ตอนที่ 513 ปริศนา
เมื่อครุ่นคิดแล้วอันหลิงเกอก็หยิบก้อนหินขึ้นมามองพิจารณาว่าเหตุใดหินก้อนนี้จึงทำร้ายผู้อื่นยกเว้นนางสองแม่ลูก บางทีหินก้อนนี้อาจมีบางสิ่งบางอย่างที่สามารถบ่งบอกสถานะและความสามารถของนางก็ได้
เพราะตั้งแต่เด็กนางมีประสาทการได้ยินและได้กลิ่นดีกว่าคนทั่วไป บัดนี้มองแล้วมิใช่เรื่องที่หาคำอธิบายมิได้แน่นอน
ดูเหมือนการที่นางมีความรู้วิชาแพทย์ตั้งแต่กำเนิด อาจเป็นดั่งที่หนานกงหลิงเยว่กล่าวไว้ว่านางคือตัวโชคร้ายสำหรับหอพิษกู่
การที่อันหลิงเกอหยิบก้อนหินขึ้นมาดูก็พบว่านอกจากกลิ่นหอมรัญจวนใจแล้วก็ดูเหมือนมิมีสิ่งใดแตกต่างจากหินทั่วไปเลย
ทว่ากลิ่นหอมรัญจวนใจนี้ทำให้รู้สึกแปลกใจมิน้อย
ครั้นได้กลิ่นหอมนี้กลับมิได้รู้สึกเหมือนยาพิษ แต่เหมือนมีไอสังหารบางอย่างด้วยซ้ำ
เมื่อความคิดนี้บังเกิดขึ้นก็ทำให้อันหลิงเกอรู้สึกได้ถึงความลึกลับของหอพิษกู่มากยิ่งขึ้น
ภายในหอพิษกู่แห่งนั้นดูเหมือนมีบางอย่างรอให้นางเข้าไปค้นหาอยู่มากมาย
“พระชายาเจ้าคะ”
หมิงซินเดินเข้ามาและเมื่อเห็นอันหลิงเกอกำลังเหม่อลอยจึงมิรู้ว่ากำลังคิดเรื่องใด นางจึงเกิดความกังวลใจ
“หืม ? ”
อันหลิงเกอเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็ยัดหินเมื่อครู่กลับเข้าที่เดิม ก่อนลุกขึ้นยืนและเดินไปหาหมิงซิน
เพราะนางกลัวว่าจะเป็นดั่งที่ซูโจวกล่าวไว้คือหินก้อนนี้จะทำร้ายคนรอบข้าง
“พระชายา เมื่อครู่เป็นอันใดไปหรือเจ้าคะ ? ”
หมิงซินนำขนมวางบนโต๊ะ จากนั้นก็มองไปยังอันหลิงเกอด้วยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย
“มิมีอันใด จริงสิ ในตอนที่เจ้าอยู่ในหุบเขากู่ได้เห็นเรื่องผิดสังเกตบ้างหรือไม่ ? ”
ยามนี้อันหลิงเกออยากรู้เรื่องราวเพิ่มเติมจนแทบทนมิไว้ ต่อให้เป็นเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับหอพิษกู่เพียงเล็กน้อยก็ตาม
“อืม…คนที่อยู่กับบ่าวก็มีเพียงสตรีตาสีฟ้าครามผู้นั้นเจ้าค่ะ”
ตาสีฟ้าครามก็หมายถึงหนานกงหลิงเยว่
“อืม” อันหลิงเกอพยักหน้าและรอให้อีกฝ่ายกล่าวต่อ
“แต่มิได้มีอันใดผิดสังเกตเจ้าค่ะ บ่าวถามนางก็มิตอบสักคำ” หนานกงหลิงเยว่มิแยแสผู้ใดตลอดเลยหรือ ? ครั้นนึกถึงนิสัยของอีกฝ่ายก็ดูมิเหมือนที่หมิงซินกล่าวสักนิด
ดูท่าเรื่องนี้นางต้องทำความเข้าใจอีกมาก มิได้การ นางต้องไปหอพิษกู่อีกสักรอบ !
