ตอนที่ 514 คลายปริศนา
อย่างน้อยในตอนที่ฮ่องเต้บัญชาให้กำจัดหอพิษกู่ นางก็มิได้รู้สึกอันใดอยู่แล้ว
ทว่าในตอนนี้รู้ว่ามารดามาจากหอพิษกู่ สถานะของตนก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับที่นั่น นางจึงเกิดรู้สึกมิแน่ใจขึ้นมา
แม้อันหลิงเกอเกลียดผู้ใด แต่คงมิมีทางเกลียดชังมารดาของตนได้
ตอนนี้พอนึกถึงความรู้สึกที่มีต่อฟางหลิงซู่และหนานกงหลิงเยว่แล้ว ดูเหมือนมิได้มีความรู้สึกอันใดมากนัก ที่พวกเขาปกป้องนางมาโดยตลอดก็เป็นเพราะท่านแม่อย่างนั้นหรือ ?
หินก้อนนี้มิปฏิเสธนาง อีกทั้งหนานกงหลิงเยว่ก็เคยกล่าวว่ามีแค่นางที่จ้องมองดวงตาสีฟ้าครามคู่นั้นได้โดยตรง สรุปว่าหินก้อนนี้มีความเกี่ยวข้องอันใดกันแน่
ในใจของนางเกิดความสับสนมาก เวลานี้มองมิเห็นทางออกแม้แต่ทางเดียว
จริงสิ มู่เหล่าหวางเฟย
อย่างไรตอนนั้นมู่เหล่าหวางเฟยก็เคยไปมาหาสู่กับมารดา บางทีอาจรู้เรื่องใดบ้างก็ได้
แต่นางต้องเข้าวังโดยได้รับอนุญาตจากมู่จวินฮานก่อน
ครั้นนึกถึงมู่จวินฮานแล้ว นางก็อดนึกถึงการใกล้ชิดระหว่างกันวันนี้มิได้ พวกนางสองคน…
มิใช่เวลามาคิดเรื่องนี้ !
“ปี้จู”
“เจ้าค่ะพระชายา”
อันหลิงเกอรู้ดีแก่ใจว่ายังต้องไปหามู่จวินฮาน ในความเป็นจริงทั้งสองคนถือว่าสนับสนุนซึ่งกันและกัน มิว่าตกอยู่ในสถานการณ์ใดก็ล้วนเชื่อใจกันได้
“ข้าจักไปพบท่านอ๋อง”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ปี้จูก็ดีใจมากทีเดียว แต่ใบหน้ายังแสร้งมองไปทางอันหลิงเกออย่างปกติ
“พระชายาเพิ่งกลับจากเรือนท่านอ๋องมิใช่หรือเจ้าคะ ? ”
เมื่อเห็นปี้จูล้อเลียน อันหลิงเกอก็ถลึงตาใส่และมิได้กล่าวอันใด
นางรู้ว่าเด็กสาวผู้นี้มีจิตใจที่ซื่อสัตย์ ต่อหน้านางจึงยิ่งมิค่อยมีกฎเกณฑ์เท่าไรนัก
“เช่นนั้นจักให้ปี้จูเตรียมสิ่งใดหรือไม่เจ้าคะ ? ”
“มิต้อง ไปกันเถิด”
อันหลิงเกอแค่อยากให้เป็นทางการเล็กน้อยเพราะอย่างไรนางก็อยากเอ่ยเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการขอเข้าวัง อีกทั้งนางรู้ดีว่าทั้งสองคนล้วนปฏิเสธต่อเรื่องราวในวังหลวงมาโดยตลอด
เพราะในพระราชวังตอนนี้เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมทุกหนแห่ง
“ท่านอ๋องเจ้าคะ”
“หืม ? ”
มู่จวินฮานตอบรับและคาดมิถึงว่าทันทีที่เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นอันหลิงเกอยืนอยู่หน้าประตู นางเพิ่งจากไปได้มินาน และเขาคิดว่านิสัยของนางคงมิกลับมาอีกในทันที
แต่เวลานี้ได้เห็นอันหลิงเกอแล้ว เขาก็รู้สึกประหลาดใจมิน้อย
“มีเรื่องอันใดหรือ”
มู่จวินฮานลุกขึ้นพร้อมส่งยิ้มให้นาง จู่ ๆ อันหลิงเกอก็รู้สึกมิอยากบอกแผนการขึ้นมาฉับพลัน ส่วนเขาก็คิดว่านางมาเยี่ยมเยียน ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วนางมีจุดประสงค์
“มู่จวินฮาน ข้ามีเรื่อง…”
“เจ้าอยากเข้าวังใช่หรือไม่ ? ”
มู่จวินฮานเดาออกตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่พอเห็นนางจึงอดรู้สึกดีใจมิได้ ส่วนอันหลิงเกอตกตะลึง นี่เขาเข้าใจจุดประสงค์ของนางจริงหรือ ?
