ตอนที่ 380: จากหุบเขายั่งยืน
ร่างของเจี้ยนเฉินร่วงตกลงมาที่พื้น ในตอนนี้ เขานั้นสูญเสียพลังเซียนไปแล้ว การตกลงมาจากความสูงกว่าร้อย เมตรนั้นอาจทำให้เขาได้รับบาดเจ็บร้ายแรงได้แม้ว่าเขาจะไม่ตาย
เจี้ยนเฉินไม่กลัวความตาย เขาใช้จิตใจของเขาในการควบคุมธาตุลมในธรรมชาติอีกครั้ง ในตอนที่เขาทดลองให้การทรงตัวกลับคืนมา เขาก็ไม่ตกลงไปต่อ ในที่สุดในตอนที่เขาอยู่สูง 50 เมตรจากพื้นและไม่ได้รับอันตรายใดใด
เขาถอนหายใจออกมา ในขณะที่เขาสลัดความกลัวออกไป เขาเริ่มคิด พลังในการบินนั้นดูเหมือนจะเกือบไม่มีขีดจำกัด แต่มันก็ไม่ใช่อะไรที่ล้อเล่นได้ ถ้ายังควบคุมไม่ได้อย่างไร้ที่ติก็จะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
เซี่ยวมี่บินไปหาเจี้ยนเฉินก่อนที่จะยิ้มให้เขา “เจ้าหนุ่ม เจ้าสบายดีหรือไม่ ? “
“ไม่เป็นไร ข้าสบายดี ! ” เจี้ยนเฉินพูดออกมาพร้อมตระหนกเล็กน้อยในใจ
เซี่ยวมี่เริ่มหัวเราะ “ถ้าเจ้ายังไม่ชำนาญในการบิน ก็จะดีที่สุดถ้าเจ้าไม่บินสูงเกินไป ไม่เช่นนั้น ถ้าเจ้าตกลงมาจากความสูงร้อยเมตร หรืออาจจะพันเมตร แม้แต่เซียนสวรรค์ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บสาหัสได้”
เซี่ยวมี่บอกเล่าประสบการณ์ของเขากับเจี้ยนเฉิน ก่อนที่จะอธิบายเคล็ดลับหลายอย่างให้เจี้ยนเฉิน จากนั้น เขาก็กลับไปที่ไร่ หลังจากที่เจอเหตุการณ์แบบนั้นแล้ว เจี้ยนเฉินก็ไม่กล้าที่จะบินสูงและอยู่ที่ระดับ 10 เมตรเหนือพื้นดินแทน
สามวันถัดมา เจี้ยนเฉินใช้เวลาส่วนใหญ่ไปในการฝึกบิน โชคดีที่ความสามารถในการเรียนรู้ของเขานั้นดีมาก มันคงจะใช้เวลาเดือนหรือสองเดือนสำหรับคนธรรมดาที่จะสามารถเข้าใจหลักการในการบินได้ แต่ในเวลาแค่ 3 วัน เขาก็เข้าใจวิธีการบินอย่างสมบูรณ์
ในตอนนี้ ความสามารถในการบินของเจี้ยนเฉินนั้นก็เหมือนกับการที่เขาเดินบนพื้นดิน เขาไม่พบว่ามันยากอีกแล้ว และถ้าเขาถูกลมรุนแรงพัดที่ระดับความสูงพันเมตรอีก เขาก็คงไม่รู้สึกอะไร เขามั่นคงเหมือนบ้านที่ไม่เคลื่อนไหวแต่น้อยเมื่อปะทะกับลม และเขาก็ไม่ร่วงลงไปที่พื้น
แม้แต่เซี่ยวมี่ก็ได้แต่อุทานออกมาอย่างตะลึงเมื่อเห็นว่าเจี้ยนเฉินสามารถชำนาญในการบินได้ในเวลา 3 วัน เขาชื่นชมและกล่าวว่าในตอนที่เขาได้เป็นเซียนสวรรค์นั้น เขาใช้เวลาถึง 2 เดือนในการเรียนรู้ที่จะบิน
ในวันนี้ เจี้ยนเฉินกำลังทานอาหารกับครอบครัว แม้ว่าเซี่ยวมี่และผู้เฒ่าเซี่ยวไม่จำเป็นที่จะต้องกินอาหาร แต่พวกเขาก็มาทานอาหารวันละ 3 มื้อและใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ
