บทที่ 45 Ink Stone_Romance

 “อ้อ จะว่าไปแล้ว ครั้งนี้ก็มีของที่จะให้เลดี้อาเรียด้วยนะครับ”

ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังห้องรับแขก เรนก็ยื่นช่อดอกทิวลิปให้อาเรีย เขาขนเอาของขวัญทั้งคันรถมาถวายให้กับมิเอลถึงที่ แต่เธอกลับได้ช่อดอกไม้เพียงช่อเดียวเท่านั้น ถึงมันจะเทียบกันไม่ติดเลยก็เถอะ แต่นี่มันไม่มากไปหน่อยหรือ

‘ไม่ให้เสียยังดีกว่า’

เอาเถอะ อย่างไรเสียคนที่เขาตั้งใจมาหาก็คือมิเอล มันก็นานแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้เจอคนเลือกปฏิบัติซึ่งๆ หน้าแบบนี้

 ถือเป็นเรื่องปกติที่พี่สาวน้องสาวมักจะได้รับของขวัญที่ไม่เหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังต่างกันในระดับที่พอรับได้

แต่เขากลับให้ช่อดอกไม้นี่น่ะหรือ ถึงกระนั้นอาเรียก็ไม่ได้แสดงท่าทางไม่พอใจออกไป เธอรับดอกไม้ช่อด้วยความยินดี

“ขอบคุณค่ะ ดอกทิวลิปสวยจังเลยนะคะ”

“เป็นดอกไม้ที่เจ้านายผมชอบมากที่สุดเลยครับ”

“อย่างนั้นเหรอคะ ปกติแล้วคนส่วนใหญ่มักจะชื่นชอบดอกไม้ประจำตระกูลของตนเองที่สุด สงสัยท่านจะเป็นคนที่รักชาติเอามากๆ เลยนะคะ”

“อ่อ…จะมองว่าเป็นอย่างนั้นก็ได้ครับ”

อาเรียยิ้มหวานเป็นการตอบแทนสำหรับช่อดอกไม้ เธอแตะจมูกไปที่ช่อดอกทิวลิปเพื่อดมกลิ่นหอมของมัน

จะว่าไปแล้วก็ใช่ว่าเขาจะไม่ได้ใส่ใจอะไรเสียทีเดียว เพราะดอกทิวลิปที่เขาให้ส่งกลิ่นหอมสดชื่นต่างจากดอกไม้ทั่วๆ ไปที่หาซื้อได้ตามข้างทาง

“กลิ่นหอมมากเลยค่ะ เหมือนจะไม่ใช่กลิ่นดอกไม้แบบทั่วไปนะคะ ไม่ทราบว่าซื้อมาจากที่ไหนเหรอคะ”

อาเรียถามพร้อมกับกะพริบเปลือกตาที่มีขนตาแพหนาเรียงเส้นอยู่อย่างช้าๆ เรนขมวดคิ้วเล็กน้อยให้กับใบหน้างดงามที่ดูเข้ากับดอกไม้นั่น เขาจ้องตาอาเรียอยู่ครู่หนึ่ง

“…ซื้อจากแถวๆ คฤหาสน์น่ะครับ”

หลังจากที่พูดจบเขาก็หันหน้าหลบสายตาทันที ราวกับว่ามองอะไรผิดไปอย่างนั้น

“พอเห็นดอกไม้ยังสดใหม่อยู่แบบนี้แล้ว คงซื้อมาจากในเมืองหลวงสินะคะ ดูเหมือนจะอยู่ใกล้กว่าที่คิดอีกนะคะ”

“…”

สีหน้าของเรนบ่งบอกว่าเขาพลาดไปเสียแล้ว แม้จะเป็นแค่แวบเดียวสั้นๆ แต่ก็ไม่สามารถเล็ดลอดไปจากสายตาของอาเรียซึ่งจับตาดูเขาอยู่ตลอดเวลาได้

