บทที่ 46 Ink Stone_Romance
ไม่นานหลังจากนั้น มิเอลที่ปรากฏตัวขึ้น ณ ห้องรับรองก็แต่งกายอย่างสวยงาม เธอกลั้นหายใจและตั้งใจฟังอยู่เงียบๆ ว่าใครที่เป็นคนสวมใส่ชุดแบบนั้นกันแน่ จึงได้รู้ว่าชุดที่หล่อนใส่อยู่ทั้งหมดนั้น คือของขวัญจากคนที่เป็นเจ้านายของเรน
“ขอโทษที่ต้องทำให้รอนานนะคะ”
“ไม่เลยครับ เป็นผมเองเสียอีกที่มากะทันหัน ชุดเหมาะกับเลดี้มากทีเดียวครับ”
“ขอบคุณค่ะ ของสวยๆ มีอยู่เยอะมาก ทำเอาฉันคิดไม่ตกไปครู่ใหญ่เชียวค่ะ”
“เลดี้ใส่อะไรก็สวยอยู่แล้วครับ”
“เขินจังเลยค่ะ”
มิเอลเขินจนแก้มแดงระเรื่อ เธอได้แต่หัวเราะเยาะให้กับภาพของเจ้าหล่อนที่ทำมารยาทั้งที่มันเป็นสิ่งที่ตนได้ยินประจำอยู่แล้ว ลิ้นก็ดันมาแสบเพราะชาแดงที่ใส่น้ำผึ้งจนขมปี๋ เธอกัดกานาเปหน้าชีสไปคำหนึ่งเพื่อลบรสขมที่ยังหลงเหลืออยู่ภายในปาก
“วันนี้คุณให้ของขวัญชิ้นใหญ่กับดิฉันอีกแล้ว ทำเอาดิฉันทำตัวไม่ถูกเลยค่ะ”
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ มันไม่ใช่ของขวัญที่มากเกินไปเลยนะครับ”
มิเอลจะรู้หรือไม่ว่าทั้งเสื้อผ้าละบรรดาเครื่องเพชรที่หล่อนสวมใส่อยู่ ไม่มีสิ่งใดเป็นของหล่อนเลยสักอย่าง แต่ถึงจะรู้ก็ทำหน้าสวยสดงดงามนั่นให้หงิกงอไม่ได้อยู่ดีไม่ใช่หรือ
‘ทำตัวให้สง่างามแบบฉันนี่’
และยังมีอีกอย่างหนึ่ง เธอสงสัยเหลือเกินว่าเจ้านายของเรนยังจะสามารถปฏิบัติกับหล่อนได้เหมือนเดิมหรือไม่ แม้จะรู้ทั้งรู้ว่านางร้ายที่เลวทรามต่ำช้าผู้นี้คือคนที่คอยช่วยเหลือกิจการของท่าเคานต์ก็ตาม
เธอไม่รู้ว่าเขายังอยู่ข้างมิเอลโดยมองข้ามความเป็นจริงไปหรือกำลังทำเป็นไม่รู้เรื่อง แต่ก็คงไม่ยากเกินไปที่เธอจะคาดหวังปฏิกิริยาที่เหมือนกับในตอนนี้
มิเอลพูดคุยทักทายกับเรนอยู่เป็นเวลานานก่อนจะหันไปมองซาร่า หล่อนเบิกตากว้างพลางนึกสงสัยราวกับเพิ่งพบใครคนหนึ่งที่ไม่เคยอยู่ตรงนี้มาก่อน
“อ้อ หรือว่าเป็นอาจารย์สอนพิเศษของพี่อาเรียหรือคะ”
“ใช่แล้วล่ะค่ะ ขอโทษที่แนะนำตัวช้านะคะ ดิฉันซาร่าจากตระกูลท่านไวเคานต์ลอเรนค่ะ”
“ดิฉันเองก็เช่นกัน ฝากด้วยนะคะ เลดี้แห่งลอเรน”
มิเอลเอ่ยทักทายอย่างสุภาพเรียบร้อยแต่กลับแฝงท่าทีดูหมิ่นดูแคลนซาร่าอยู่เป็นนัย ยิ่งไปกว่านั้นหล่อนยังแอบพูดโดยไม่บอกชื่อของตนเองให้อีกฝ่ายรู้อีกด้วย