ที่โต๊ะ เจี้ยนเฉินมองไปที่ครอบครัวแล้วพูดออกมาว่า “เจ้าอ้วนน้อย ท่านป้าเซี่ยว ท่านลุงเซี่ยวมี่ ผู้เฒ่าเซี่ยว ข้าคิดที่จะออกไปจากหุบเขายั่งยืนสักสองสามวันเพื่อที่จะไปเอาของหลายอย่างของข้า”
หลังจากที่ได้ยินว่าเจี้ยนเฉินคิดจะออกไปยังโลกภายนอก สายตาของอ้วนน้อยก็เป็นประกายอย่างอธิบายไม่ได้ หลังจากที่มองไปที่ปู่ของเขา ประกายนั้นก็หายไป เขามองอย่างอิจฉาแล้วพูดกับเจี้ยนเฉิน “เจี้ยนเฉิน กลับมาเร็ว ๆ นะ เจ้าสัญญาว่าจะช่วยข้าสร้างบ้านใหม่ อย่าลืมซะล่ะ ! “
เจี้ยนเฉินหัวเราะแล้วพูดออกมา “อย่าห่วงไปเลย อ้วนน้อย ข้าได้สัญญาไปแล้วว่าข้าจะทำ รอให้ข้าเอาของของข้ากลับมาก่อน ข้าจะมาช่วยเจ้าสร้างบ้านใหม่แน่”
“เจี้ยนเฉิน หุบเขายั่งยืนห่างจากโลกภายนอกอย่างน้อยเป็นพันกิโลเมตร นอกเหนือไปจากนั้น ถนนนั้นเต็มไปด้วยสัตว์อสูรที่อันตราย เจ้าต้องระวังให้ดี” บิดาของเจ้าอ้วนน้อย เซี่ยวมี่กล่าวอย่างห่วงใย
เขากัดซาลาเปาที่อยู่ในมือแล้วพูดออกมาด้วยเสียงที่อยู่ในลำคอเล็กน้อย “อย่าห่วงไปเลย ท่านลุงเซี่ยวมี่ ข้าจะระวังแน่นอน”
ปู่ไม่ได้พูดอะไรออกมาและกินอาหารเช้าของเขาต่อไปอย่างเงียบ ๆ
หลังจากที่ทานอาหารและล่ำลาเสร็จแล้ว เจี้ยนเฉินก็บินไปบนอากาศและออกไปยังทิศทางที่เซี่ยวมี่บอก มันเป็นทางที่ใช้ออกไปจากหุบเขา
เจี้ยนเฉินกำลังบินอยู่เหนือพื้นดิน 500 เมตร เขารู้สึกว่าสายลมพัดผ่านหูและหว่างขาของเขา ในตอนนี้ เขามีความรู้สึกเหมือนที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน แต่เขารู้ว่ามันทำให้เขามีความสุข การบินไปในอากาศและการวิ่งบนพื้นนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าเขาจะยังไม่เร็วมากเหมือนตอนที่เขาใช้ทักษะชะตาขโมยสวรรค์หรือทักษะมายาพริบตา แต่เขาก็เคลื่อนที่ไปได้ด้วยความเร็วพอสมควร ความเร็วของเขาจากการที่มีธาตุลมเข้าช่วยนั้นช้ากว่าผู้อาวุโสสามของตระกูลชิ แต่เขาก็ไม่ได้ใช้พลังงานมากในบินไป ด้วยจิตใจที่แข็งแกร่งของเขา เขาสามารถควบคุมลมปริมาณน้อย ๆ เพื่อที่จะให้เขาบินไปได้โดยไม่ใช้พลังงานมากนัก
นี่เป็นครั้งแรกที่เจี้ยนเฉินบินไปในอากาศด้วยพลังของเขาเอง ดังนั้น มันจึงเป็นความรู้สึกที่น่าอัศจรรย์ ระหว่างทาง เขาก็มองไปรอบ ๆ ในขณะที่เขาชื่นชมกับภาพรอบ ๆ
