DC บทที่ 244: ก้าวลง

 

“ผู้อาวุโส อะไรทำให้ท่านมาในวันนี้” โหลวหลานจีถามเขาแม้ว่าเธอต้องการจะถามเขาว่าเขาไปไหนมาจนป่านนี้

 

“ข้ามาที่นี่เพื่อเติมเต็มคำสัญญาที่ให้ไว้” ซูหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

 

โหลวหลานจีเลิกคิ้วด้วยความสงสัย

 

“ข้ามิเข้าใจ…” เธอกล่าวหลังจากนั้นชั่วขณะ

 

ซูหยางไม่ได้กล่าวอะไรนอกจากสะบัดชายเสื้อ จนทำให้สิ่งของกองหนึ่งปรากฏต่อหน้าโหลวหลานจี

 

“น-น-นี่คือ…”

 

โหลวหลานจีจ้องมองเขม็งค้างไปยังเคล็ดวิชาและสมบัติวิญญาณที่กองเป็นภูเขาย่อมๆต่อหน้าเธอ

 

“ข้าหยิบฉวยสิ่งเหล่านี้มาระหว่างการเดินทาง แต่เพราะว่ามันมิมีประโยชน์อะไรต่อข้า ข้าจักให้พวกมันต่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของเจ้า” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาชี้ไปยังสมบัติหลายสิบชิ้นที่เขาได้รับในห้องสมบัติของสุสานเซียน

 

นั่นมีวิชาฝีมือตั้งแต่ระดับปุถุชนไปจนถึงระดับปฐพีกว่าห้าสิบเล่ม และมีสมบัติวิญญาณมากกว่าสองร้อยชิ้นมีระดับตั้งแต่ ระดับวิญญาณไปจนถึงระดับปฐพี

 

แค่เพียงวิชาฝีมือเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอในการเพิ่มพลังอำนาจให้กับสำนักขนาดใหญ่เห็นได้ชัดเจน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสำนักขนาดกลางดังเช่นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย อย่างไรก็ตามด้วยการเพิ่มสมบัติวิญญาณเพิ่มเข้าไปอีก นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็จะมีพลังอำนาจพุ่งทะยานฟ้า กลายเป็นสำนักที่มีพลังอำนาจและสมบัติมากมายไม่เพียงแค่เขตตะวันออกแต่เป็นทั่วทั้งทวีปตะวันออก

 

“ท-ท่านกำลังจะให้ของทั้งหมดนี้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย น-นั่นมากเกินไปสำหรับสถานที่ที่ไร้ค่านี้” โหลวหลานจีพูดด้วยเสียงสั่นสะท้าน ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อและตระหนก มองดูราวกับว่าเธอเพิ่งเข้าไปสู่สรวงสวรรค์

 

“เจ้ามิต้องการมันรึ” ซูหยางเลิกคิ้ว

 

“น-นั่นมิใช่พ..เพียงข้ามิรู้ว่าต้องปฏิบัติอย่างไร..หรือต้องตอบแทนท่านอย่างไร…”

 

นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยย่อมต้องยินดีรับสมบัติ “ฟรี” มากมายเช่นนี้อยู่แล้ว แต่โหลวหลานจีกลัวว่าซูหยางอาจจะเรียกร้องบางสิ่งหลังจากนั้น

 

และถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เธอไม่สามารถตอบสนองได้ จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น

 

“เจ้ามิต้องกังวลเรื่องตอบแทนข้า เพียงแค่คิดว่าเหมือนกับการหยิบเอาขยะที่ผู้อื่นทิ้งไว้เบื้องหลัง และนั่นก็จะเป็นสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น ถ้าเจ้าปฏิเสธมัน” ซูหยางกล่าว

 

ถ้าโหลวหลานจีไม่เอาสิ่งเหล่านี้จากเขา เขาอาจจะเพียงแค่โยนมันลงไปกลางถนนและปล่อยให้คนอื่นหยิบมันไป

 

ในขณะที่สิ่งเหล่านี้อาจจะมีค่าสำหรับผู้คนในโลกนี้ แต่วิชาและสมบัติแค่นี้ไม่ต่างไปจากขยะข้างทางในสายตาของซูหยาง ไร้ค่าโดยสิ้นเชิง

 

โหลวหลานจีจ้องเขม็งไปยังกองของสมบัติที่ส่งประกายแวววาวตรงหน้าเธอและกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ปากของเธอสอเต็มไปด้วยน้ำลายจากความกระหาย

 

“ถ-ถ้าเช่นนั้นข้าจักมิเกรงใจและรับของขวัญจากน้ำใจของท่านไว้…”

 

โหลวหลานจีพลันตรงเข้าไปนำเอาแหวนมิติหลายวงออกมาเก็บสมบัติทันที ในเมื่อสมบัติมากมายตรงหน้าเธอมีมากเกินกว่าที่จะเก็บไว้ภายในแหวนมิติวงเดียว

 

หลังจากที่นำเอาแหวนมิติออกมา โหลวหลานจีก็โยนสมบัติเหล่านั้นเข้าไปในแหวนทีละชิ้น บนใบหน้าเธอเปี่ยมไปด้วยความสุข ราวกับว่าคนที่เพิ่งถูกลอตเตอรี่

 

ซูหยางมองดูพฤติกรรมเหมือนเด็กๆของโหลวหลานจีด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า แม้ว่าจะมีหลายสิ่งที่เขาไม่ชอบในสถานที่แห่งนี้ แต่เขาก็นับถือพวกเขาที่สามาถสร้างสภาพแวดล้อมที่กระทั่งสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ก็ยังขมวดคิ้วขึ้นมาได้

