บทที่ 44 Ink Stone_Romance
“แล้วคุณซาร่าชอบท่านมาร์ควิสวินเซนต์ไหมคะ”
คำถามของอาเรียที่โพล่งออกไปอย่างกะทันหันทำเอาทุกคนหยุดนิ่งและหันไปมองเธอ หน้าตาของทุกคนกำลังบอกว่า ‘เธอพูดเรื่องอะไรออกมา รู้ตัวรึเปล่า’
เขาเป็นถึงท่านมาร์ควิสวินเซนต์เชียวนะ! จะมีใครกล้าปฏิเสธกันเล่า ถ้าถูกเขาเลือกให้เป็นคู่ครองแล้วมีหรือจะไม่ชอบใจ ซาร่าก็เช่นเดียวกัน
“เรื่องนั้น…”
แต่ทว่าซาร่าไม่สามารถตอบได้อย่างเต็มปาก เพราะเธอปล่อยให้ความจริงที่ว่าท่านมาร์ควิสวินเซนต์สนใจในตัวเธออยู่เหนือความรู้สึกของตนเองที่มีต่อเขา
เพราะหลงดีอกดีใจไปกับการที่คนเพียบพร้อมแบบเขาเป็นฝ่ายให้ความสนใจกับเธอก่อน เลยไม่ได้คิดเลยว่าที่จริงแล้วหัวใจตนเองรู้สึกอย่างไร
เมื่อเห็นว่าซาร่าตอบไม่ได้ อาเรียจึงพูดขึ้นมา
“หนูอยากให้คุณซาร่าได้พบกับคนที่จะนำพาแต่ความสุขมาให้ค่ะ”
และแน่นอนว่าคนคนนั้นก็คือท่านมาร์ควิสวินเซนต์ เพราะฉันได้ยินข่าวลือมาว่าชีวิตแต่งงานของเธอเต็มไปด้วยความสุข
อาเรียนึกถึงสีหน้าของท่านมาร์ควิสวินเซนต์ที่เคยได้เจอกันเป็นครั้งคราวในงานฉลองบรรลุนิติภาวะ ทำให้เธอเดาว่าที่ตอนนี้เขาดูอ่อนโยนต่างไปจากข่าวลือ อาจเป็นเพราะเขาได้พบกับซาร่านั่นเอง
ถึงอย่างนั้นก็ตามการที่อาเรียถามความเห็นของซาร่าอย่างจริงจังนั้นก็เพื่อที่จะได้ทำตัวเป็นผู้ให้คำแนะนำที่ฟังดูน้ำเน่าแบบนี้นั่นเอง ซาร่าเข้าใจถึงความหมายในสิ่งที่อาเรียพูด ขอบตาของเธอเริ่มแดงขึ้นมา เพราะมีความรู้สึกดีต่ออาเรียเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงรู้สึกประทับกับอะไรได้ง่ายๆ ช่างเป็นผู้หญิงที่อ่อนไหวเสียจริง
“ขอบคุณมากนะคะ ดิฉันไม่ได้คิดถึงใจของตัวเองเลย”
“แน่นอนว่าท่านมาร์ควิสวินเซนต์ต้องเป็นผู้ชายที่ดีแน่ๆ ค่ะ แต่ถึงยังไงหนูก็อยากให้คุณซาร่าได้เลือกทางที่จะทำให้ตัวเองมีความสุขจริงๆ ค่ะ”
“ดิฉันจะจำไว้ให้ขึ้นใจเลยค่ะ! ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณเลดี้อาเรียจริงๆ ค่ะ”
แน่ละ ทั้งหมดนั่นต้องขอบใจฉัน สายธารอันยิ่งใหญ่ที่จะเป็นกำลังสำคัญให้กับอนาคตของอาเรีย กำลังไหลไปในทิศทางของมันอย่างราบรื่น ดูเหมือนว่าวันนี้เธอจะพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ทดแทนการนอนไม่หลับในคืนที่ผ่านมาได้แล้วละ
