คลังสมบัติสำนักจันทร์จรัสแสง
เพียงชั่วพริบตา กาลเวลาก็ผันผ่านไปอีก 2 เดือน
วันหนึ่งต้วนหลิงเทียนก็ออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ทั้งเดินออกจากห้องมาด้วยใบหน้าสดชื่นแจ่มใส
เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ดีไม่น้อย
“ในที่สุดข้าก็ทะลวงมาถึงสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญได้ซะที!”
รอยยิ้มสดใสยินดีค่อยๆจางหายไป ไม่นานก็กลายเป็นยิ้มสะทกสะท้อน สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
ด้านนอกเวลาผ่านไป 2 เดือน ทว่ากาลเวลาในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัตินั้น มันล่วงเลยไปถึง 10 เดือนแล้ว!
ในช่วงระยะเวลา 10 เดือนที่ผ่าน นอกจากฝึกฝนวรยุทธ์เซียนทั้งหลาย ต้วนหลิงเทียนยังเน้นหนักในการบ่มเพาะเพิ่มพูนด่านพลังเป็นพิเศษ
อนิจจาหลังจากที่ทะลวงมาถึงขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญแล้ว เขาพบว่าไม่ว่าจะพยายามอย่างไร เขาก็ไม่อาจใช้ปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตราออกมาได้เลย!
เรื่องปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตรานั้น ก่อนหน้านี้ต้วนหลิงเทียนก็ไปสอบถามสิ่งที่ควรทราบจากป๋ายลี่หงไว้ก่อนแล้ว และเขาได้รู้ว่ามันเป็นกลวิธีใช้พลังประการหนึ่ง ที่สามารถจ่ายปราณแท้ออกมาควบรวมเป็นศาสตรามีสภาพเสมือนจริง
สำหรับชนิดศาสตรานั้นเป็นอะไรที่ปรับเปลี่ยนได้ตามแต่ใจ
คราวนี้อยากควบรวมเป็นดอกศร ต่อไปอยากเป็นกระบี่ พลอง หอก สนับมือกรงเล็บอันใด ก็ไร้ข้อกำหนดทั้งสิ้น
แน่นอนว่าในกลวิธีใช้พลังทั้ง 3 แบบของตัวตนในขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญถึงขั้นยิ่งใหญ่นั้น ปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตราเป็นอะไรที่อิสระและไร้กฏเกณฑ์ข้อบังคับมากที่สุดแล้ว
ปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์ไม่อาจปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้
และปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์นั้น ก็มีกลวิธีในการกำหนดรูปลักษณ์ 2 วิธี หนึ่งคือใช้แก่นแท้โลหิตของสัตว์ร้ายหรือสัตว์เซียนที่ต้องการ อีกประการนั้นใช้จินตนาการตั้งมั่น โดยมีโลหิตของสัตว์ร้ายหรือสัตว์เซียนใดๆก็ได้เป็นตัวทำปฏิกริยา
อย่างไรก็ตาม พลังของสัตว์ที่อยู่ในจินตนาการนั้น จะด้อยกว่าหากนำไปเทียบกับสัตว์ที่บังเกิดขึ้นจากการใช้แก่นแท้โลหิต…
อย่างหลังนั้นมีเพียงแค่รูปร่างหน้าตาตามที่ท่านจินตนาการ ทว่าอย่างแรกนั้นนอกจากรูปร่างแล้วกลิ่นอายพลังอะไรกลับเสมือนมันเป็นสิ่งมีชีวิตตัวนั้นๆเลย!
ปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์ที่ต้วนหลิงเทียนเคยพบเจอมาทั้งหมด ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากจินตนาการของผู้ใช้เท่านั้น
นั่นเพราะมันเป็นเรื่องยากเย็นอย่างมากที่จะได้แก่นแท้โลหิตของสัตว์ร้าย ยิ่งสัตว์เซียนยิ่งยากไปกันใหญ่!
