“ต่อจากนี้ ผมรับรองว่ามันต้องเป็นบทละครที่สุดยอดแน่นอน!”
เย่เทียนยิ้มออกมาอย่างลึกซึ้ง จากนั้นก็มุ่งเป้าไปที่จางเจี้ยนถังอีกครั้ง “ประธานจาง ผู้ชายอกสามศอกอย่างคุณ ทำไมยังทำตัวปวกเปียกเหมือนสาวๆ อีกล่ะครับ?”
“หวังว่ามันจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน ไม่อย่างนั้น ผมรับรองเลยว่าคุณจะต้องได้ชดใช้แน่นอน!”
จางเจี้ยนถังทำเสียงฮึดฮัด ลุกขึ้นแล้วยกกระเป๋าไปวางไว้บนโต๊ะประชุม
ยังไงเขาก็เป็นคนที่มีหน้ามีตา ไม่ใช่คนที่ใครๆ จะมาสั่งได้!
“ช่วงหลังมานี้ ผมได้อยู่กับรายงานทรัพย์สินของบริษัทแซ่เฉินตลอด หวั่นชิงอยากให้ผมเรียนรู้การบริหาร และไม่นึกเลยว่าผมจะไปเจอตัวบ่อนทำลายองค์กรเข้าจริงๆ!”
เย่เทียนได้ฟาดเอกสารที่ควงเล่นอยู่ในมือลงไปบนโต๊ะประชุมอย่างแรง สายตาก็จ้องเขม็งไปที่จางเจี้ยนถัง
“ประธานจาง คุณอยากดูหน่อยมั้ยครับ?”
พอจางเจี้ยนถังได้ยินอย่างนั้น จากสีหน้าเย็นชาในตอนแรก ก็ถูกแทนที่ด้วยความตกใจทันที
น้ำเสียงของเย่เทียนเคร่งขรึมลงไปมาก “อยากดูหรือไม่อยากดู? หรือว่าไม่มีความกล้ามากพอที่จะดูเลยครับ!”
“คุณเย่ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?” สีหน้าของน้าเหมยก็เคร่งขรึมลงไปเหมือนกัน ยื่นมือมาหยิบเอกสารไป
ไม่เพียงแค่เธอ แม้แต่สีหน้าของจี้หงยี่กับเถาเจิ้งหยันยังเปลี่ยนไปเลย
ยังไงพวกเขาก็เป็นหุ้นส่วนของบริษัทแซ่เฉิน การมีคนที่บ่อนทำลายองค์กรปรากฏตัวออกมา มันก็เท่ากับมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของพวกเขา แล้วจะไม่ให้โมโหได้ยังไงล่ะ?
กลับมองเกาเสียงหยุนด้วยสีหน้าที่ไม่ดีเหมือนกัน ส่วนลึกของแววตานั้นแฝงไปด้วยความรู้สึกที่ทำอะไรไม่ถูก รู้สึกแค่มีความหนาวเย็นแล่นขึ้นมาจากใต้ฝ่าเท้า จนหนาวไปทั้งตัว
เย่เทียนพูดออกไปอย่างจริงจังว่า “ประธานจาง ทำไมในทุกๆ ปีหลังจากวัตถุดิบที่มีมูลค่านับสิบล้านผ่านมือคุณไป มันก็หายไปอย่างน่าประหลาดเหรอครับ!”
มีเหงื่อเย็นผุดขึ้นมาที่หน้าผากของจางเจี้ยนถังทันที และได้พูดสวนไปว่า “ไม่ว่าขั้นตอนในการวิจัยหรือผลิต วัตถุดิบมันก็ต้องมีการสูญเสียเป็นเรื่องธรรมดา”
“สูญเสียเป็นเรื่องธรรมดา?”
เย่เทียนขำอย่างไม่ชอบใจไม่ยอมหยุด “ถ้าอย่างนั้นก็เอาสินค้าที่ไม่สมบูรณ์ออกมา ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันเสียหายขนาดไหนถึงเรียกว่าการสูญเสียที่ธรรมดาของคุณ!”
“คุณเย่!”
แผ่นหลังของจางเจี้ยนถังเย็นวาบ และอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเฉินหั่นชิง “หวั่นชิง!”
ทว่า เฉินหวั่นชิงได้ตกใจกับข่าวนี้จนช็อกไปนานแล้ว จะไม่สนใจเขาได้ยังไง
เย่เทียนขำอย่างต่อเนื่อง “เอาออกมาไม่ได้ใช่มั้ย? งั้นก็อย่าหาว่าผมใจดำเลยนะ!”
เฉินหวั่นชิงติดสติได้ แล้วถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “จางเจี้ยถัง! ทำไม!”