ด้วยเหตุนี้นี่เองอาเรียจึงเข้าใจได้ในทันทีว่าเจ้านายของเขาไม่ใช่ขุนนางต่างชาติ ดูเหมือนเขาจะเป็นคนคอยให้การรับใช้อย่างใกล้ชิด นั่นหมายความว่าเจ้านายของเขาเองก็ต้องพักอยู่ในตัวเมืองด้วยแน่นอน

นั่นสินะ การที่คิดว่าเขาเป็นขุนนางต่างชาติในตอนแรกนั้น มันเป็นได้แค่จินตนาการเพ้อเจ้อเท่านั้น เพราะวิธีการพูดของเรนเรียกได้ว่าเป็นรูปแบบการใช้ภาษาทางการของราชอาณาจักรที่ถูกต้องเลยทีเดียว

ถ้าหากเขารับใช้ขุนนางต่างชาติหรือมาจากต่างชาติแล้ว คงไม่มีทางที่จะพูดภาษาทางการได้อย่างถูกต้องและคล่องแคล่วแบบนี้แน่ จะต้องมีอะไรบ่งบอกถึงตัวตนของเขาได้บ้างสิ จากประสบการณ์ของอาเรียแล้วมันต้องเป็นเช่นนั้น

‘ถ้าอย่างนั้น ที่จริงแล้วเขาเป็นใครกันเล่า คงไม่ใช่เจ้าชายตามที่เดาไว้หรอกใช่ไหม’

จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไรกันเล่า ในภายหลังเขาได้ลงเอยกับดัชเชสแห่งเฟรดเดอริกไม่ใช่หรือไง มีข่าวลือเรื่องการหมั้นว่อนไปทั่วทั้งราชอาณาจักรตั้งนานแล้ว ไม่มีทางที่จะมาสนใจมิเอลหรอก

ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายก็ไม่ใช่คนอื่นไกลแต่เป็นคนที่เกี่ยวข้องกับตระกูลที่มีข่าวเรื่องการหมั้นหมายกันอยู่ ถ้าหากว่าจินตนาการที่ดูเหลือเชื่อนี้เป็นเรื่องจริงขึ้นมา ได้มีการนองเลือดในราชอาณาจักรเป็นแน่

ถ้ามีความคิดสักหน่อยก็คงไม่ทำเรื่องแบบนั้นหรอก อาเรียส่ายหัวและบอกกับตัวเองว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

“อยากเห็นดอกไม้ชนิดอื่นด้วยจังเลยค่ะ ถ้าไม่เป็นการรบกวนช่วยบอกร้านดอกไม้นั่นให้หน่อยได้ไหมคะ”

“…ไว้ผมจะบอกให้รู้หลังจากนี้นะครับ ตอนนี้มันยัง…ไม่ค่อยสะดวกที่จะพูดน่ะครับ”

“อย่างนั้นหรือคะ ถ้าเปลี่ยนความคิดเมื่อไหร่ รบกวนช่วยบอกให้ทราบด้วยนะคะ”

“…ได้สิครับ”

แม้จะแค่เล็กน้อย แต่ดูเหมือนเรนจะรู้ตัวว่าพลาดเปิดเผยข้อมูลของเจ้านายออกไปเสียแล้ว เขาไม่ได้ตอบคำถามอาเรียออกมาในทันที อีกทั้งยังชำเลืองมองหน้าเธอ ด้วยกังวลว่าข้อมูลเล็กน้อยนั่นจะทำให้อาเรียปะติดปะต่อเรื่องราวได้หรือไม่

‘ยังไงก็ดูเป็นดอกทิวลิปที่หาได้ยาก หากลองสืบดูอาจจะรู้ว่าซื้อมาจากที่ไหนก็ได้’

เพราะอย่างนั้น อาเรียจึงยิ้มออกมาอย่างสดใสทำหน้าตาไม่รู้เรื่องอะไร ตอนนั้นเองที่เรนตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายเป็นแค่นางมารร้ายหน้าตาน่ารักอายุสิบห้าเท่านั้น สีหน้าของเขากลับไปเป็นปกติเหมือนตอนแรก