แก่นแท้โลหิตนั้นไม่ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ อีกทั้งมีเพียงสัตว์ร้ายหรือสัตว์เซียนที่มีสายเลือดระดับสูงและมีความบริสุทธิ์ระดับหนึ่งเท่านั้นถึงจะมีได้ เรียกว่าพบพานได้ยากประหนึ่งมังกรและหงส์ฟ้า…แถมไม่ว่าจะเป็นสัตว์ร้ายหรือสัตว์เซียนที่จะมีแก่นแท้โลหิตได้ ส่วนมากแล้วก็ต้องเป็นสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบเสียก่อน
ดังนั้นแล้วหากท่านไม่ใช่ตัวตนที่มีภูมิหลังไม่ธรรมดา หรือมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือ ก็ยากที่จะสรรหาแก่นแท้โลหิต มาประกอบพิธีกำหนดปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์ได้
‘ข้าได้ดูดซับแก่นแท้โลหิตของมังกรมาร 5 กรงเล็บไว้แล้ว…เช่นนั้นข้าสามารถสร้างมังกรมาร 5 กรงเล็บออกมาได้ทันที หากข้าสามารถใช้ปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์ได้หลังบรรลุถึงสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบ’
เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนเต็มไปด้วยความคาดหวังนัก
ด้วยความที่ต้วนหลิงเทียนดูดซับแก่นแท้โลหิตมังกรมาร 5 กรงเล็บ เช่นนั้นแล้ววันใดที่เขาใช้ปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์ได้ สิ่งที่เขาสร้างออกมา หากไม่ถึง 10 ก็ต้องมี 9 ส่วนที่มันจะทรงพลังอำนาจเหนือกว่าปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์ของผู้อื่น!
ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ ที่สัตว์ปราณของเขาจะเอาชนะสัตว์ปราณที่บังเกิดจากตัวตนที่มีระดับพลังฝึกปรือเหนือกว่า!
“หืม?”
ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็พบว่า หลังจากออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ เขากลับสามารถควบรวมปราณแท้ตามกลวธีพลังในการใช้ปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตราได้สำเร็จ! เบื้องหน้าปรากฏกระบี่พลังมีสภาพเสมือนจริงยากแยะแยะผุดขึ้นมาในความว่าง!
เพียงห้วงคิด กระบี่พลังดังกล่าวก็พุ่งทะยานออกไปปานจุดระเบิด บินฉวัดเฉวียนในอากาศเพียงใจคิด ไม่ต้องใช้พลังวิญญาณควบคุมอะไรให้ลำบากเหมือนกาลก่อน!
“อะไรกัน? ที่แท้ปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตราจะใช้ไม่ได้เฉพาะในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเท่านั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนรู้สึกโล่งใจไม่น้อย
ตอนแรกเขาหลงคิดว่าใช่เขามีปัญหาอะไรหรือไม่ ถึงไม่อาจใช้ปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตราได้ ยังใจเสียด้วยคิดว่าเขาอาจจะเสียเปรียบผู้ฝึกตนคนอื่นๆที่มีด่านพลังฝึกปรือสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญแล้วด้วยซ้ำ
“นะ..นั่นมัน! ปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตรางั้นเรอะ!?!”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนควบคุมปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตราให้บินฉวัดเฉวียนในอากาศ ทั้งลองปรับเปลี่ยนรูปร่างเป็นศาสตราชนิดอื่นๆจนเพลินปานเด็กน้อยได้ของเล่นใหม่นั้นเอง เขาพลันได้ยินเสียงตื่นตระหนกโพล่งดังขึ้นมา! ดึงสติให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง!
เสียงโพล่งด้วยความตื่นตระหนกนี้ ต้วนหลิงเทียนบอกได้ทันทีว่าเป็นเสียงของป๋ายลี่หง
“ศิษย์พี่ป๋าย”
เพียงห้วงคิด หอกพลังมีสภาพเสมือนจริงที่เกิดจากปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตรา ที่กำลังพุ่งทะลวงอากาศก็อันตรธานหายไปทันที หันไปกล่าวทักผู้มาถึงด้วยรอยยิ้ม
ทว่าป๋ายลี่หงกลับไม่ตอบสนองการทักทาย
ลูกตาของมันมองต้วนหลิงเทียนด้วยความตกตะลึง คล้ายพึ่งเคยพบเจอต้วนหลิงเทียนเป็นครั้งแรก
ถึงแม้มันจะรู้มาว่าต้วนหลิงเทียนทะลวงมาถึงขอบเขตสู่เซียนแล้ว แต่มันหลงคิดว่าต้วนหลิงเทียนพึ่งอยู่ในขอบเขตสู่เซียนขั้นต้นก็เท่านั้น
ทว่ามันไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะสร้างความประหลาดใจครั้งใหญ่ ถึงขั้นตกตะลึงพรึงเพริดให้แก่มัน หลังออกจากการปิดด่านฝึกตนเป็นเวลา 2 เดือน
แทนที่จะใช้คำว่าตกตะลึงพรึงเพริด ต้องใช้คำว่า หวาดกลัวจนเสียขวัญมากกว่า!
ไม่ถึงครึ่งปีด้วยซ้ำจากพลังฝึกปรือหลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบ…กลับบรรลุสู่เซียนั้นเชี่ยวชาญแล้ว!
หากเป็นก่อนหน้านี้ ให้ตายมันก็ไม่เชื่อว่าจะมีอัจฉริยะท้าทายสวรรค์เช่นนี้ดำรงอยู่ในโลก!