***
หลังจากงานเลี้ยงจบไปไม่กี่วัน แอนนี่ดูจิตใจล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แววตาของเธอเหมือนกำลังตกอยู่ในความฝันอย่างไรอย่างนั้น
เคาน์ติสสามารถเลื่อนสถานะทางสังคมให้สูงขึ้นได้ด้วยรูปร่างหน้าตาที่สวยงาม แต่ซาร่านั้นต่างออกไป ดูเหมือนการที่ผู้หญิงหน้าตาธรรมดาแบบเธอ สามารถดึงดูดความสนใจของชายผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดคนหนึ่งในราชอาณาจักรได้ จะสร้างความกระทบกระเทือนต่อจิตใจของแอนนี่ไม่น้อยทีเดียว
“แอนนี่ เมื่อกี้เธอทำความสะอาดตรงนั้นไปแล้วไม่ใช่หรือ”
“อะ ขออภัยค่ะ เลดี้”
แอนนี่เช็ดวงกบหน้าต่างไปเป็นครั้งที่สามแล้ว เธอเช็ดวงกบที่ถูกเจสซี่ขัดจนสะอาดในตอนเช้าแล้วอย่างเลื่อนลอย
“ห้องฉันสะอาดดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำความสะอาดแล้วละ มานั่งตรงนี้เร็วเข้า”
แอนนี่เร่งฝีเท้าตึกๆ ไปนั่งยังฝั่งตรงข้ามตามที่นิ้วของอาเรียชี้ไป
“ไปงานเลี้ยงครั้งแรกรู้สึกยังไงบ้าง”
“ชอบมากๆ เลยค่ะ เป็นงานที่ดีเกินไปสำหรับคนอย่างดิฉันด้วยซ้ำไปค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ”
“ใช่ค่ะ! เลดี้ทุกท่านก็หน้าตาสะสวยมากๆ ค่ะ แต่ในบรรดาเลดี้ทั้งหมด เลดี้อาเรียกลับสวยสะดุดตามากที่เลยค่ะ ดิฉันไม่เคยสังเกตเลยเพราะรับใช้เลดี้อยู่ทุกวัน เลยรู้สึกว่าเลดี้ของดิฉันเป็นคนที่สวยมากๆ เลยนะคะ”
ทั้งที่ไม่มีใครบังคับแท้ๆ แต่ก็พูดโกหกสอพลอออกมาหน้าตาเฉย อาเรียยิ้มเล็กน้อย ทำให้แอนนี่มั่นใจขึ้นแล้วพูดเสียงดังขึ้น
“ทั้งที่เลดี้ไม่ได้แต่งตัวหรูหราเป็นพิเศษแท้ๆ แต่ทำไมถึงสวยได้มากขนาดนี้กันละค่ะ เป็นความสวยที่มีมาแต่กำเนิดสินะคะ ท่านผู้หญิงเคาน์ติสก็มีรูปโฉมงดงามยิ่งนัก ความงามนั้นคงถ่ายทอดมาให้กับเลดี้แน่ๆ เลยค่ะ”
หลังจากสาดคำยกยอใส่อาเรียเสียมากมาย แอนนี่ก็เม้มปากเล็กน้อยและหยุดพูด ดูท่าว่าเธอจะตระหนักขึ้นมาได้ว่าตนเองไม่ได้มีรูปโฉมงดงามที่ได้รับสืบทอดจากมารดาอย่างอาเรีย
อาเรียหยิบมาการองขึ้นมาหนึ่งชิ้น แล้วยื่นไปจ่อที่ปากของแอนนี่ แอนนี่เบิกตาโตขึ้นมา
“เธอก็สวยเหมือนกัน ทำหน้าเบิกบานเข้าไว้สิ รู้ไหมว่าวันนี้เธอน่ารักขนาดไหน”
“…จริงเหรอคะ”
“จริงสิ คิดหรือว่าฉันจะพาคนที่หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ไปงานเลี้ยงด้วยน่ะ เธอลืมคำชมของพวกเลดี้ไปแล้วสิท่า”
แอนนี่เขินหน้าแดง