“แอนนี่ ช่วยเอาไปวางไว้ที่ห้องฉันให้หน่อยได้ไหม ดูแลดีๆ อย่าให้มันเฉาด้วยล่ะ และก็เอากล่องที่ฉันพกบ่อยๆ ลงมาให้ด้วยนะ”

“ได้ค่ะ เลดี้”

ระหว่างที่สาวใช้ไปเรียกมิเอล อาเรียก็พาซาร่ากับเรนไปรอมิเอลที่ห้องรับแขก เพราะไม่รู้เลยว่าจะมีแขกมา มิเอลจึงไม่ได้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะต้อนรับแขก เธอเลยใช้เวลาค่อนข้างนาน

ระหว่างที่รอทั้งสามคนเอาแต่เงียบเพราะไม่มีเรื่องอะไรให้คุยกัน จนในที่สุดซาร่าก็ทนความเงียบที่แทบจะไม่ได้ยินแม้แต่เสียงวางแก้วน้ำชานั้นไม่ไหวอีกต่อไป เธอเริ่มพูดออกมาเป็นคนแรก

“จะว่าไปแล้วเมื่อครู่ค่อนข้างยุ่งๆ ดิฉันเลยแนะนำช้าไป ยินดีที่ได้พบค่ะ ดิฉันซาร่าจากตระกูลท่านไวเคานต์ลอเรนค่ะ”

“นี่มัน…ดูเหมือนผมจะเสียมารยาทต่อสุภาพสตรีไปเสียแล้ว ผมฟิโน เรนครับ”

เรนลุกขึ้นทักทายอย่างมีมารยาท ทั้งสองคนบอกชื่อเสียงเรียงนามด้วยการทักทายอย่างถูกต้องไร้ที่ติ

“ดูเหมือนงานของคุณจะยุ่งน่าดูนะคะ”

“ใช่แล้วครับ เจ้านายผมค่อนข้างอารมณ์แปรปรวน เปลี่ยนคำสั่งไปมาน่ะครับ”

“นั่นคงเพราะคุณมีความสามารถ เลยวางใจเปลี่ยนความต้องการบ่อยๆ แล้วล่ะค่ะ”

“พูดแบบนั้น ผมก็เขินแย่เลยสิครับ”

รู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนที่แผ่ซ่านออกมา ต่างไปจากตอนคุยกับอาเรียเมื่อครู่ เหมือนเป็นการพูดคุยอย่างง่ายๆ สบายๆ ของขุนนางธรรมดาทั่วไป

ท่ามกลางบรรยากาศที่ผ่อนคลายขึ้น ซาร่าและเรนเพลิดเพลินไปกับรสชาติชั้นเลิศของชามะลิในปากอย่างช้าๆ และพูดคุยกันต่อไป

“ถึงขั้นมาหาเลดี้มิเอลเป็นการส่วนตัวแบบนี้ ดูท่าจะรู้จักกันมานานแล้วใช่ไหมคะ”

“ไม่หรอกครับ คนที่รู้จักไม่ใช่ผมแต่เป็นเจ้านายของผมครับ ผมเพียงแค่เอาของขวัญมาส่งและสอบถามความเป็นอยู่เท่านั้นครับ”

“อย่างนี้นี่เอง ขอโทษที่เสียมารยาทนะคะ”

“ไม่หรอกครับ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปกปิดอะไรอยู่แล้วไม่ถือว่าเสียมารยาทหรอกครับ”

ยังไงก็ไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้านายอยู่แล้ว ไม่เรียกว่าปิดบังแล้วจะให้เรียกอะไรอีกเล่า