“ศิษย์พี่ป๋าย ท่านมาหาข้ามีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่?”
เมื่อเห็นว่าป๋ายลี่หงยืนจ้องมองตาค้าง ต้วนหลิงเทียนก็พอเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร แต่ที่เขาไม่รู้ก็คือว่าไฉนอีกฝ่ายถึงมาหาเขา
หากไม่มีเรื่องราวอะไร ปกติป๋ายลี่หงจะไม่มาหาเขาถึงบ้านแบบนี้
ตอนนี้เองในที่สุดป๋ายลี่หงก็ดึงสติกลับมาได้สำเร็จ มันมองต้วนหลิงเทียนด้วยความตกใจอีกพักหนึ่งค่อยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ “สัตว์ประหลาด!”
ถึงแม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้วนหลิงเทียนได้ยินคนเรียกหาเขาแบบนี้ แต่พอเห็นอาวุโสฝ่ายในของสำนักจันทร์จรัสแสงอย่างป๋ายลี่หงเรียกหา ต้วนหลิงเทียนก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
“ศิษย์น้องต้วน ข้าถามจริงๆเถอะ นี่เจ้าบ่มเพาะพลังอีท่าไหนกันแน่ ถึงได้ทะลวงมายังขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญได้ไวถึงเพียงนี้ กระทั่งใช้ปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตราได้คล่องแคล่วนัก!”
ถึงแม้มันจะรู้ดีว่านี่เป็น ‘ความลับ’ ของต้วนหลิงเทียน แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมา
แน่นอนว่ามันได้เตรียมใจรับฟังคำปฏิเสธบอกปัดของต้วนหลิงเทียนเรียบร้อยแล้ว เพราะทุกคนย่อมมี ‘ความลับ’ ส่วนตัว แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกไปถึงจะรู้ว่าไม่อาจได้รับคำตอบก็ตามที
“ศิษย์พี่ป๋าย ใช้เวลาครึ่งปีบ่มเพาะพลังฝึกปรือจากขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบไปยังสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญ…ท่านว่าเรื่องนี้มันเป็นไปได้จริงๆหรือ?”
มองป๋ายลี่หงที่กล่าวถามด้วยสงสัย ต้วนหลิงเทียนเพียงแย้มยิ้มแล้วกล่าวถามกลับแทน
“ก่อนหน้านี้เป็นธรรมชาติที่ข้าจักมิเชื่อ…แต่เห็นเจ้ากับตาข้าไม่เชื่อก็คงไม่ได้”
ป๋ายลี่หงเผยยิ้มอันขื่นขมออกมา
“แล้วถ้าข้าบอกว่า ข้ารู้เคล็ดวิชาลับบางประการ ที่สามารถบิดเบือนผลจากการตรวจสอบพลังฝึกปรือด้วยทักษะวิญญาณลี้ลับเล่า?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม
“เอ่อ…”
ได้ยินคำนี้ของต้วนหลิงเทียน ป๋ายลี่หงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
มันไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ข้อนี้เลย เพราะมันไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีเคล็ดวิชาลับอะไรที่ทำแบบนี้ได้
“ที่แท้…เป็นเช่นนี้นี่เอง!”
ป๋ายลี่หงรู้สึกโล่งใจทันที
ถึงแม้ว่าเคล็ดวิชาลับนี่จะทำให้มันตกใจไม่น้อย แต่ก็ยังน้อยกว่าความจริงที่ต้วนหลิงเทียนใช้เวลาครึ่งปี ทะลวงมาจากหลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบจนถึงสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญ
ตรงกันข้ามหากบอกว่านี่เป็นการปกปิดพลังอันแยบคาย ป๋ายลี่หงค่อนข้างเชื่อมันมากกว่า
เมื่อเห็นว่าป๋ายลี่หงเชื่อเรื่องนี้สนิทใจ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะโล่งใจ
ทว่าอย่างไรเสียในใจเขาก็รู้สึกผิดไม่น้อย
เพราะสุดท้ายแล้วป๋ายลี่หงก็ปฏิบัติต่อเขาด้วยความจริงใจ ทว่าเป็นเขาที่ต้องโกหกอีกฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าต้องทำแบบนี้
เรื่องของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเป็นความลับอันใหญ่หลวงนัก หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะชักนำเภทภัยอันไร้สิ้นสุดมาสู่ตัว
แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าด้วยนิสัยของป๋ายลี่หง ถึงแม้จะรู้เรื่องนี้ แต่ให้ตายอีกฝ่ายก็ไม่มีทางแพร่งพราย
อย่างไรก็ตาม บางครั้งแม้ไม่พูด แต่ก็ไม่อาจไม่แพร่งพรายเรื่องราว!