เพื่อสืบหาเกี่ยวกับหินก้อนนั้นและเรื่องของมารดา บางทีอาจเป็นดั่งที่หนานกงหลิงเยว่กล่าวไว้ก็ได้และเรื่องนี้ต้องมีความเกี่ยวข้องกับหอพิษกู่เป็นแน่
“เอาล่ะ หมิงซิน เจ้าออกไปก่อนไป มีเรื่องอันใดข้าค่อยเรียกเจ้า”
“เจ้าค่ะ”
หลังจากหมิงซินออกไป อันหลิงเกอก็กำหินก้อนนั้นไว้ จากนั้นก็หยิบกริชที่วางอยู่บนโต๊ะและเตรียมเดินออกไป
“ท่านจักไปไหนหรือขอรับ ? ” เสียงของซูโจวดังขึ้นนอกประตู หยุดความคิดที่อันหลิงเกอเตรียมออกนอกจวนไปชั่วขณะ
เพราะเขาทราบอยู่แล้วว่าด้วยนิสัยของอันหลิงเกอต้องไปค้นหาความจริงของหอพิษกู่อย่างแน่นอนและเขามิอาจให้นางไปได้
“ข้า…” อันหลิงเกอยังมิได้เอ่ยก็รู้ว่าซูโจวคาดเดาไว้แล้ว
“ข้าอยากไปหอพิษกู่” ในเมื่อซูโจวรู้อยู่แล้ว นางจึงเลือกเอ่ยความจริง
“หากเป็นเพราะหินก้อนนั้น ข้าน้อยสามารถบอกพระชายาได้ แต่ท่านต้องรับปากก่อนว่าหากรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วจักมิไปหอพิษกู่แห่งนั้นอีกขอรับ”
ซูโจวคาดเดาไว้แล้วว่าเรื่องนี้มิอาจปิดบังอันหลิงเกอได้ แต่ก็มิอาจให้อันหลิงเกอรู้เรื่องราวทั้งหมดไปเลย ดังนั้นภายในใจของเขาจึงเกิดความสับสนอยู่มิน้อย
“ท่านแม่ของพระชายาเคยเป็นคนของหอพิษกู่ขอรับ”
เป็นคนของหอพิษกู่อย่างนั้นหรือ ?
เป็นไปมิได้ !
มารดาได้รับพระราชทานให้เป็นฮูหยินใหญ่แห่งจวนโหว เหตุใดจึงเป็นคนในสถานที่เลื่องลือเรื่องวิชาพิษเยี่ยงหอพิษกู่ไปได้ !
“พระชายา หินก้อนนั้นเป็นของมารดาท่านเอง ส่วนทักษะด้านวิชาแพทย์และความสามารถต่าง ๆ ของท่านก็เป็นสิ่งที่มารดามอบให้ ฟางต้าเฉิงอดีตประมุขหอพิษกู่ได้เห็นความสามารถของมารดาท่านจึงทำให้นางได้เข้าไปอยู่ในหอพิษกู่ขอรับ”
ซูโจวกล่าวถึงตรงนี้ก็หยุดชะงัก ส่วนอันหลิงเกอแสดงสีหน้าสับสนอยู่ครู่ใหญ่ซึ่งนางมิรู้ว่าต้องแสดงปฏิกิริยาตอบสนองเยี่ยงไร
ท่านแม่เป็นคนของหอพิษกู่
“ข้าน้อยบอกเรื่องเหล่านี้แก่ท่านเพราะมิอยากให้ท่านไปเสี่ยงอันตรายในหอพิษกู่อีก ที่นั่นใกล้พังทลายซึ่งผู้ที่คิดทำร้ายท่านอาจมิใช่ฟางหลิงซู่ ทว่าหนึ่งในพวกเขาต้องมีผู้ที่คิดสังหารท่านอยู่เป็นแน่ขอรับ”
อันหลิงเกอมิได้ตั้งใจฟังซูโจวพูดมากมายแต่อย่างใดเพราะยังหยุดคิดตรงประโยคที่ว่า ‘ท่านแม่เป็นคนของหอพิษกู่’ มิได้
“ซูโจว เจ้ารู้เรื่องของท่านแม่ข้าได้เยี่ยงไร ? ”
อันหลิงเกอมิกล้าเชื่อ นางคาดหวังมากว่าซูโจวจะบอกนี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด และท่านแม่มิเคย…มิเคยทำร้ายผู้อื่นมาก่อน
มารดาเป็นฮูหยินใหญ่แห่งจวนโหว มียศถาบรรดาศักดิ์สูงส่ง หากเป็นคนของหอพิษกู่จริงก็หมายความว่าท่านแม่ทำร้ายผู้คนมากมายใช่หรือไม่ ?
แต่หากเป็นเยี่ยงนั้นจริง เหตุใดท่านแม่จึงโดนหลี่ซื่อทำร้ายโดยง่ายเล่า ?