ระหว่างที่ซาร่าและเรนกำลังคุยกัน แอนนี่ก็ถือกล่องนาฬิกาทรายเข้ามา อาเรียลูบๆ คลำๆ นาฬิกาพกที่มีชีวิตของเธอเป็นเดิมพัน ที่ผ่านมาเธอไม่ค่อยได้ใช้งานมันเท่าไหร่ มือของเธอเลยสั่นอย่างไม่มีเหตุผล

กริ๊ก อาเรียเปิดนาฬิกาพกและเริ่มกดปุ่ม เข็มนาฬิกาหมุนอย่างรวดเร็ววิ่งเข้าไปสู่เวลาข้างหน้า พลางคิดในใจว่าเธอจะสามารถล้วงข้อมูลจากเรนที่ภายนอกดูผ่อนคลายแต่ที่จริงกำลังระแวดระวังตัวไม่ต่างจากแมวที่พองขนอยู่ได้หรือไม่

อาเรียรับกล่องแสนสำคัญจากแอนนี่มาไว้ข้างกาย เธอบิดตัวหันไปหาเรน ตราบใดที่มีนาฬิกาทรายย้อนเวลาอยู่ข้างตัวเธอก็อุ่นใจ เพราะหากพูดอะไรที่ไม่ควรออกไป เพียงแค่ย้อนเวลากลับมาก็สิ้นเรื่อง

“เจ้านายของคุณเรน…สนใจอะไรในตัวมิเอลหรือคะ”

เพราะเป็นคำถามที่เคยถามไปก่อนหน้านี้แล้ว เรนจึงตอบได้อย่างไม่ลังเล

“อย่างที่ผมเคยบอกไปก่อนหน้านี้ ท่านสนใจในความฉลาดและการที่เลดี้มิเอลรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็วครับ อีกทั้งยังชื่นชมต่อความสามารถอันยอดเยี่ยมที่นำข้อมูลเหล่านั้นมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ด้วยครับ”

มิเอลเอาข้อมูลอะไรมาใช้ให้เกิดประโยชน์กันแน่นะ ยิ่งไปกว่านั้นฉันไม่เห็นด้วยตั้งแต่เรื่องที่เขาบอกว่ามิเอลรับข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็วแล้ว อย่าบอกนะว่าไปทำคุณงามความดีอะไรทิ้งไว้โดยที่ฉันไม่รู้เรื่อง

แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น ป่านนี้ก็คงจะโอ้อวดเรื่องพวกนั้นไปทั่วทั้งบางแล้วละ อาเรียไม่เข้าใจว่าเหตุใดเธอถึงไม่รู้เรื่องเลย

“หมายถึงเรื่องช่วยเหลือกิจการของท่านพ่อหรือคะ”

“จะมองว่าเป็นอย่างนั้นก็ได้ครับ จากที่ท่านเคานต์เล่ามา ได้ยินว่าคอยให้คำแนะนำในกิจการมาตลอดน่ะครับ”

นี่ก็เป็นเรื่องที่ได้ยินเมื่อครั้งที่แล้ว คงไม่ใช่ว่าท่านเคานต์ปั้นน้ำเป็นตัวโอ้อวดไปเองหรอกใช่ไหม เพราะท่านเคานต์ไม่เคยยอมรับคำแนะนำที่ผ่านมาของมิเอลเลยสักครั้งทำให้อาเรียคิดเหตุผลอื่นไม่ออก และพอคิดได้แบบนั้นก็รู้สึกว่าเหตุผลทุกอย่างดูลงตัว

‘ช่างเป็นพ่อลูกที่งี่เง่าได้ไม่มีที่สิ้นสุดเสียจริง’

แม้จะเป็นเพียงคำพูดโอ้อวดลูกสาวไม่กี่คำ แต่ไม่คิดบ้างเลยรึไงว่าคนที่เชื่อคำพูดของคนอื่นง่ายๆ ถึงขนาดทุ่มเทเอาของมีค่าตั้งมากมายมาให้แบบนี้ ยังไงก็ไม่ใช่ขุนนางธรรมดาแน่นอน แล้วหลังจากนี้ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจะรับมือได้อย่างไร