เพราะหล่อนเป็นเพียงบุตรสาวจากตระกูลท่านไวเคานต์ที่ไม่มีผู้หนุนหลังอย่างนั้นหรือ หรือเพราะหล่อนไม่ได้มีรูปร่างหน้าตางดงาม หรือจะเป็นเพราะหล่อนเป็นอาจารย์สอนพิเศษของนางมารร้ายกันนะ
เธอไม่อาจจำกัดเหตุผลให้มีเพียงข้อเดียวได้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้คงจะเป็นเหตุผลของหล่อนไม่ผิดแน่
“ใช่แล้วล่ะค่ะ ดิฉันเองก็ขอฝากตัวด้วยเช่นกันค่ะ”
ซาร่าดูจะตกใจเล็กน้อยกับท่าทีแบบนั้นของมิเอล แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา หล่อนควรระมัดระวังการกระทำของตัวเองอย่างสุดความสามารถเพื่อไม่ให้มีอะไรให้ถูกจับผิด ดังนั้นมิเอลจึงยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
“…สมกับเป็นผู้อบรมสั่งสอนพี่อาเรียที่ยังไม่คุ้นเคยกับงานสังคมจริงๆ นะคะ”
“ชมเกินไปแล้วล่ะค่ะ”
นี่ใครชมใครและใครเป็นคนรับคำชมกันนะ มิเอล นี่หล่อนจะรู้หรือเปล่า ว่าอีกไม่นานเกินรอ ซาร่าก็จะกลายเป็นมาร์เชอเนสแล้ว
และหล่อนคือคนที่จะได้รับคำสารภาพรักอย่างจริงจังจากท่านมาร์คควิสวินเซนต์ ต่างจากมิเอลที่ท่านมาร์ควิสจำต้องหมั้นกับหล่อนอย่างไม่เต็มใจ
อ้อ หรือต่อให้รู้หล่อนก็คงยังยึดติดอยู่กับท่าทีเย่อหยิ่งนั้นอยู่ดี เพราะตอนนี้หล่อนคงกำลังจินตนาการไปว่าตนจะได้มีความสัมพันธ์กับทายาทผู้สืบทอดแห่งตระกูลเฟรดเดอริก แต่นางมารร้ายต่ำช้าที่ล่วงรู้อนาคตไม่มีทางปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นหรอกนะ
และคำสาปแช่งของนางร้ายคนนั้นก็กำลังทำหน้าที่ของมันอยู่ เพราะเธอยังไม่อาจลืมสายตาของออสการ์ที่มองมาที่เธอ ต่างจากสายตาเย็นชาที่เขาทอดมองมิเอลนั้นได้เลย
‘มิเอลผู้น่าสงสาร’
เพราะฉะนั้นจะไปตายอย่างน่าเวทนาที่ไหนก็ไปเถอะ เพราะฉันจะคอยดูแลทุกคนรอบตัวแกให้เอง ขอให้รื่นรมย์ไปกับความเจ็บปวดทรมานจากการโดนบั่นคอนะ
อาเรียจิบชาแดงที่เริ่มหวานขึ้นมาแล้วอีกครั้งพร้อมกับคำร้องทุกข์ในใจ
“ปกติแล้วเรียนอะไรกันหรือครับ”
“ปกติหรือคะ ไม่แน่ใจนะคะ ก็มีอ่านหนังสือที่ไปเอามาจากห้องหนังสือของท่านพ่อ หรือไม่ก็รับคำชี้แนะของพวกอาจารย์แล้วมาโต้แย้งกันน่ะค่ะ”
แน่นอนว่ายังมีตัวแปรชื่อเรนที่ยืนอยู่ข้างมิเอลด้วย แต่จากที่เธอฟังบทสนทนาระหว่างเขากับมิเอลแล้ว เธอรู้สึกว่าเธอไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจกับมันมากก็ได้
เพราะตอนนี้หล่อนกำลังโดนเรนทดสอบอยู่อย่างไรล่ะ