ไม่ต้องกล่าวอะไรให้มาก มีทักษะวิญญาณมากมายที่ใช้อ่านความทรงจำของผู้คน และแน่นอนว่าเป็นอะไรที่ยากนักที่จะป้องกันจากทักษะอันตรายเหล่านี้ เพราะผู้ใช้ย่อมเป็นตัวตนที่น่ากลัวยากหยั่งถึง
เมื่อถูกทักษะลับระดับนั้นล้วงข้อมูล เกรงว่าต่อให้ตายก็ยากจะปกปิดอะไรได้!
ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงเลือกที่จะปิดบัง
เขาเชื่อว่าการไม่บอกความจริงกับป๋ายลี่หง ยังเป็นผลดีกับป๋ายลี่หงด้วยซ้ำ!
“ศิษย์น้อง ข้าแวะเวียนมาหาเจ้าหลายครั้งตั้งแต่ครึ่งเดือนที่แล้ว…ทว่าเจ้ายังคงปิดด่านบ่มเพาะอยู่ตลอด จึงมิคิดรบกวนเจ้า”
ป๋ายลี่หงกล่าว
“มาหาข้าหลายครั้งตั้งแต่ครึ่งเดือนที่แล้ว?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกไปด้วยความแปลกใจ “พี่ป๋าย ท่านมีเรื่องด่วนอะไรงั้นหรือ?”
“ใช่”
ป๋ายลี่หงตอบ “มิใช่ว่าเจ้าชมชอบสะสมวัตถุดิบแปลกๆหรือไร ตอนนี้เจ้ามีโอกาสที่จะได้เห็นพวกมันในคลังสมบัติของสำนัก…หากเจ้าลงแรงสักนิดอาศัยโชคสักหน่อย ข้าเชื่อว่าเจ้าสามารถเข้าไปมองหาวัตถุดิบที่เจ้าต้องการได้”
เห็นชัดว่าป๋ายลี่หงรับทราบเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนไปตามหาวัตถุดิบแปลกๆมากมายที่เมืองหานเหอมาแล้ว ป๋ายลี่หงจึงคิดช่วยเหลือเขาเรื่องนี้
และทันทีที่ได้ยินเรื่องดังกล่าว ป๋ายลี่หงก็นึกถึงคลังสมบัติของสำนักทันที
น่าเสียดายที่คลังสมบัตินั้น ต่อให้มันมีฐานะอาวุโสฝ่ายในระดับสูงและมีฐานะพิเศษในสำนักจันทร์จรัสแสง ก็ยังยากที่จะเข้าไปยังคลังสมบัติสำนักตามอำเภอใจ
นั่นเพราะคลังสมบัติสำนัก มีไว้ให้ศิษย์ที่โดดเด่นเข้าไปรับรางวัลเท่านั้น
นอกจากนั้นแล้วให้เป็นเจ้าสำนักหรือใครก็ตาม ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในคลังสมบัติของสำนักเพื่อหยิบฉวยอะไรไปเด็ดขาด
“คลังสมบัติของสำนัก?”
ต้วนหลิงเทียนสงสัย “มันสำคัญยังไงหรือพี่ป๋าย?”
“คลังสมบัติของสำนักนั้นนอกจากศาสตราเซียนและทรัพยากรล้ำค่า ยังมีวัตถุดิบประหลาดและพิสดารสะสมไว้มิใช่น้อย…สิ่งที่อยู่ในนั้นล้วนเป็นคนรุ่นก่อนนำมาสะสมเอาไว้ เรียกว่าตาดีได้ตาร้ายเสีย…”
ป๋ายลี่หงกล่าวอธิบายเพิ่มเติม “อย่างไรก็ตามคลังสมบัติสำนัก ทุกๆปีเพียงเปิดให้ศิษย์ฝ่ายในที่โดดเด่นเข้าไปได้เท่านั้น”
“ของปีนี้กำลังจะเปิดให้เข้าหรือ?”
หลังได้ยินคำอธิบายของป๋ายลี่หงต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความสนใจในคลังสมบัติของสำนักไม่น้อย ยิ่งงได้รับทราบว่ามักมีวัตถุดิบแปลกประหลาดสะสมเอาไว้ ก็ยิ่งสนใจมากขึ้น
“ถูกแล้ว”
ป๋ายลี่หงพยักหน้า “หลังจากนี้อีกครึ่งเดือน สำนักจะเปิดให้ศิษย์ที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปี เข้าร่วมการแข่งขันล่าสัตว์…ถึงตอนนั้นผู้ที่ได้อันดับต้นๆ จักได้รับโอกาสให้เข้าไปเลือกของรางวัลในคลังสมบัติของสำนักได้ตามใจชอบ…”