มันต้องอย่างนี้สิ หล่อนต้องรู้สึกอยากได้อยากมีเข้าไว้ จงมั่นใจในตัวเองแล้วทำตัวจองหองอวดดีเสียเถอะ อย่างนั้นแล้วบ้านหลังนี้จะได้เต็มไปด้วยคนทิ่มๆ แบบหล่อน และมิเอลก็จะทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น
“ถ้าฉันพาเธอไปงานเลี้ยงที่มีท่านชายทั้งหลายเข้าร่วมจะเป็นอย่างไรกันนะ”
ริมฝีปากของแอนนี่มีสีของมาการองติดอยู่ บริเวณริมฝีปากที่ถูกมาการองผ่านเข้าไปถูกย้อมเป็นสีม่วงอมแดง
อาเรียหลุบตาลงต่ำอย่างช้าๆ และกระซิบอย่างแผ่วเบาว่า ‘พวกเขาจะไม่อยากฉกฉวยริมฝีปากที่แสนน่ารักของเธอกันหรอกหรือ’ แอนนี่ขอบตาแดงขึ้นมา ท่าทางสะดุ้งตัวโยนของเธอช่างน่ารักเสียจริง
“คงจะหวานเหมือนมาการองชิ้นนี้เป็นแน่… แล้วเธอละ คิดว่าอย่างไร”
อาเรียออกแรงเพิ่มที่ปลายนิ้วมือ แล้วดันมาการองเข้าไปในปากแอนนี่ประมาณครึ่งชิ้น แอนนี่คาบมาการองสีม่วงอมแดง เธอเขินหน้าแดง นัยน์ตาดูเลื่อนลอยไม่ชัดเจน
อาเรียจับแก้มแอนนี่อย่างเบามือ ซ่อนงำแผนการยั่วยุแบบฉบับนางมารร้ายที่ถึงฆาตเพราะถูกบั่นคอไว้ในใจ
“จนกว่าจะถึงเวลานั้น ก็รบกวนด้วยละ แอนนี่”
ตราบใดที่หล่อนทำตามที่ฉันต้องการแล้วละก็ การเลื่อนสถานะทางสังคมก็ไม่ใช่ความฝันที่เกินเอื้อมแต่อย่างใด ไม่สิ บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องที่ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากเลยด้วยซ้ำ เพราะอย่างไรฉันก็มีนาฬิกาทรายที่ย้อนเวลาได้อยู่แล้ว
แอนนี่กัดมาการองพร้อมกับพยักหน้าอย่างล่องลอย
***
ดูเหมือนซาร่าจะติดต่อกับท่านมาร์ควิสวินเซนต์บ่อยมาก จนลืมไปเลยว่าคนที่เคยใช้ชีวิตด้วยการง่วนอยู่กับการทำงานคนนั้นเป็นใครกันแน่ แม้จะไม่ได้เห็นกับตา แต่ก็รู้ได้ว่าท่านมาร์ควิสหลงรักซาร่าหัวปักหัวปำเลยทีเดียว
เขาอ่อนโยนและยังเอาใจใส่เธอเป็นอย่างมาก ซาร่าเองก็รู้สึกดีต่อเขาเช่นกัน เพราะอย่างนั้นเธอมักจะเล่าสถานการณ์ที่เกิดระหว่างเธอกับเขาและขอคำแนะนำจากอาเรียในทุกครั้งที่มีการเรียนการสอน
แม้จะดูแปลกที่มาขอคำแนะนำกับกับเด็กผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าเธอถึงสี่ปีอย่างอาเรีย แต่เพราะคำแนะนำของอาเรียช่วยเธอได้อย่างมาก ยิ่งนับวันใบหน้าของเธอก็ยิ่งดูสดใสดั่งใบหน้าของคนที่อิ่มเอมไปด้วยความรัก
“…ไม่รู้ว่าจะทำแบบนั้นได้รึเปล่าค่ะ”
“ได้สิค่ะ มือของซาร่าอบอุ่นจะตายไป ถ้าจับมือกันแบบนี้แล้วจะรู้สึกอบอุ่นเหมือนจับมือของแม่เลยค่ะ”