“อ้อ เข้าใจแล้วล่ะครับ ผมเองก็คล้ายๆ กัน แล้วไม่ทราบว่าช่วงนี้มีประเด็นไหนที่เลดี้สนใจบ้างไหมครับ”
“ประเด็นที่สนใจหรือคะ อืม… ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ”
มิเอลเอียงหน้าสงสัยราวกับกำลังใช้ความคิดแต่เธอก็ไม่สามารถตอบได้อย่างง่ายดาย ก็เพราะหล่อนเล่นใช้หัวฉลาดเป็นเลิศของหล่อนคิดน่ะสิ
ทั้งที่กำลังกังวลใจว่าจะทำอย่างไรให้ตัวเองดูดีต่อหน้าชายนิรนามคนนี้ แต่จะยากแค่ไหนกันนะที่พยายามจะเค้นหาในสิ่งที่ตนเองไม่มี
“อาจจะเป็นเรื่องธุรกิจใหม่ของท่านพ่อล่ะมั้งคะ”
“โอ้ แล้วพอมีความคิดที่เป็นรูปเป็นร่างบ้างแล้วหรือยังครับ มันคืออะไรหรือครับ”
แววตาของเรนเป็นประกายวาววับกับคำพูดของมิเอลที่กล่าวว่าเธอกำลังคิดเกี่ยวกับธุรกิจของท่านเคานต์ด้วยสติปัญญาอันฉลาดหลักแหลมของหล่อน
“ใช่แล้วล่ะค่ะ แต่ดิฉันคงบอกคุณไม่ได้หรอกนะคะ เพราะมันเป็นเรื่องที่ดิฉันจะค่อยๆ บอกให้ท่านพ่อรู้เท่านั้นน่ะค่ะ”
“ฮ่าๆ ให้ตายสิ นี่ผมเกือบจะล้วงความลับทางธุรกิจที่สำคัญไปแล้วสินะครับ”
เรนหัวเราะออกมาอย่างสดใส คงเพราะเห็นว่าหล่อนที่ยิ้มออกมาอย่างมึนตึงราวกับมันเป็นความลับนั้นน่ารักเสียเต็มประดา
ว่าแต่มันคือความลับจริงๆ น่ะหรือ ไม่ใช่ว่าความจริงแล้วมันไม่มีอะไรเลยหรืออย่างไร หรือต่อให้มี ก็ยังเป็นข้อมูลที่ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดีไม่ใช่หรือ
ไม่บอกเขาไปล่ะมิเอล เรนจะได้หัวเราะเยาะใส่แกได้มากอย่างที่เขาต้องการยังไงล่ะ
“ถ้าอย่างนั้น เลดี้คิดยังไงครับเรื่องที่จะเปิดคาสิโนใหม่อีกครั้ง”
“คาสิโนหรือคะ”
“ครับ ผมหมายถึงคาสิโนนั้นที่เพิ่งเปิดให้บริการใหม่เมื่อไม่นานมานี้น่ะครับ”
“อ้อ คงเป็นคาสิโนที่มีเรื่องค้ามนุษย์นั่นสินะคะ”
“ถูกต้องแล้วครับ”
ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด สิ่งที่มิเอลรู้เกี่ยวกับเรื่องสนามแข่งม้าก็มีแค่สิ่งที่หล่อนอ่านมาจากหนังสือพิมพ์เพียงไม่กี่บรรทัดเท่านั้นไม่ใช่หรือ เรนพยายามถามคำถามกับมิเอลอย่างเต็มที่ ไม่ให้อาเรียต้องผิดหวัง
บางทีมันอาจเป็นคำสั่งจากเจ้านายของเขาก็ได้ ถึงจะบอกว่าเคยเจอกัน แต่มันก็คงเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ จนมิเอลไม่อาจจำได้ เพราะความภาคภูมิใจในตัวลูกสาวเพียงอย่างเดียวที่ท่านเคานต์จะนำไปคุยโวโอ้อวดได้ ก็มีแต่เรื่องธุรกิจขนสัตว์เท่านั้น