 

เมื่อมาถึงเรื่องการฝึกคู่ ซึ่งผู้ฝึกร่วมฝึกคู่กันตามความใคร่ คนส่วนใหญ่ในโลกนี้ล้วนเหยียดหยามวิธีการฝึกฝนที่น่ารังเกียจนี้ ในเมื่อพวกเขาเชื่อว่าการฝึกเช่นนี้ทำให้การฝึกฝนอันศักดิ์สิทธิ์ด่างพร้อย

 

“โอออ นี่เป็นอาวุธวิญญาณระดับปฐพี” โหลวหลานจีตาเป็นประกายเมื่อเธอหยิบเอากระบี่ที่เปล่งประกายลึกล้ำขึ้นมา

 

“นี่ก็อีกชิ้น” โหลวหลานจีพลันตรงเข้าไปหยิบมันขึ้นมาหลังจากที่โยนสมบัติวิญญาณระดับปฐพีลงไปในแหวนมิติแล้ว

 

มันใช้เวลาหลายนาทีสำหรับโหลวหลานจีในการเก็บสมบัติที่กองเป็นภูเขาให้เรียบร้อย แม้ว่าเธอแทบจะไม่ได้ดูพวกมันก่อนที่จะโยนเข้าไปในแหวนมิติและถุง

 

หลังจากที่เธอเก็บสมบัติทั้งหมดแล้ว โหลวหลานจีก็มองไปยังซูหยางด้วยใบหน้ากระดากอายและกล่าวว่า “นั่นเป็นส่วนไม่น่าดูของข้า… ข้าตื่นเต้นเกินไปและควบคุมตนเองไม่ได้…”

 

ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “อย่างไรก็ตามในเมื่อเรื่องนี้จบแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะบอกเจ้าถึงเหตุผลที่แท้จริงว่าข้ามาที่นี่ในวันนี้ทำไม”

 

“เอ๋ มีอีกหรือ” โหลวหลานจีหรี่ตา รู้สึกมีลางแปลกๆในสายตาของซูหยาง

 

“ใช่แล้ว ข้ามาที่นี่เพื่อที่จะบอกว่าข้าจักก้าวลงจากการเป็นเจ้านิกาย ซึ่งก็เป็นชั่วคราวนับตั้งแต่แรก ดังนั้นเจ้าจึงมีอิสระในการหาผู้ที่เหมาะสมมาแทน”

 

เมื่อโหลวหลานจีได้ยินเช่นนี้เป็นอันดับแรก จิตใจเธอก็ไม่อาจตามทันได้ในทันทีได้แต่จ้องมองเขาด้วยท่าทางงงงัน อย่างไรก็ตามยามเมื่อเธอเข้าใจความหมายเบื้องหลังคำพูดของเขาได้ในที่สุดแล้ว ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างด้วยความตระหนก และตะโกนขึ้นว่า “ท่านจะไปแล้ว นี่ช่างกระทันหันเกินไป”

 

ใช่แล้วซูหยางจากไปอย่างกระทันหันเช่นเดียวกับตอนที่เขาปรากฏตัวขึ้นครั้งแรก ไม่มีคำเตือนหรือสิ่งอื่นใดบอกกล่าวล่วงหน้า เหมือนสายฟ้าฟาดลงมาท่ามกลางท้องฟ้าที่แจ่มใสสวยงาม

 

“นี่อะไรกัน เจ้ายังต้องการให้ข้าเป็นเจ้านิกายต่อไปอีกงั้นรึ ทั้งที่ถูกบังคับให้ยอมรับเมื่อเราพบกันครั้งแรก” ซูหยางพูดพร้อมหัวเราะน้อยๆ

 

โหลวหลานจีอ้าปากแต่ไม่มีเสียงพูดออกมา ถ้าซูหยางไม่เคยกดดันหรือติดสินบนเธอให้รับเขาเป็นเจ้านิกาย เธอก็คงเริ่มมองหาเจ้านิกายคนอื่นไปตั้งนานแล้ว แต่ถึงจะกล่าวเช่นนั้น นั่นก็ใช่ว่าเธอไม่ชอบสถานการณ์นี้เสียทีเดียว ในเมื่อไม่เพียงนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้รับการคุ้มครองจากเขาเป็นการตอบแทน แต่เขายังให้พวกเธอเป็นสมบัติมากมายซึ่งพวกเธอไม่มีวันที่จะหามาครอบครองได้ด้วยตนเอง

 

ตามจริงแม้ว่าซูหยางไม่ได้ช่วยเหลือนิกายอะไรจริงจังระหว่างที่เขาเป็นเจ้านิกายไม่กี่อาทิตย์ แต่พลังการฝึกปรือที่ลึกล้ำและความร่ำรวยที่ดูเหมือนไร้ขีดจำกัดของเขาก็เหมือนเป็นเจ้านิกายใน “อุดมคติ” ของสายตาของโหลวหลานจี ในเมื่อตัวตนอันลึกล้ำของเขาทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยและเต็มไปด้วยความปลอดโปร่งแม้ว่าจะเป็นต้นเหตุให้เจ้านิกายคนก่อนเสียชีวิต

 

ยามนี้เมื่อเขากำลังจะไป โหลวหลานจีก็กังวลว่าเธออาจจะไม่สามารถหาใครสักคนที่จะมีความสามารถได้สักครึ่งหนึ่งของซูหยางมาแทนที่