร็วขนาดนั้น

แต่ว่า ภายใต้การขอร้องอย่างหนักของเย่เทียน คลิปมันก็ถูกส่งไปที่เว็บไซต์ของทางตำรวจก่อนแล้ว

พอคลิปของการมอบรางวัลจบลง สายตาของเย่เทียนก็จ้องตรงไปที่เฉินหยัง แล้วพูดด้วยสีหน้าที่จะยิ้มไม่ยิ้มว่า “ทุกท่านสามารถลองดูข่าวที่กำลังเป็นกระแสอยู่ได้นะครับ”

เฉินหวั่นชิงที่ดีใจกับผลที่ออกมาดีเกินคาดและคนอื่นๆ ก็รีบเปิดดูคลิปอย่างรวดเร็ว ข่าวแรกก็ต้องเป็นการแถลงข่าวของทางตำรวจอยู่แล้ว พวกเขาชื่นชมความกล้าหาญที่เย่เทียนมี และสนับสนุนให้ทุกคนเอาเย่เทียนเป็นเยี่ยงอย่าง!

เย่เทียนแอบขำอย่างไม่ชอบใจไม่ยอมหยุด รู้สึกดูแคลนการตัดสินใจแบบนี้ของพวกเฉินหยัง

หนังสือพิมพ์? ตอนนี้มันสมัยไหนแล้ว ความเร็วในการเผยแพร่จะไปเร็วกว่าโซเชียลได้ยังไง?

ส่วนข่าวที่เป็นกระแสอันดับที่สองที่สาม ก็คือแถลงการณ์ขอโทษจากบริษัทต่างๆ กับเรื่องที่ไปทำร้ายเย่เทียนกับเฉินหวั่นชิงด้วยความไม่หวังดีเมื่อเช้า

เว็บไซต์ของบริษัทต่างๆ ไม่เพียงพาดหัวเรื่องการขอโทษที่มีต่อทั้งสอง และจะรีบตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ที่เป็นกระดาษออกมาให้เร็วที่สุด

ขอแค่อะไรผิดพลาด หุ้นของบริษัทที่ตกไปก่อนหน้านี้ก็น่าจะกลับขึ้นมาทันที และอาจจะสูงยิ่งกว่าเดิมด้วย!

เฉินหยังนั่งตกตะลึงอยู่บนเก้าอี้ ทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าทั้งๆ ที่ตัวเองวางแผนได้อย่างรอบคอบขนาดนี้แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถเอาชนะเฉินหวั่นชิงได้

“จริงด้วย ผมเกือบลืมบอกคุณไปเลยว่า เพื่อนของคุณที่มาหาผมตอนดึกๆ ดื่นๆ นั้น บังเอิญเขาก็เป็นเพื่อนของผมด้วยเหมือนกัน!”

เหมือนเย่เทียนจะนึกอะไรได้ แล้วพูดด้วยสีหน้าที่จะยิ้มไม่ยิ้ม “เพื่อนจริงๆ!”

ต่อให้จะไม่พอใจในตัวของเฉินหยังแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังแซ่เฉินอยู่ดี เย่เทียนจึงจำเป็นต้องคำนึงถึงความรู้สึกของเฉินหวั่นชิงกับท่านปู่เฉินด้วย

ให้คนไปขโมยของมันถือเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย เย่เทียนไม่ได้เปิดโปงเขาตรงๆ เพื่อกันไม่ให้ท่านปู่เฉินตกใจจนโรคหัวใจกำเริบ

“ว่าไงนะ?”

เฉินหยังนั้นถึงกับช็อกไปเลย

ทำไมเขาจะฟังที่เย่เทียนจะสื่อไม่ออก เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าไพ่ใบสุดท้ายที่ตัวเองคิดว่ามีอยู่ในมือนั้น มันกลับไม่ได้มีอยู่เลย!

ทันใดนั้น นอกจากความรู้สึกเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่ท้อแท้ของเฉินหยัง อีกสิบเปอร์เซ็นต์ก็ความโกรธที่มีต่อเจิ้นเซ่าเฉิน

เจิ้นเซ่าเฉินเป็นคนแนะนำเซี่ยนเฉียนจิ้งให้กับเขา เขาไม่แม้แต่จะรู้จักชื่อของเซี่ยนเฉียนจิ้งด้วยซ้ำ และดันบังเอิญไปเป็นเพื่อนของเย่เทียนอีก นี่มันไม่เท่ากับเป็นการวางกับดักเขาไม่ใช่รึไง?