‘เพราะอย่างนั้นฉันถึงอยากให้เธอชี้ไปเลยไงว่ามันเป็นความจริงหรือเปล่า’
ให้เขารู้กันไปเลยว่าหล่อนฉลาดหลักแหลมจริงหรือไม่
เจ้าชายมีส่วนเกี่ยวข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ มิเอลจึงดูเหมือนจะรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ในสนามแข่งม้าอยู่บ้าง หล่อนพูดตามที่ตนคิดออกมาอย่างมั่นใจแต่ก็เสียงเบาอยู่ในที
“ในเมื่อจัดการส่วนที่เป็นอันตรายไปครั้งหนึ่งแล้ว ก็ควรเปิดขึ้นมาใหม่อีกครั้งนะคะ ทั้งการรักษาความปลอดภัยและการจัดการก็แน่นหนาดีแล้วไม่ใช่หรือคะ และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เจ้าชายมีรับสั่งว่าจะจัดการด้วยท่านเองด้วยนะคะ”
“ดูเลดี้จะคิดเช่นนั้นอย่างที่ผมคาดเอาไว้จริงๆ ด้วยนะครับ”
“แน่นอนค่ะ ในเมื่อมันเป็นเรื่องของเจ้าชายอยู่แล้วนี่คะ และคงจะดีนะคะหากจะขยับขยายธุรกิจด้วยการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนต่อไปในภายภาคหน้า คงดีมากจนทำให้ประเทศอื่นได้รู้จักเลยล่ะค่ะ”
“ผมเห็นด้วยครับ และถ้าเอาไปใช้เป็นสัญลักษณ์แทนเมืองหลวงจะไม่ดีหรือครับ”
“ดีสิคะ สร้างเป็นรูปปั้นของเจ้าชายดีไหมคะ”
“ตามที่ได้ยินมาจากข่าวลือ ท่านมีหน้าตาที่งดงามนะครับ เป็นความคิดที่ดีมากๆ เลยครับ”
เรนตอบรับอย่างเกินหน้าเกินตาหลังจากได้ฟังคำแนะนำที่แสนเรียบง่ายและธรรมดาของมิเอล
หล่อนไม่อาจเก็บกลั้นความดีใจผ่านความคิดของตนเองได้ มันคือคำแนะนำที่ไม่ว่าใครก็สามารถคิดได้ และเรนก็ยังตอบว่ามันเป็นความคิดที่เยี่ยมยอดไม่มีเปลี่ยน หล่อนยังรู้สึกว่าความคิดและความเห็นของตนดีที่สุดเหมือนเดิมเลยสินะ
‘นี่มิเอลไม่รู้สึกรู้สาอะไรบ้างเลยหรือไงนะ’
นั่นเพราะคำตอบของเรนดูจะผิดหวังในตัวหล่อนไม่น้อยเลยทีเดียว แม้จะไม่แสดงออก แต่เขาไม่ได้มีความรู้สึกร่วมไปกับความคิดเห็นของหล่อนเสียเท่าไหร่ เขาเพียงแค่ตอบไปตามความเหมาะสมก็เท่านั้น
ภาพนั้นช่างเหมือนตอนที่ท่านเคานต์ได้รับฟังความคิดเห็นที่น่าผิดหวังของมิเอลเหลือเกิน
‘นี่จะให้สร้างรูปปั้นอย่างนั้นหรือ’
เด็กก็ควรตอบให้สมเป็นเด็ก แต่นี่มันไม่เด็กเกินไปหน่อยหรือไร เขาไม่ใช่วีรบุรุษผู้ไปปักธงในดินแดนที่พิชิตได้เสียหน่อย แล้วจะให้สร้างรูปปั้นอะไรกันล่ะ อาเรียแค่นหัวเราะให้กับความคิดเด็กน้อยนั่น
“…พี่”