“ตอนนั้นมารดาท่านออกจากหอพิษกู่ด้วยเหตุผลบางประการ นางในอดีตเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโดดเด่นแห่งเผ่าหมอเทวดาขอรับ”
ซูโจวมิได้หลอกลวง เพียงแต่นางจักเชื่อหรือไม่นั้น เขาก็มิอาจแน่ใจ
เพราะเขามิเคยมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับฮูหยินใหญ่แห่งจวนโหวมาก่อน ดังนั้นเขาจึงไร้ทางโป้ปด
“แต่…” อันหลิงเกอเม้มปาก อยากพูดอันใดบางอย่างแต่เอ่ยออกมามิได้
“ท่านแม่ตายได้เยี่ยงไร ? ”
อันหลิงเกอยังมิปล่อยวางประเด็นนี้ หากซูโจวรู้มากพอก็ต้องชี้ความกระจ่างให้นางได้
“ก่อนหน้านั้นข้าน้อยเคยเรียนพระชายาไปแล้ว ส่วนเรื่องสาเหตุการตายโดยละเอียดนั้นข้าน้อยมิแน่ใจขอรับ”
เนื่องจากซูโจวเป็นคนธรรมดาที่แตกต่างจากอันหลิงเกอ มิได้มีความสามารถโดดเด่น เรื่องที่เขาเข้าใจจึงมีข้อจำกัด
“ข้าน้อยรู้เพียงว่ามารดาของพระชายาเป็นสตรีที่น่าอัศจรรย์มากผู้หนึ่ง มีชื่อเสียงโดดเด่นในแคว้นชิงเยว่ ส่วนเหตุใดฮ่องเต้จึงพระราชทานสมรสนั้น….”
ซูโจวเอ่ยถึงตรงนี้ ในใจก็รู้สึกเจ็บปวดร้าวราน
“ซูโจว เหตุใดท่านแม่ของข้าจึงออกจากหอพิษกู่ ? ”
ดูเหมือนซูโจวคาดมิถึงว่าอันหลิงเกอจะถามคำถามนี้ เขาจึงตกตะลึงไปชั่วขณะ
คำตอบนี้เขาย่อมรู้ดี อันหลิงเกอมองได้จากนัยน์ตาของเขา เพียงแต่เขากำลังหลบเลี่ยงราวกับมิยอมบอกนาง
“เพราะนางและอดีตประมุขหอพิษกู่มีสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันขอรับ”
ฟางต้าเฉิง นางพอเดาออกว่าต้องเป็นประมุขหอพิษกู่ที่ว่าอย่างแน่นอน ดูท่าแล้วต้องเป็นเพราะท่านแม่ได้รับความโปรดปรานจากเขาจึงนำพาเรื่องบางอย่างมาสู่ตนจนมิอาจอยู่ในหอพิษกู่ได้
หากมิใช่เพราะเรื่องนี้มารดาก็มิได้แต่งงานเข้าจวนโหวและมิได้ให้กำเนิดนางเป็นแน่
เมื่อคิดได้เยี่ยงนั้นอันหลิงเกอก็มิถามอันใดต่อและเก็บเท้าที่เตรียมไปยังหอพิษกู่คืนมา
“ขอบใจเจ้ามาก”
หากมิใช่เขา บางทีนางอาจมิได้รู้ความจริงที่เก็บไว้มานานเหล่านี้ก็ได้ ที่แท้จุดกำเนิดระหว่างนางกับหอพิษกู่ก็เริ่มจากตรงนี้เอง
ส่วนเหตุใดอีกฝ่ายต้องตามหาตัวนางและมิลงมือทำร้าย รวมทั้งผู้ที่ต้องการทำร้ายนางคือใคร ผู้ที่อยู่เบื้องหลังของอาโผคือผู้ใด คำถามเหล่านี้นางต้องไปค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง
“ขอรับ”
ซูโจวมิได้กล่าวอันใดแต่เดินออกจากเรือนฝูหลิงไป มองแล้วเพราะต้องการขวางนางไว้จึงยอมเล่าเรื่องเหล่านี้แก่นาง
เมื่อรู้เรื่องทั้งหมดนี้แล้วในใจของอันหลิงเกอก็แปรเปลี่ยนเป็นสงสัยมากยิ่งขึ้น สำหรับหอพิษกู่นั้นนางมีทัศนคติที่ค่อนข้างชัดเจนมาก เพราะอย่างน้อยเรื่องนี้นางก็แยกแยะออกอย่างชัดเจนว่าถูกหรือผิด