“ทุกท่าน ในเมื่อปัญหาภายในของทุกท่านจัดการเรียบร้อยแล้ว งั้นก็ควรจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างเราแล้วใช่มั้ยครับ?”

ทันใดนั้นเอง ในที่สุดประธานกู่และประธานอีกสามคนที่คอยดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นก็ได้พูดออกมาสักที

“ถ้าผมทายไม่ผิด การที่ประธานทั้งสมาคมมาในวันนี้ ก็ตั้งใจที่จะมากดดันหวั่นชิงเหมือนกันใช่มั้ยครับ?”

เย่เทียนเหมือนเพิ่งจะสังเกตเห็นและได้มองไปที่ประธานทั้งสาม

ประธานทั้งสามที่นำทีมโดยประธานกู่ก็ได้พยักหน้าเบาๆ ถึงการที่เฉินหยังเสียผลประโยชน์จะอยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขาเหมือนกัน แต่มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเป้าหมายเดิมของพวกเขาอยู่แล้ว

ด้วยฐานะของเฉินหยัง มันไม่มีทางที่จะเชิญพวกเขามาได้อยู่แล้ว คนที่เชิญพวกเขามาคือเจิ้นเซ่าเฉินต่างหาก!

พวกเขามาเพื่อทวงหนี้ สำหรับพวกเขาการที่เฉินหยังได้ขึ้นเป็นประธานนั้น พวกเขาก็แค่ถือว่าเรื่องนี้เป็นแค่เรื่องสนุกๆ เท่านั้น แต่การที่เฉินหวั่นชิงยังนั่งอยู่บนตำแหน่งประธานมันกลับทำให้พวกเขารู้สึกไม่โอเคแล้ว!

เย่เทียนพูดด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยว่า “ติดหนี้แล้วชดใช้มันเป็นเรื่องธรรมดา ในเมื่อประธานทั้งสามอุตส่าห์มาด้วยตนเองแล้ว แบบนี้ไม่รอให้ประธานทั้งสามได้ตอบ เย่เทียนก็หันมองไปที่จางเจี้ยนถัง พูดด้วยสีหน้าที่จะยิ้มไม่ยิ้มว่า “ประธานจางครับ คุณคิดว่าที่ผมพูดมันถูกต้องมั้ยครับ?”

จางเจี้ยนถังคิ้วกระตุก ไม่เข้าใจว่าทำไมเย่เทียนถึงโยงมาที่ตน ยิ่งไม่เข้าใจว่าเย่เทียนคิดจะเล่นอะไรกันแน่

“คุณเย่ วิจัยและพัฒนาเงินก็ที่ธนาคารเจียงหวยของเรามีให้กับบริษัทแซ่เฉินตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้น มันก็ถือว่าพยายามอย่างเต็มที่แล้วนะครับ”

ยังไม่ทันที่จางเจี้ยนถังจะได้ตอบกลับ ประธานกู่ก็ชิงพูดไปก่อนว่า “ทุกท่านก็น่าจะรู้ดี ว่าธนาคารของเราเปิดขึ้นมาเพื่อทำธุรกิจ แต่เรื่องเครดิตและพวกหนีหนี้ก็มีไม่น้อย แล้วแบบนี้จะให้ธนาคารของเราดำเนินกิจการต่อไปยังไง?”

เย่เทียนพูดออกมาอย่างเรียบเฉยว่า “เพื่อความก้าวหน้าของประเทศ!”

“คำพูดนี้มันไม่ดูสวยหรูและประชดประชันไปหน่อยเหรอ?”

ประธานกู่ส่ายหน้าเบาๆ แล้วพูดอย่างลึกซึ้งว่า “ทุกคนต่างก็ทำธุรกิจกันทั้งนั้น ก็น่าจะเข้าใจดี สำหรับนักธุรกิจแล้วคำเดียวที่สำคัญที่สุดก็คือเชื่อ! แต่ตอนนี้บัญชีกลับเละเทะไปหมด จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่าพวกคุณมันไม่ได้รักษาคำพูดเลย”

“กับบริษัทที่ไม่รักษาคำพูด แล้วยังจะให้คนอื่นเขาเชื่อได้ยังได้ยังไงว่าจะสามารถนำความก้าวหน้ามาสู่ประเทศได้?”