“ใช่เจ้าค่ะ”
เมื่อเป็นเยี่ยงนี้แล้ว อันหลิงเกอจึงมิอ้อมค้อมอีกต่อไป ในเมื่อเขาเดาออกแล้วก็ไร้ความจำเป็นต้องปิดบังอีก
“ได้”
ดูเหมือนบทสนทนาของทั้งสองเรียบง่ายมาก แต่อันหลิงเกอรู้ดีว่าเชื่อใจเขาและเขาเองก็เช่นกัน ทั้งสองมีความเข้าใจซึ่งกันและกันโดยมิต้องกล่าวให้มากความ การเข้าใจกันเยี่ยงนี้ทำให้นางรู้สึกสบายใจตลอดมา
“จวินฮาน ถ้า…”
“มิมีทาง”
เขารู้ว่านางกำลังกังวลเรื่องอันใด ฮูหยินใหญ่แห่งจวนโหวในอดีตได้ออกจากหอพิษกู่แล้ว เช่นนั้นอันหลิงเกอย่อมไร้ความเกี่ยวข้องกับหอพิษกู่แน่นอน
คำตอบนี้มู่จวินฮานมั่นใจมาก
“ข้าแค่อยากรู้เรื่องราวบางอย่างที่เกี่ยวกับตนเองให้มากขึ้นเจ้าค่ะ” เวลานี้อันหลิงเกอรู้สึกว้าวุ่นใจเป็นอย่างมาก
อันหลิงเกอมิรู้อันใดเกี่ยวกับตนเองมาเนิ่นนาน นางมิเคยนึกถึงชาติกำเนิด แต่ตอนนี้เมื่อรู้จุดเริ่มต้นแล้วก็จำต้องดึงความจริงทั้งหมดออกมาให้ได้
บางทีความจริงที่ซ่อนอยู่อาจมีสาเหตุการตายของมารดาด้วยก็ได้ หลี่ซื่อที่เดิมทีไร้ความสามารถอันใดผู้นั้นอาจมิใช่คนทำร้ายท่านแม่
บางทีอาจเป็นแค่มีดของผู้อื่นเท่านั้น
“เช้าวันพรุ่งนี้ข้าจักเข้าวังเป็นเพื่อนเจ้า”
“เจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอพยักหน้าเบา ๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วนางซาบซึ้งใจมาก พรุ่งนี้มิรู้ว่าจักได้รับคำตอบเยี่ยงไร หรืออาจมิได้รับเลยก็ได้
เช้าวันรุ่งขึ้น อันหลิงเกอเตรียมตัวเสร็จอย่างรวดเร็วและออกมารอมู่จวินฮานอยู่ด้านนอกห้องหนังสือ
“ไปกันเถิด”
พอเห็นนางมารอตั้งแต่เช้า มู่จวินฮานย่อมรู้แก่ใจดีว่าเรื่องที่นางอยากรู้แทบขาดใจมีความสำคัญมากเพียงใด
ความลับที่เกี่ยวกับตัวนางได้แปรผันจากเรื่องการตายของมารดามาเป็นเรื่องราวของชาติกำเนิด
เรื่องทั้งหมดนี้อันหลิงเกอล้วนต้องการรู้ให้แน่ชัด ระหว่างทางเข้าวังแม้ว่ามิยาวไกลนักแต่นางกลับคิดมากตลอดเวลา
มู่เหล่าหวางเฟยมีความสัมพันธ์อันสนิทสนมกับมารดา หากรู้เรื่องบางอย่างก็ถือเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่มิแน่ใจว่าอีกฝ่ายจักยอมบอกหรือไม่
หากมิยอมแล้วนางควรทำเยี่ยงไร ?