แน่นอนว่าหากมิเอลได้แต่งงานกับออสการ์แล้ว เธอก็จะยืนอยู่เหนืออำนาจและความมั่งคั่ง และคงไม่มีใครอยากจะเป็นปฏิปักษ์กับเธอ แต่อย่างไรก็ตามไม่รู้จักอับอายบ้างเลยหรือไงนะ แม้พวกขุนนางมักจะชอบพูดจาโอ้อวดเกทับกันเป็นปกติก็เถอะ แต่ครั้งนี้มันเกินไป

“ได้ฟังเรื่องราวอย่างละเอียดไหมคะ”

อาเรียอยากรู้ว่าที่จริงแล้วท่านเคานต์พูดอะไรออกไปกันแน่ อยากจะรู้เสียจริง ถ้าเขารู้ความจริงว่าเรื่องทั้งหมดนั่นเป็นเพียงคำโกหกเกินจริง คนที่ทุ่มเททุกอย่างมากขนาดนี้อย่างเขา จะมีท่าทางเป็นอย่างไร

“แน่นอนครับ ท่านเล่าว่าคำแนะนำในครั้งนี้ทำกำไรให้มากเป็นพิเศษ เพราะเตรียมการไว้ก่อนจะเป็นที่นิยมครับ”

“…ที่นิยมหรือคะ”

“ผมหมายถึงเรื่องขนสัตว์น่ะครับ ได้ยินว่าเตรียมการไว้ก่อนที่เจ้าหญิงจะทำให้มันเป็นที่นิยมครับ”

มิเอลงั้นเหรอ มือเรียวงามกำนาฬิกาพกไว้อย่างสั่นๆ มิเอลไม่ได้เป็นคนพูดเรื่องนั้นสักหน่อย อาเรียต่างหากที่เป็นคนบอกท่านเคานต์

ทั้งที่เขาเองก็ตอบแทนเธอด้วยการส่งของขวัญวันเกิดและกล่องอัญมณีมาให้ไม่ใช่หรือไง อาเรียไม่เข้าใจว่าความดีความชอบทั้งหมดนั้นกลายเป็นของมิเอลได้อย่างไร

อาเรียตกใจจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ แม้เธอจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่ถึงกลับโกหกแย่งเอาคุณงามความดีของเธอไป มันไม่เกินไปหน่อยหรือ

จากนั้นซาร่าก็เรียกชื่อเธอ ทำให้เธอตั้งสติได้อีกครั้ง

“ท่านพ่อ…พูดแบบนั้นหรือคะ ที่ว่ามิเอลเป็นคนให้คำแนะนำเรื่องขนสัตว์”

เรนขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าและการพูดที่ผิดปกติของอาเรีย เขากำลังนึกว่าตนเองทำอะไรพลาดไปหรือไม่ หรือจำอะไรผิดไปหรือเปล่า

เขาพยายามนึกถึงความทรงจำก่อนหน้า เพื่อตอบคำถามอาเรีย จากนั้นก็ย้อนถามอาเรียราวกับไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น

“น่าจะเป็นเช่นนั้นนะครับ เพราะท่านเล่าให้ฟังตอนที่กำลังคุยเรื่องของเลดี้มิเอลน่ะครับ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”

ไม่น่าเชื่อเลย ทั้งที่เธอคิดว่าหากตนเองพยายามก็คงจะได้รับการยอมรับแท้ๆ…ก็ได้ เอาอย่างนั้นสินะ

ไม่รู้ทำไมขอบตาถึงร้อนผ่าวขึ้นมา ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้รู้สึกอยากจะร้องไห้เลย แต่เป็นเพราะโกรธมากกว่า

อาเรียกะพริบตาช้าๆ เพื่อไล่น้ำตาออกไป แล้วมองไปยังนาฬิกาพก เมื่อเธอเห็นว่าเข็มนาฬิกาขยับเข้าไปใกล้กับจุดสูงสุด ก็หยิบนาฬิกาทรายออกมา