ทันใดนั้นมิเอลก็มีปฏิกิริยาตอบกลับทันที ดูเหมือนหล่อนจะสนใจเธออยู่ตลอด แม้จะทำเป็นไม่สนก็ตาม
ซึ่งมันก็ควรจะเป็นแบบนั้น เพราะเธอเองก็เคยได้รับความสนใจทั้งจากออสการ์และเคนมาแล้ว หล่อนคงกำลังสงสัยว่าเธอคุยอะไรกับเรนระหว่างที่หล่อนไม่อยู่
อาเรียยกผ้าขึ้นมาเช็ดที่มุมปากก่อนจะเอ่ยขอโทษสั้นๆ เมื่อชื่อของเธอถูกเรียกและตกเป็นเป้าสายตา
“ขอโทษค่ะ พอดีดิฉันดื่มชาอยู่น่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ บางครั้งก็มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ค่ะ”
ซาร่าถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล เธอจึงพยักหน้าตอบกลับไปเงียบๆ ไม่ว่าใครมองต่างก็รู้ว่ามันคือการหัวเราะเยาะอย่างแน่นอน แต่สำหรับหล่อนที่รู้จักอาเรียผู้แสนน่ารักคนนี้แล้ว กลับมีเพียงความห่วงใยเท่านั้น
“เลดี้มีอะไรต้องการจะพูดหรือเปล่าครับ”
แต่สำหรับมิเอลและเรนแล้ว ดูจะไม่เป็นเช่นนั้น เหตุการณ์ของเธอเกิดขึ้นระหว่างที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่พอดี จึงเพียงพอจะทำให้พวกเขาตัดสินว่าเธอกำลังหัวเราะเยาะพวกเขาอยู่
ยิ่งไปกว่านั้น ที่เรนหันมาถามหาเหตุผลที่เธอหัวเราะเยาะนั่นก็เป็นเพราะเขากำลังเบื่อหน่ายและผิดหวังจากการพูดคุยกับมิเอลอย่างไรล่ะ
“ไม่มีหรอกค่ะ ก็ดิฉันไม่ทราบว่าจะมีที่ให้ดิฉันเข้าไปร่วมด้วยหรือเปล่านี่คะ”
“หากเป็นเรื่องความคิดเห็น ไม่ว่าใครก็สามารถแสดงความเห็นได้อย่างอิสระเลยครับ”
โธ่ การพูดคุยกับมิเอลจะต้องน่าเบื่อขนาดไหนกัน เขาถึงหันมาถามความเห็นจากนางร้ายเช่นนี้ ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนากับลูกสาวโสเภณีผู้ต่ำต้อยก่อน เพราะไม่อาจเอาชนะความเบื่อหน่ายได้ แม้เขาจะมาที่นี่เพื่อขอความเห็นใจโดยการเสนอทรัพย์สินที่มีเป็นภูเขาเลากาก็ตาม หากเจ้านายของเขารู้เข้า จะไม่โกรธแค้นแย่หรือ
“ถ้าอย่างนั้น… ถึงมันจะเรียบง่ายไปบ้าง แต่ขอดิฉันแสดงความเห็นสักครั้งได้ไหมคะ”
“ได้สิครับ”
เรนตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่คาดหวังราวกับกำลังหวังอยู่
เป็นเพราะการให้เหตุผลของอาเรียที่ทำให้เห็นอยู่บ้างเป็นบางครั้ง เขาดูจะคิดว่าการแสดงความคิดเห็นที่เฉียบคมเมื่อก่อนหน้านี้นั้นเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ เพราะชาติกำเนิดของนางร้ายที่มาจากโลกอันแสนต่ำตม และข่าวลือของเธอก็ไม่ธรรมดาเสียด้วย ถึงอย่างนั้น แววตาของเขาก็ยังเป็นประกายเพราะความคาดหวังเล็กๆ ที่มี