ซาร่าได้ไปเดินเล่นที่ชายทะเลสาบกับท่านมาร์ควิสมาแล้วถึงสองครั้ง ระหว่างที่เดินด้วยกันมีช่วงที่มือของทั้งคู่เฉียดกัน ซาร่ารู้สึกว่ามือของท่ามาร์ควิสเย็นมาก เธอจึงกังวลและมาเล่าให้อาเรียฟัง
หากเป็นเลดี้ทั่วไปแล้ว ก็มักจะให้ของขวัญเป็นถุงมือกัน แต่อาเรียแนะนำให้ซาร่าจับมือท่านมาควิส เพื่อแบ่งไออุ่นให้แก่กันและกัน
จะมีผู้ชายที่ไหนเกลียดการที่ผู้หญิงที่ตนชอบขอจับมือกันเล่า ยิ่งเป็นผู้ชายซื่อๆ อย่างท่านมาร์ควิสวินเซนต์ที่ต้องอยู่ไกลกับคนรักและทำแต่งานด้วยแล้ว ยิ่งไม่มีทางปฏิเสธแน่ๆ
ไออุ่นจากมือที่สัมผัสกัน จะส่งผ่านไปถึงหัวใจเขาจนทำให้หัวของเขาว่างเปล่า คิดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว
“สิ่งที่เลดี้อาเรียพูดมากถูกหมดเลยค่ะ ครั้งนี้ดิฉันก็จะลองทำแบบนั้นดูค่ะ”
“ขอบคุณที่เชื่อนะคะ คุณซาร่า”
“แม้ฤดูหนาวใกล้จะจบลงแล้ว…แต่ถ้าดิฉันเตรียมถุงมือให้เป็นของขวัญจะดีไหมคะ”
“ดีสิค่ะ เหมาะที่จะให้เป็นของขวัญตอนจากกันค่ะ พอท่านมาร์ควิสเปิดดูของขวัญตอนที่นั่งรถม้ากลับไป ก็จะนึกถึงซาร่าตลอดทั้งคืนไงค่ะ เมื่อท่านมาร์ควิสมองถุงมือก็จะเห็นภาพซ้อนตอนที่ได้จับมืออันอบอุ่นของซาร่า และรู้สึกร้อนรุ่มอยู่ในใจแน่ค่ะ”
“ทำไมถึง…”
ซาร่าไม่อาจซ่อนอาการตกใจไว้ได้ เห็นได้ชัดว่าเธอรู้สึกสงสัยว่าทำไมเด็กอย่างอาเรียถึงได้รู้ดีเกี่ยวกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ แบบนี้ได้
ทั้งหมดมาจากประสบการณ์ในอดีตที่เธอเคยได้พบเจอกับผู้ชายมากหน้าหลายตา แต่เพราะพูดความจริงออกไปไม่ได้ อาเรียจึงยิ้มอย่างเขินอายและอ้อมแอ้มตอบออกไป
“ดูเหมือนหลายๆ เรื่องเล่าของคู่รักที่ได้ยินมาก่อนที่จะเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์ของท่านเคานต์จะมีประโยชน์เป็นอย่างมากเลยค่ะ สิ่งที่สร้างความบันเทิงสนุกสนานได้มากที่สุดในหมู่สามัญชนก็คือเรื่องราวความรักของใครสักคนนี่แหละค่ะ เพราะไม่สามารถหาซื้อหนังสือได้ง่ายๆ เลยเล่าให้กันฟังปากต่อปากค่ะ แม้แต่เด็กอายุห้าขวบเองก็ยังชอบพูดแทรกทำเป็นรู้ดีเวลาได้ฟังเลยค่ะ”
“นั่นคงจะสนุกน่าดูเลยนะคะ”
“ค่ะ เป็นหนึ่งในความทรงจำที่สนุกมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นประโยชน์ต่อซาร่าอีกด้วย ดีใจมากเลยค่ะ”