“มีสิคะ คนที่บอกท่านพ่อเรื่องขนสัตว์ก็คือฉันนี่ไงคะ”

“…อะไรนะครับ”

“ฉันบอกว่าคนที่ช่วยเรื่องค้าขายขนสัตว์ก็คือฉันนี่ไงเล่า ส่วนมิเอลก็เอาแต่พ่นเรื่องไร้สาระไม่ต่างจากขยะเน่าๆ ไอเดียของมิเอลมันเป็นไอเดียที่ใครๆ ก็คิดได้ ไม่น่าสนใจเลยด้วยซ้ำ และท่านพ่อก็ไม่เคยเอาไอเดียพวกนั้นไปใช้เลยแม้แต่ครั้งเดียว”

“นี่มันอะไรกัน…”

“เพราะอย่างนี้ไง นางมิเอลมันถึงเป็นอีโง่ที่ขโมยได้แม้แต่คุณงามความดีเล็กๆ น้อยๆ ของนางมารร้ายอย่างฉัน”

“…อาเรีย!”

ซาร่าที่นั่งอยู่ข้างๆ ตกใจร้องเสียงหลง เมื่อได้เห็นธาตุแท้ที่น่าตกใจของนางมารร้าย เรนเองก็ตกใจจนตาค้างและพูดอะไรไม่ออก

อาเรียมองดูท่าทางของเขาและเธอ จากนั้นก็คว่ำนาฬิกาทรายโดยไม่รู้สึกเสียใจแต่อย่างใด

จากนั้น สีหน้าตกใจก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ที่เธอเห็นมีเพียงซาร่าและเรนที่แสร้งดื่มชาด้วยท่าทางสบายๆ เท่านั้น เพราะเหตุนี้คุณงามความดีของอาเรียจึงตกไปเป็นของมิเอลอีกครั้ง

‘…รู้อย่างนี้ไม่คว่ำมันจะดีกว่าไหมนะ’

แม้จะคิดแบบนั้นขึ้นมาชั่วขณะ แต่เธอก็ไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ไม่ว่าท่านเคานต์จะยกความดีของอาเรียให้เป็นของมิเอลก็ตาม แต่จนถึงตอนนี้เขาเป็นทั้งเป็นเจ้าของคฤหาสน์และมีอำนาจที่แท้จริง หากพูดอะไรที่ไม่มีประโยชน์ออกไป ก็จะมีแต่สร้างศัตรูเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น

แต่กระนั้นอาเรียก็เกิดข้อสงสัยขึ้นมาหนึ่งอย่าง นั่นก็คือการที่เธอช่วยธุรกิจของท่านเคานต์ในภายภาคหน้า สุดท้ายแล้วมันจะมีประโยชน์ต่อชีวิตของเธอหรือเปล่า

เธอคิดว่าคงจะได้รับความเอ็นดูเล็กๆ น้อยๆ กลับมาบ้าง แต่มันคงไม่มีประโยชน์อะไร เพราะยังไงคุณความดีทั้งหมดคงถูกผลักให้เป็นมิเอลเหมือนในตอนนี้เป็นแน่

‘แกล้งทำตัวเรียบร้อยให้พอประมาณก็คงไม่มีปัญหาอะไรสินะ’

อย่างไรเสียเขาก็ไม่ได้คาดหวังอะไรในตัวฉันอยู่แล้ว คนที่ไม่มีใครคาดหวัง แค่อยู่เฉยๆ ก็ดูน่ารักอยู่แล้วไม่ใช่หรือ

ความรู้สึกที่ถูกหักหลังอย่างไม่ทันได้คาดคิด ทำให้หัวใจเธอเต้นแรงขึ้น เธอกำมือที่ใส่นาฬิกาทรายกลับไปในกล่องไว้อย่างสุดแรง

……………………………………………………..