“พูดได้ดี! ประธานกู่พูดได้มีเหตุผลมาก! เพียงแต่……”

สายตาของเย่เทียนมองตรงไปที่ประธานกู่ “ผมพูดเมื่อไหร่ว่าบริษัทแซ่เฉินของเราจะเบี้ยวหนี้ครับ?”

“อีกอย่างนะ ตามที่ผมเข้าใจ สัญญาที่บริษัทของเราเซ็นต์กับธนาคารของทุกท่านนั้นเป็นสัญญาแบบหนึ่งปี ลองคำนวณดูแล้ว ตอนนี้น่าจะยังเหลือเวลาอีกเดือนกว่าไม่ใช่เหรอครับ?”

เมื่อประธานทั้งสามได้ยินอย่างนั้น ก็ถึงกับพูดไม่ออกกันเลยทีเดียว

“ฮึ!” เมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้ ทำไมจางเจี้ยนถังจะมองไม่ออกว่าแผนที่วางไว้มันล้มเหลวหมดแล้ว เขาจ้องเขม็งไปที่เย่เทียน ลุกขึ้นแล้วอยากที่จะเดินจากไป

หุ้นไม่เพียงไม่ตกแต่กลับขึ้นสูงกว่าเดิม ประธานทั้งสามก็มีเหตุผลไม่มากพอที่จะเอาเรื่องเบี้ยวหนี้ แล้วจะอยู่ให้เป็นที่ระบายรึไง?

แต่ทว่า เย่เทียนจะปล่อยให้เขาจากไปง่ายๆ ได้ยังไง “ประธานจาง คุณอย่าเพิ่งรีบกลับสิครับ!”

“ทำไม? นี่คุณจะขวางผมให้ได้ใช่มั้ย?”

ยังไงจางเจี้ยนถังก็ไม่ยอมทำหน้าดีๆ กับเย่เทียนอยู่แล้ว

“ประมาณนั้นมั้ง!”

เย่เทียนขำแบบกวนๆ “ละครเรื่องนี้มันเพิ่งเล่นไปแค่ครึ่งเดียวเอง ยังเหลือจุดไคลแม็กซ์ของเรื่องให้ดูอีกนะครับ!”

พอพูดอย่างนั้นออกมา ทุกคนต่างก็งงไปตามๆ กัน ไม่รู้ว่าเย่เทียนกำลังเล่นอะไรอยู่กันแน่

“ผมจะรอดูว่าคุณคิดจะเล่นอะไรกันแน่!” จางเจี้ยนถังคิ้วกระตุกเล็กน้อย แล้วนั่งลงไปอีกครั้ง

“ในเมื่อ เมื่อกี้ได้พูดถึงเรื่องความซื่อสัตย์แล้ว ผมรู้สึกว่าประธานกู่พูดได้ดี พูดได้ดีมาก!”

เย่เทียนขี้เกียจไปยุ่งกับสามคนนั้น และได้ตะโกนออกไปนอกประตูว่า “เข้ามา!”

สิ้นเสียง ประตูของห้องประชุมก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง กู้กวนชีเดินนำบอดี้การ์ดที่ถือกระเป๋าเอกสารไว้ในมือเข้ามาสองคน

บอดี้การ์ดทั้งสองได้วางกระเป๋าไว้บนพื้นจากนั้นก็เดินออกไป ส่วนกู้กวนชีที่ยื่นเอกสารในมือให้เย่เทียนแล้วก็ได้อยู่ต่อแล้วไปยืนอยู่ข้างๆ เฉินหวั่นชิงที่กำลังตกใจสุดขีด

เย่เทียนได้หันกลับมามองจางเจี้ยนถังอีกครั้ง แล้วพูดด้วยสีหน้าที่จะยิ้มไม่ยิ้มว่า “ประธานจาง รบกวนคุณช่วยยกกระเป๋านั่นมาให้หน่อยได้มั้ยครับ?”

“ผมเหรอ?” จางเจียนถังประหลาดใจ พร้อมกับคิ้วที่ขมวดเป็นปม

“เย่เทียน นี่คุณคิดจะเล่นอะไรกันแน่?” เกาเสียงหยุนพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ชอบใจ

เย่เทียนได้เผยรอยยิ้มที่ยากจะเข้าใจออกมา “ดูต่อไปคุณก็จะเข้าใจแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ผมรับรองว่ามันต้องเป็นบทละครท่ีสุดยอดแน่นอน!