“ดิฉันคิดว่าควรจะปิดคาสิโนดีกว่านะคะ”
“…ทำไมล่ะครับ”
เรนขมวดคิ้วมุ่นเพราะความเห็นอันสุดโต่ง
“เพราะดิฉันคิดว่าต่อให้มันจะชอบธรรมยังไง คาสิโนที่เราสามารถคาดหวังกับแจ็กพอตได้ก็ยังเป็นสิ่งที่ทำร้ายทำลายสติและจิตวิญญาณของพลเมืองในราชอาณาจักรอยู่ดีค่ะ”
และอีกไม่นานเรื่องนี้ก็จะกลายเป็นความจริง เพราะคาสิโนในมือของมกุฎราชกุมารนั้นเจริญรุ่งเรืองอย่างใหญ่หลวง ต่างจากตอนที่ไวเคานต์ลูฟร์เข้ามาจัดการลิบลับ และเพราะความวางใจและเชื่อถือที่จักรวรรดิเป็นผู้ดำเนินการด้วยเช่นกัน
ดังนั้น คนที่สูญเสียทรัพย์สินทั้งหมดให้กับคาสิโน ซึ่งเป็นการพนันที่ถูกทำให้ชอบด้วยกฎหมายจะยังมีอย่างต่อเนื่อง และความเสียหายนั้นก็จะส่งผลกระทบมาถึงชนชั้นสูงในที่สุด
ในอดีตนั้นเคาน์ติสผู้เป็นมารดาของอาเรียก็ยังต้องเสียเงินไปกับมันจนต้องนำเพชรที่มีมาขาย พลอยทำให้มีปัญหาเล็กน้อยกับท่านเคานต์อีกด้วย
โชคยังดีที่วันเวลาช่วยเยียวยาให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น แต่เคาน์ติสก็ต้องถูกเฝ้าดูไประยะหนึ่ง เพราะอย่างนั้นเธอจึงคิดจะเตือนหล่อนอย่างเหมาะสม หรือไปคาสิโนเป็นเพื่อนหล่อนและคอยแนะนำหล่อนด้วย
แม้ตอนที่ท่านไวเคานต์ลูฟร์เป็นผู้ดำเนินกิจการจะมีผู้ที่สูญเสียทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก แต่เพราะมันเป็นเพียงแค่สถานที่บันเทิงเริงรมย์ที่มีไวเคานต์เป็นผู้ดำเนินกิจการ ทำให้มันไม่ได้รับการขยับขยายกิจการและการประชาสัมพันธ์อย่างเต็มที่ พวกเขาถึงยื่นมือเข้าไปสัมผัสกับสิ่งผิดกฎหมาย
แต่หากเจ้าชายยื่นมือเข้าไปพัวพันล่ะก็
“เลดี้หมายความว่าพวกเขาจะเสียทรัพย์สินเพราะการพนันหรือครับ”
“ส่วนตัวแล้วดิฉันคิดเช่นนั้นค่ะ ก็ถ้าหากข่าวลือว่าเจ้าชายจะเป็นผู้ดำเนินกิจการแพร่สะพัดออกไป ไม่ว่าใครหน้าไหนก็จะวางเงินลงทุนด้วยความไว้วางใจ ต่างจากตอนไวเคานต์ลูฟร์เป็นผู้ดำเนินกิจการใช่ไหมล่ะคะ และโดยธรรมชาติของการพนันแล้วก็จะทำให้คนเราเสียเงินอยู่แล้วล่ะค่ะ”
“ก็มีเหตุผลนะครับ ถ้าอย่างนั้นเราก็ควรกำหนดขีดจำกัดไม่ใช่หรือครับ”
“แล้วจะกำหนดยังไงหรือคะ”
“อย่างนี้ครับ หากเรากำหนดจำนวนเงินที่สามารถใช้ได้ตามทรัพย์สินที่แต่ละคนมี…”