“ที่รัก มันจะเป็นอะไรไปได้ล่ะ? พูดกันตามตรงมันก็เพื่อเงินนั่นแหละ!”
เย่เทียนเบ้ปาก มองไปที่นาฬิกาข้อมือ “ประธานจาง อย่าหาว่าผมใส่ร้ายคุณเลยนะ ผมให้เวลาคุณสามสิบวิในการอธิบาย
“เย่เทียน แกมันเป็นแค่คนนอก!”
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว จางเจี้ยนถังจะมัวกลัว และยิ่งยอมถอยไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้น มันก็เท่ากับยอมรับว่าตัวเองเป็นคนที่คอยบ่อนทำลายองค์กรทันที!
เย่เทียนไม่อยากพูดมากกับเขาตั้งแต่แรกแล้ว และได้บอกเวลาด้วยท่าทางที่เรียบเฉยว่า “ยี่สิบเจ็ดวิ!”
“มันช่างเกินความคาดหมายของผมจริงๆ”
“ยี่สิบสามวิ!”
จางเจี้ยนถังกวาดตามองพวกประธานที่อยู่รอบๆ “ผมมีถือหุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของบริษัทแซ่เฉินไว้ในครอบครอง ผมคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ที่จะจัดการกับเศษเหล็กพวกนั้นอยู่แล้ว”
“เหลวไหล! เศษเหล็กอย่างนั้นเหรอ?”
เย่เทียนตะคอกด้วยเสียงที่เคร่งขรึม “คุณเป็นพนักงานขายเหรอ? เผลอแปบเดียวก็ขายวัตถุดิบให้บริษัทอื่นไปหมดแล้ว?”
“สิ่งที่คุณเอาไปมันไม่ใช่เงิน แต่มันเป็นหัวใจนับพันของคนในบริษัทแซ่เฉิน! เลือดเนื้อของคนอีกนับพัน!”
“การกระทำแบบนี้ของคุณมันถือเป็นการทำผิดอย่างไม่ต้องปฏิเสธ!”
“นี่……” จางเจี้ยนถังยังอยากพูดต่อ
แต่เย่เทียนก็พูดขัดขึ้นมาก่อน “ประธานจาง ในเมื่อคุณไม่สามารถอธิบายได้ งั้นผมก็จะไม่เสียเวลากับคุณ ส่งคุณไปที่โรงพัก พวกเขามีเวลาที่จะฟังคำอธิบายจากคุณมากกว่าผม”
จางเจี้ยนถังแตกตื่นขึ้นมาทันที ถ้าต้องถูกส่งไปที่โรงพักจริง ไม่ใช่แค่เขา แม้แต่จางฟู่ฉีที่เคยทำงานอยู่ในบริษัทเเซ่เฉินก็น่าจะหนีไม่รอดเหมือนกัน
ไท่ว่าจะคิดยังไง หรือต่อให้คิดจนสมองระเบิดเขาก็ไม่มีทางคาดคิดว่าการกดดันในวันนี้ ไม่เพียงไม่สามารถทำให้เฉินหวั่นชิงลงจากตำแหน่งได้ ตอนนี้แม้แต่ตัวเองก็จะถูกลากเข้าไปด้วยแล้ว!
เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ จางเจี้ยนถังก็จำเป็นต้องก้มหัว “คุณเย่ คุณชายเย่ ช่วยเหลือทางรอดให้คนแซ่จางบางคนกับคนของตระกูลจางสักหน่อยได้มั้ยครับ? การอยู่มาถึงปูนนี้ผมก็ถือว่าพอใจแล้ว แต่ลูกชายของผมอายุยังน้อย……”
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ เย่เทียนก็โบกมือ “ลูกชายของคุณอายุเท่าไหร่มันเกี่ยวอะไรกับผม? ผมรู้แค่ว่า ถ้าทำความผิดก็ต้องชดใช้เท่านั้น!”
จางเจี้ยนถังพูดอย่างเจ็บช้ำน้ำใจว่า “นี่คุณคิดจะทำลายตระกูลจางของผมไม่ให้เหลือเลยสินะ!”
“ผมไม่ใช่ยมบาลสักหน่อย จะไปทำลายตระกูลจางของคุณได้ยังไง?” เย่เทียน ส่ายหัวด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย
การแสดงออกที่เย็นชาของเขามันยิ่งกระตุ้นจางเจี้ยนถังมากขึ้นไปอีก น้ำเสียงก็เย็นเยือกลงมา
“คุณรู้มั้ยว่าการที่คุณทำอะไรตามอำเภอใจนั้น ทำให้คนต้องเดือดร้อนไปมากมายขนาดไหน?”