ในตอนนี้เอง จู่ ๆ เมฆสีดำก็พุ่งมาทางเจี้ยนเฉินห่างจากตัวเขาเล็กน้อยเท่านั้น
ในตอนที่เจี้ยนเฉินเห็นเมฆดำที่กำลังตรงมาที่เขา ตาของเขาก็เพ่งมองเพื่อพยายามมองว่าอะไรที่กำลังเข้ามาทางเขา ปรากฏว่าเมฆดำนั้นเป็นสัตว์อสูรที่บินได้หลายตัว
“ข้ามาเจอกับฝูงนกปีกดำเข้า ! ” เจี้ยนเฉินเคยอ่านเกี่ยวกับนกปีกดำที่ห้องสมุดของสำนักคากัตมา นกพวกนี้อยู่ด้วยกันในภูเขาและมีร่างที่ใหญ่โต นกปีกดำที่โตเต็มที่แล้วจะมีขนาดเท่ากับมนุษย์ผู้ใหญ่เป็นอย่างน้อย พร้อมทั้งมีปีกที่กางได้กว้างถึง 10 เมตร
นกปีกดำพวกนี้ไม่ใช่สัตว์อสูรระดับ 5 พวกมันส่วนมากเป็นระดับ 3 และระดับ 4 เป็นอย่างมาก
เจี้ยนเฉินไม่ได้ลดความเร็วและบินไปทางฝูงนกปีกดำ ในตอนที่เขาอยู่ในระยะ 10 กิโลเมตร ต้นไม้หลายต้นที่อยู่ด้านล่างฝูงนกก็พุ่งขึ้นมาทันที มันระเบิดกลายเป็นเสี้ยน และพุ่งไปทางฝูงนกเหมือนดาวตกสีฟ้าและม่วง
พวกนกปีกดำไม่ทันตั้งตัวและถูกแทงทะลุร่างกายโดยต้นไม้และเริ่มหล่นลงไปบนพื้น
ในไม่กี่ชั่วอึดใจถัดมา นกนับร้อยก็ไม่สามารถทนบาดแผลทั่วร่างของพวกมันได้ ทำให้พวกมันไม่สามารถบินต่อไปได้
ในตอนนี้ความแข็งแกร่งของเจี้ยนเฉินนั้นเทียบเท่ากับเซียนสวรรค์ สัตว์อสูรระดับ 4 อย่างนกปีกดำจึงเทียบเขาไม่ได้ ด้วยความสามารถของเจี้ยนเฉินในการควบคุมสิ่งมีชีวิตด้วยจิตใจของเขา เขาสามารถต่อสู้ได้โดยใช้กลยุทธ์นี้กับศัตรูที่มีมากกว่า
ระหว่างทาง เจี้ยนเฉินก็ไปเจอเข้ากับสัตว์อสูร 3 กลุ่ม อย่างไรก็ตาม สัตว์อสูรเหล่านี้ไม่ใช่ระดับ 4 และเป็นสัตว์อสูรระดับ 5 พวกมันมีความฉลาดโดยธรรมชาติและสัญชาตญาณก็เตือนพวกมันไม่ให้โจมตีคนที่บินได้
2 ชั่วยามต่อมา เจี้ยนเฉินก็เดินทางไปได้ 2,000 กิโลเมตรและมาถึงที่เทือกเขา จากนั้นหลังจากที่ไปต่ออีก 100 กิโลเมตร เขาก็มาถึงที่สถานที่ต่อสู้ที่เขาเคยสู้กับเซียนสวรรค์ 8 คน เขาไม่ลังเลใดใด และบินต่อไปอีก 100 กิโลเมตรไปยังสถานที่ที่เขาซ่อนลูกเสือขาวเอาไว้
เจี้ยนเฉินใช้เวลาไม่นานนักในการไปถึงที่นั่น เขาลดระดับลงบนพื้นอย่างช้าช้า เขาไปยังที่ต้นไม้ที่เขาซ่อนลูกเสือเอาไว้ ในตอนที่เขาเห็นว่าที่กำบังได้หายไป และเขาก็หาลูกเสือไม่พบ
นี่ไม่ทำให้เจี้ยนเฉินแปลกใจเลย เขาพบร่องรอยก่อนหน้านี้และพยายามที่จะตามไปหาลูกเสือที่หายไป หลังจากนั้นสักพัก เขาก็ไม่พบอะไร
เจี้ยนเฉินเคร่งเครียดเมื่อมาถึงตอนนี้ แต่เขาก็ไม่โวยวายไป แม้ว่าลูกเสือจะหายไป เขาก็ยังมีวิธีการในการหามันอยู่