“อย่างนั้นหรือคะ ดิฉันอยากทราบว่าเราจะสอบสวนและกำหนดมาตรฐานยังไงหรือคะ ในเมื่อแต่ละคนก็มีทรัพย์สินไม่เท่ากัน”
แม้ชนชั้นสูงจะมีจำนวนน้อยและจ่ายภาษีเยอะทำให้สามารถวิเคราะห์จำนวนได้อย่างง่ายดาย แต่พลเมืองทั่วไปที่มีอยู่มากมายเล่า จะสอบสวนได้อย่างไร และถึงจะมีพลเมืองหนึ่งหรือสองคนล้มละลาย ความเสียหายที่ราชอาณาจักรทั้งหมดจะได้รับก็ไม่ได้ใหญ่หลวงอะไร
แต่หากจำนวนพลเมืองเหล่านั้นเพิ่มขึ้นล่ะ
หากพวกเขาซึ่งแม้จะจ่ายภาษีน้อยแต่จ่ายเป็นประจำและเป็นผู้ค้ำยันฐานรากของจักรวรรดิล้มละลายกันหมด ชนชั้นสูงที่ใช้ชีวิตหรูหราฟู่ฟ่าอยู่เหนือพวกเขาเหล่านั้นก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน
“เรื่องนั้น…”
เรนไม่ได้พูดจนจบ เขาดูไม่มีทางเลือกหรือแผนการอื่นในใจเลย
อาเรียเองก็เช่นกัน เธอคิดว่าการปิดกิจการคาสิโนนั้นเป็นความคิดที่ดี เพราะเธอเองก็คิดหาทางเลือกที่เทียบเท่ากับทางเลือกนี้ไม่ออกแล้ว
“พวกคนที่เดินเข้าคาสิโนด้วยความฝันที่จะได้แจ็กพอตคือพวกแรกที่จะ…”
อาเรียหันไปมองมิเอลครั้งหนึ่งพร้อมกับยิ้มอย่างงดงาม ก่อนจะพูดต่อ
“คงจะได้เห็นรูปปั้นของเจ้าชายสินะคะ และก็คงจะคิดแบบนี้ค่ะ ‘ในเมื่อมันคือคาสิโนที่เจ้าชายดำเนินกิจการด้วยท่านเอง ท่านคงจะทำให้ชีวิตของฉันมั่งคั่งเป็นแน่’ แต่ว่า”
นัยน์ตาสั่นไหวของมิเองมองตรงไปยังอาเรีย ดูจากท่าทางกลืนน้ำลายอึกๆ นั่นแล้ว หล่อนคงกำลังรอคำพูดต่อไปอยู่กระมัง
ใบหน้าของเรนเองก็เกร็งขึ้นมาราวกับกำลังคาดเดาในสิ่งที่เธอกำลังจะพูด
“แต่ถ้าเสียเงินไปแล้วจะทำยังไงดีล่ะคะ คุณคิดว่าใบหน้าแรกที่พวกเขา ซึ่งสูญเสียทรัพย์สินทั้งหมดและถูกเตะออกจากคาสิโนต้องเจอคือใบหน้าของใครหรือคะ”
ถึงเธอจะไม่พูดต่อเขาก็คงจะรู้ อาเรียถือแก้วขึ้นจิบชาแดงที่เย็นลงมาเล็กน้อยเข้าปากหลังจากพูดจบแล้ว
เรนกำมือแน่น เพราะภาพที่เธอกำลังลิ้มรสชาอย่างสง่างามพร้อมกับแพขนตายาวดกหนาที่หลุบลงต่ำนั้น ช่างเหมือนนางร้ายในข่าวลือเสียเหลือเกิน
มิเอลไม่อาจเอาชนะความอับอายได้เพราะรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงจากความคิดตื้นเขินและโง่เขลาของตน ไม่สามารถตอบอะไรกลับไปได้เลย เพราะอย่างนั้นผู้ที่เป็นคนตอบคำถามของอาเรีย ก็คือซาร่าที่แสนน่ารักนั่นเอง
“…ก็คือรูปปั้นเจ้าชายน่ะสิคะ”
……………………….