เย่เทียนเบ้ปาก ทำให้ไม่ได้ยินด้วยซ้ำ “ที่พวกเขาต้องเดือดร้อนมันก็เพราะคุณ มันเกี่ยวอะไรกับผม?”
“นี่คุณไม่สนใจอนาคตของบริษัทแซ่เฉิน หรือแม้แต่ชีวิตก็ไม่เอาแล้ว!”
จางเจี้ยนถังที่โมโหสุดขีดเริ่มพูดจาข่มขู่ขึ้นมา
“หุบปาก!”
เย่เทียนตะโกนขัด “สำหรับเย่เทียนคนนี้ ศักดิ์ศรีมันสำคัญกว่าเงิน! สำคัญกว่าชีวิต!”
เขาลุกออกจากที่ เดินวนไปรอบโต๊ะประชุม แล้วพูดออกมาอย่างน่าเกรงขามว่า “การที่คุณยักยอกทรัพย์สิน ใช้อำนาจเพื่อตนเอง ทรยศต่อความเชื่อใจ แล้วมันต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉานล่ะ?”
“ผมอยากจะถามคุณว่าการทำเรื่องที่เนรคุณแบบนี้ จะเอาหน้าไปพบคนนับพันของบริษัทแซ่เฉินได้ยังไง?!”
พูดออกมาได้ชัดเจนขนาดนี้แล้ว จางเจี้ยนถังจึงตัดสินใจแถให้ถึงที่สุด “ผมนี่มองไม่ออกเลยจริงๆ ” คุณนี่เป็นคนที่พูดโน้มน้าวได้เก่งระดับสุดยอดเลย! ถ้าคุณไม่ได้ไปเป็นนักกล่าวสุนทรพจน์นี่ถือว่าเสียดายมาก!”
“รู้รึเปล่าว่าเย่เทียนคนนี้เกลียดคนแบบไหนที่สุด?”
เย่เทียนยกมือขึ้นมาชี้ไปที่จาเจี้ยนถัง “ใช้อำนาจที่มีทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว รับสินบน คาดสินบนและทำผิดกฎหมาย หรือก็คือคนชั่วอย่างคุณนี่แหละ!”
“เลิกใช้คำพูดที่หยาบคายมาด่าคนอื่นได้แล้ว!” จางเจี้ยนถังตะคอกออกมา
เย่เทียนเบ้ปาก แล้วพูดประชดไปว่า “ทำไม? กล้าทำไม่กล้ารับเหรอ?”
จางเจี้ยนถังเดิมมาข้างหน้าเย่เทียน แล้วจ้องมองไปตรงๆ “แกคิดว่ากับอีแค่รายงานพวกนี้ กับพวกหลักฐานอะไรที่ไม่น่าเชื่อถือ ก็สามารถกล่าวหาว่าฉันยักยอกทรัพย์ได้แล้วอย่างนั้นเหรอ?!”
เย่เทียนไม่หยุดที่จะยิ้มอย่างไม่ชอบใจ “คุณคิดว่าผมไม่มีหลักฐานที่แน่นหนาพอใช่มั้ย?”
“ใช่มั้ยล่ะ? ไม่อย่างนั้นแกก็เอามันออกมาสิ!”
“มีพยานคนหนึ่งที่รู้เรื่องพวกนี้ เมื่อคืนได้ทำข้อตกลงกับผมอย่างหนึ่ง ก็คือการบอกตัวการหลักของการยักยอกทรัพย์สินที่ตัวเองรับผิดชอบอยู่ จากนั้นก็คืนเงินทั้งหมดที่เขาเอาไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพื่อให้ผมปล่อยเขาไป”
เย่เทียนก้าวเดินต่อไป ย่างเท้ามาอยู่ข้างหลังของพวกประธาน
“พยานคนนี้ได้มอบหลักฐานซึ่งเป็นคลิปแอบถ่ายที่มันมากพอที่จะส่งตัวการในการยักยอกทรัพย์เข้าไปอยู่ในคุกได้!”
“ประธานจาง ถ้าพวกนี้ไม่ใช่หลักฐาน งั้นผมก็อยากถามคุณเหมือนกัน ว่าอะไรถึงจะเรียกว่าหลักฐานได้?”
ระหว่างที่พูด เย่เทียนก็ไปหยุดอยู่ที่ข้างหลังของเกาเสียงหยุน วางมือลงไปที่พนักพิงของเก้าอี้ที่เกาเสียงหยุนนั่งอยู่ และสิ่งที่ต้องการจะสื่อไม่ต้องพูดก็เป็นที่รู้กัน…