ทันใดนั้นเอง เขาก็บินขึ้นไปและบินไปที่เมืองหมิงหยาง ครึ่งชั่วโมงต่อมา เขาก็มาถึงที่ท้องฟ้าเหนือเมืองโดยที่ไม่ได้พรางตัวเองเลย เขาบินอยู่ที่เมืองท่ามกลางสายตาของทุกคน
ในตอนนี้ เมืองหมิงหยางได้กลับสู่สภาพปกติแล้ว อารมณ์คลั่งที่พวกเขามีมาสักพักในการตามหาลูกเสือได้หายไปนานแล้ว และภาพของใบหน้าเจี้ยนเฉินก็ถูกปลดไปแล้ว หลังจากสองวันที่เจี้ยนเฉินจากไป ข่าวทั้งหมดที่เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ก็หายไป
แต่ในตอนที่เจี้ยนเฉินบินเข้าไปในท้องฟ้า เขาก็ถูกคนด้านล่างเห็นทันที แต่ละคนเงยหน้าขึ้นบนท้องฟ้าและอ้าปากค้าง ข่าวกระจายไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็ว และทุกคนก็ระวังตัวเรื่องที่มีเซียนสวรรค์มาที่เมือง
จวนเจ้าเมืองเป็นที่แรกที่ได้ข่าวนี้ และให้ทหารออกมาเพื่อต้อนรับเขา ในยุคนี้ที่เซียนผู้คุมกฎนั้นแยกตัวออกจากโลกภายนอก เซียนสวรรค์ที่ว่าเป็นผู้ที่อยู่จุดสูงสุดของปีรามิดในทวีป การที่เซียนสวรรค์มาที่เมืองหมิงหยางนั้นไม่ใช่เหตุการณ์เล็กเล็ก
ภายในตระกูลหวงฟู่ เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นไม่ได้มีผลกระทบมากมายอะไรกับตระกูลของพวกเขา ที่อยู่ของพวกเขานั้นสงบอีกครั้งและมีทหารเดินตรวจตราอยู่รอบรอบที่อยู่เพื่อความปลอดภัยของพวกเขา
ในตอนที่กองทหารกำลังเดินผ่านบ้านร้าง ยางคนก็ร้องขึ้นมา “หัวหน้า ดูบนท้องฟ้าซิ ! “
จากนั้น พวกทหารก็เงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าทีละคน และเมื่อพวกเขามองไป พวกเขาก็ตกตะลึงทันทีและตาของพวกเขาก็เบิดกว้างเหมือนจานข้าว
คนที่ใส่ชุดธรรมดาลดตัวลงจากท้องฟ้าห่าง 3 เมตรจากกองทหาร
“ซะ ซะ เซียนสวรรค์ ! ” หัวหน้ามองอย่าตกใจมากในขณะที่เขาจ้องมองใบหน้าหนุ่มของเจี้ยนเฉินอย่างไม่เชื่อสายตา
การที่คนหนุ่มขนาดนี้เป็นเซียนสวรรค์นั้น เป็นอะไรที่เขาเกือบไม่เคยได้ยินมาก่อน
“ทะ ท่านที่เคารพ ข้าเป็นหัวหน้าของหน่วยที่สามของตระกูลหวงฟู่ มีอะไรให้ข้ารับใช้ได้บ้าง ? ” หัวหน้าพยายามควบคุมความตกใจในเสียงของเขา แต่เขาก็พูดตะกุกตะกัก
เจี้ยนเฉินจ้องไปที่ทหารเล็กน้อยก่อนที่โบกมือ “ที่นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ไปทำอะไรที่เจ้าควรจะทำเถอะ” น้ำเสียงเหมือนว่าเจี้ยนเฉินนั้นเป็นหัวหน้าของตระกูลหวงฟู่
หัวหน้าไม่ได้คัดค้านอะไรและคำนับอย่างเคารพก่อนที่จะพาทหารของเขาออกไปจากบริเวณนั้น