“เกอเอ๋อ เจ้าอย่าเพิ่งคิดมากเลย หมู่เฟยต้องบอกเจ้าแน่นอน”
มู่จวินฮานมองปราดเดียวก็เข้าใจว่านางกำลังคิดอันใด ความรู้สึกนี้อันหลิงเกอมิต้องแอบมองก็สัมผัสได้ถึงความรักอันอบอุ่น
“จวินฮาน ผู้ที่ครองตำแหน่งสูงนานเกินไปก็มักกลัวตกลงมาเสมอ” อันหลิงเกอเอ่ยโดยมิปิดบังเพราะสิ่งที่นางกลัวคือความรู้สึกของการตกจากที่สูงลงสู่หุบเหวลึก
ในตอนนี้นางเป็นพระชายามู่ที่สูงศักดิ์และเป็นหมอหญิงของทุกคน เปรียบดั่งเทพธิดาแห่งการรักษาโรคระบาด แต่หากนางมิได้เป็นดั่งที่พวกเขาคิดและเป็นอีกคนที่ผู้ใดก็หวาดกลัว นางจักทำเยี่ยงไรดี ?
หากนางมีความเกี่ยวข้องกับหอพิษกู่ก็จะกลายเป็นการดำรงอยู่ของความชั่วร้ายในสายตาของทุกคน
“เจ้าเป็นเพียงอันหลิงเกอเท่านั้น” มู่จวินฮานมองนางด้วยแววตาจริงจังและเอ่ยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“จวินฮาน ข้าเป็นเพียงอันหลิงเกอในสายตาของท่าน หากวันหนึ่ง…ช่างเถิดเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอก็มิรู้ว่าอยากกล่าวอันใด แค่เห็นความจริงใจของมู่จวินฮานก็มิอยากพูดอันใดแล้ว
“เรียนมู่เหล่าหวางเฟย ท่านอ๋องและพระชายามาขอพบเจ้าค่ะ”
“ให้พวกเขาเข้ามา”
มู่เหล่าหวางเฟยมีสีหน้าเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัดและมิรู้ว่ายามนี้มู่จวินฮานกับอันหลิงเกอมาด้วยเหตุใด
“คารวะหมู่เฟยเจ้าค่ะ”
ผู้ที่เข้ามามีเพียงอันหลิงเกอคนเดียว มู่เหล่าหวางเฟยชะเง้อมองไปด้านนอก พอเห็นอีกฝ่ายเป็นเยี่ยงนี้ อันหลิงเกอก็รู้สึกปวดใจมากทีเดียว มารดาที่ไหนมิคิดถึงบุตรของตน
ยิ่งพำนักอยู่ในวังที่ไร้ผู้ใดพึ่งพิง มู่เหล่าหวางเฟยคงยิ่งคะนึงหามู่จวินฮานแทบขาดใจ
แต่น่าเสียดายที่ช่วงนี้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น พวกเขาจึงมิอาจพบกันได้อย่างปกติเหมือนอดีต
“วันนี้เจ้ามาพบแม่ด้วยเรื่องอันใดหรือ ? ”
แม้มู่เหล่าหวางเฟยเดาความคิดของอันหลิงเกอมิออก แต่พวกเขาเข้าวังมาต้องมีเรื่องอย่างแน่นอน
“ใช่เจ้าค่ะ” อันหลิงเกอเดินรุดหน้าเข้าไปหนึ่งก้าวและพยักหน้า รู้สึกเกรงใจเล็กน้อย
เนื่องจากนางรู้ว่ามู่เหล่าหวางเฟยคาดหวังให้มู่จวินฮานมาหาทุกวัน แต่การรอคอยกลับกลายเป็นการพบเจอกันด้วยจุดประสงค์เยี่ยงนี้
“เอาล่ะ พวกเจ้าออกไปก่อน” หลังจากทุกคนถอยออกไปแล้ว มู่เหล่าหวางเฟยก็มองอันหลิงเกอพลางโบกมือเรียก
“มา มานั่งข้างกายแม่”
ความอบอุ่นเยี่ยงนี้หายไปจากอันหลิงเกอเนิ่นนาน หลังมารดาจากไป นางก็มิเคยได้ใกล้ชิดกับญาติคนไหนอีกเลย