ขณะนี้เวลาแห่งการเรียนก็เริ่มจะหมดลงแล้ว อาเรียลงไปส่งซาร่าที่ชั้นหนึ่งของคฤหาสน์ แต่ทว่ารถม้าที่จอดรออยู่หน้าประตูทางเข้ากลับไม่ใช่รถม้าของซาร่า
‘จำได้ว่าฉันสั่งให้เตรียมไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้วนะ’
เมื่อหันกลับไปมองแอนนี่ที่ตามมาข้างหลัง ก็เห็นได้ว่าเธอหน้าซีดขึ้นมา แววตาของเธอบ่งบอกว่าเธอไม่ได้ผิดคำสั่งแต่อย่างใด พอลองคิดถึงการกระทำของเธอที่ผ่านมาแล้ว เธอไม่น่าจะทำเรื่องผิดพลาดแบบนี้ได้
บางทีอาจจะมีใครมาถึงบ้านก่อนที่จะสั่งให้เตรียมรถม้าของซาร่าก็เป็นได้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นคนที่สำคัญกว่าซาร่า ต้องเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งในสองข้อนี้แน่ๆ
“เลดี้อาเรียใช่ไหมครับนี่”
“…คุณเรน”
อย่างที่คิดไว้ไม่ผิด เรนลงมาจากรถม้า ทั้งที่คิดว่าช่วงนี้เขาไม่ค่อยจะมาแล้วแท้ๆ สุดท้ายก็ยังแวะมาที่คฤหาสน์หลังนี้อีกจนได้
ท่านพ่อก็ไม่อยู่ส่วนท่านแม่เองก็ออกไปข้างนอก อย่างน้อยเขาก็ควรจะนัดไว้ก่อนสิ แม้จะเห็นสีหน้ายุ่งยากใจของอาเรีย แต่เขาก็หาได้สนใจไม่
“ต้องอภัยที่มาอย่างกะทันหันครับ พอดีผมว่างแค่ตอนนี้เท่านั้นน่ะครับ”
หรือเพราะมิเอลไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วยเขาใช้มือสั่งให้คนรับใช้เอาของลงมาจากรถม้าด้วยใบหน้าที่แข็งกระด้างเล็กน้อย คราวที่แล้วก็ขนของขวัญมาให้เสียมากมาย ดูเหมือนครั้งนี้เองก็ขนเอาของขวัญที่ระยิบระยับนัยน์ตามาเต็มคันรถอีกสิท่า
เมื่อเห็นกองของขวัญจำนวนมากมาย อาเรียก็ทำหน้าแข็งทื่อขึ้นมา
“ท่านพ่อและท่านแม่ออกไปข้างนอกทั้งคู่น่ะค่ะ”
“เลดี้มิเอลก็ออกไปข้างนอกด้วยหรือครับ”
“ไม่ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรแล้วละครับ ผมคิดจะมาดื่มชาแล้วก็กลับเท่านั้นครับ”
คงยอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ ฉันไม่ปล่อยให้เรนกับมิเอลอยู่ด้วยกันแค่สองคนหรอก ผู้ชายเป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วไหนจะเจ้านายของเขาที่ไม่รู้ว่าเป็นคนยังไงอีก บุคคลอันตรายแบบนั้นคงปล่อยให้อยู่ใกล้ชิดกับมิเอลไม่ได้
“ไว้มาคราวหน้าไม่ดีกว่าหรือคะ ตอนที่ท่านพ่ออยู่บ้านน่ะค่ะ”
“ผมไม่แน่ใจว่าจะว่างมาอีกเมื่อไหร่น่ะครับ”
“ถ้าอย่างนั้นไม่คิดบ้างหรือคะ ว่าการนั่งดื่มชากับหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงาน โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองมันดูอันตรายไปหน่อย”
“ได้โปรดอย่ากังวลไปเลยครับ ผมดูเป็นคนเลวขนาดนั้นเลยหรือครับนี่”
“ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกค่ะ ดิฉันกังวลว่าจะเกิดข่าวลือเสียๆ หายๆ ต่อตัวมิเอลมากกว่าค่ะ”
อาเรียผู้อ่อนหวานและสดใสที่ยืนอยู่ข้างเธอเมื่อครู่หายวับไปเสียแล้ว ซาร่ารู้สึกกังวลเมื่อเห็นวิธีการพูดและสีหน้าแข็งกระด้างเล็กน้อยของอาเรียที่ดูเป็นห่วงน้องสาวตนเองจริงๆ เธอจับมืออาเรียไว้
ผู้ชายคนนี้เป็นใครกันแน่ ถึงทำให้อาเรียที่แสนอ่อนหวานแสดงท่าทีแบบนี้ออกมาได้
แต่กระนั้นก็ไม่มีเวลาให้สงสัยในตัวเขา ความชื้นที่สัมผัสได้จากฝ่ามือนั้น ทำให้เธอเข้าใจว่าอาเรียรู้สึกกังวลใจต่อเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
แม้ว่าเขาจะยิ้มอยู่ แต่ก็สีหน้าก็แฝงไปด้วยความรำคาญใจ และก่อนที่เขาจะพูดอะไรกลับมา ซาร่าก็รีบพูดแทรกขึ้นมาระหว่างทั้งคู่
“ถ้าอย่างนั้น ให้ดิฉันกับเลดี้ร่วมดื่มน้ำชาด้วยดีไหมคะ รู้สึกคอแห้งอยู่พอดีเลยค่ะ”
“…คุณซาร่าค่ะ”
พออาเรียหันไปมองซาร่าที่อยู่ข้างๆ ก็รู้สึกถึงแรงบีบที่เพิ่มขึ้นจากฝ่ามือ ตอนนั้นเองที่อาเรียตระหนักได้ถึงความชื้นจากฝ่ามือตัวเอง เธอไม่รู้เลยว่าตนเองทำสีหน้าแบบไหนอยู่
เธอแสดงท่าทางที่ไม่ควรออกไปเสียแล้ว ทุกครั้งที่ต้องเผชิญกับบุคคลและสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดเธอจะไม่สามารถควบคุมการกระทำและคำพูดของตัวเองได้
ค่อยยังชั่วที่เรนตอบรับข้อเสนอของซาร่าอย่างเต็มใจ
“ดีเลยครับ อย่างที่เลดี้อาเรียบอก แม้ชายหญิงจะอายุต่างกันมากก็ตาม แต่ชายหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานสองคนมาอยู่ด้วยกัน มันก็ดูไม่ดีสักเท่าไหร่”
ถ้าไม่มีซาร่าอยู่ด้วยแล้วละก็…แค่คิดก็เหงื่อแตกแล้ว
เธออาจจะล้ำเส้นจนทำอะไรที่ดูน่าเกลียดไปแล้วก็ได้ ถ้ามีนาฬิกาทรายในตอนนี้ก็คงจะใช้มันไปแล้ว แต่น่าเสียดายที่เธอตั้งใจจะลงมาส่งซาร่าเท่านั้น เลยไม่ได้หยิบมันลงมาด้วย
เกือบจะเผยธาตุแท้ให้กับคนที่ไม่รู้ที่มาที่ไปได้เห็นเสียแล้ว โชคยังดีจริงๆ เมื่อรู้สึกโล่งใจแล้วอาเรียก็ทำสีหน้าอ่อนโยนขึ้นมาอีกครั้ง และหันไปยิ้มให้กับซาร่า ซาร่ายิ้มตอบราวกับบอกว่าไม่ต้องกังวลอะไรไป
ให้ตายสิ ซาร่าเป็นดั่งนางฟ้าผู้พิทักษ์ที่ลงมาจากสวรรค์เลยไม่ใช่หรือไง
………………………………..