ตอนที่ 515 กระหายความจริง

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 515 กระหายความจริง

อันหลิงเกอมิได้ปฏิเสธและค่อย ๆ เดินเข้าไปหาจากนั้นก็นั่งลงข้างกายของมู่เหล่าหวางเฟย

“พูดมาเถิด”

รอยยิ้มของมู่เหล่าหวางเฟยมิได้แฝงไปด้วยเจตนาชั่วร้าย กระทั่งอันหลิงเกอมิเข้าใจว่าเหตุใดสตรีที่แสนใจดีและอบอุ่นมากเยี่ยงนี้จึงโดนกักขังไว้ที่นี่

“เกี่ยวกับท่านแม่เจ้าค่ะ ลูกอยากทราบเรื่องนี้เจ้าค่ะ”

เมื่อได้ยินอันหลิงเกอกล่าวเรื่องนี้แววตาของมู่เหล่าหวางเฟยก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ยังคลี่ยิ้มและกุมมืออีกฝ่ายเอาไว้

“เรื่องในอดีตสำคัญมากเลยหรือ ? ”

อันหลิงเกอรู้ว่ามิเพียงมู่เหล่าหวางเฟยเท่านั้น แต่ซูโจวก็ล้วนทำเพื่อนาง ทว่ามีบางเรื่องที่นางต้องรู้ให้จงได้

พอเห็นแววตามุ่งมั่นของอันหลิงเกอแล้ว มู่เหล่าหวางเฟยจึงรู้ว่าที่อีกฝ่ายมาในวันนี้ก็เพื่อถามเรื่องใด

“ดี เช่นนั้นเจ้าก็พูดมา เจ้าอยากรู้เรื่องอันใด แม่จักไขข้อข้องใจให้โดยมิปิดบัง”

เมื่อได้ยินมู่เหล่าหวางเฟยกล่าวเยี่ยงนี้ อันหลิงเกอก็รู้สึกวางใจ ดูท่าแล้วมู่เหล่าหวางเฟยต้องรู้อันใดมิมากก็น้อย การมาของนางในวันนี้มิเสียเปล่าจริง ๆ

“ก่อนหน้านี้ลูกได้ทราบข่าวเกี่ยวกับมารดาและหอพิษกู่ เกอเอ๋อจึงอยากทราบเรื่องราวในอดีตของมารดาเจ้าค่ะ”

ในตอนที่เอ่ยถึงเรื่องราวในอดีตของมารดา น้ำเสียงของอันหลิงเกอสั่นเครือเล็กน้อย และสายตาของมู่เหล่าหวางเฟยก็วูบไหวขึ้นมา

แต่หลังจากที่มู่เหล่าหวางเฟยเงียบไปชั่วขณะก็ทอดถอนใจ

“มารดาของเจ้าและแม่รู้จักกันตั้งแต่ราชวงศ์ก่อน ตอนนั้นจวนอ๋องหลายตระกูลมักมีการไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง แม่และฮูหยินใหญ่อันจึงค่อนข้างสนิทสนมกัน”

ในตอนแรกอันหลิงเกอย่อมมองออกว่าในแววตาของมู่เหล่าหวางเฟยสะท้อนให้เห็นการรำลึกความหลังและในตอนนั้นนางคงมีความสุขมากทีเดียว

อย่างน้อยในตอนนั้นมู่เหล่าหวางเฟยก็มีอิสระ

“สำหรับเรื่องราวที่นางอยู่ในหอพิษกู่ในอดีต แม่รู้ไม่มากนัก แต่เคยเห็นฟางต้าเฉิงมาพบนาง”

ในฐานะสหายสนิท มู่เหล่าหวางเฟยมิเคยทรยศเพื่อนและตอนนั้นในหอพิษกู่ก็มิมีผู้ใดรู้เรื่องมากนักจึงไร้ข่าวลือแพร่ออกมาจากแคว้นชิงเยว่ไปโดยปริยาย

ครั้นเอ่ยถึงฟางต้าเฉิงก็มิรู้ว่าเพราะเหตุใดอันหลังเกอจึงรู้สึกว่ามู่เหล่าหวางเฟยมีความรู้สึกลึกซึ้งแสนพิเศษต่อเขา

เพียงแต่ตอนนี้มิอาจคิดตามอำเภอใจได้ ถึงอย่างไรมู่เหล่าหวางเฟยก็เป็นคนที่ช่วยเหลือนางไว้

“ต่อมามารดาของเจ้าก็สมรสกับท่านโหวอัน จากนั้น จากนั้นก็ถือกำเนิดเจ้าขึ้นมา”

คำพูดนี้ของมู่เหล่าหวางเฟยกำลังบอกว่านางและฟางต้าเฉิงมีความสัมพันธ์เชิงพ่อลูกอย่างนั้นหรือ ?

ความคิดนี้เป็นไปได้มาก นี่จึงอธิบายได้ว่าเหตุใดฟางหลิงซู่มิทำร้ายนางและความสามารถที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดดูเหมือนมีความสัมพันธ์กับหอพิษกู่แน่นอน

“หมู่เฟยกำลังบอกว่าลูกและฟางต้าเฉิงเป็น…” เอ่ยถึงตรงนี้มู่เหล่าหวางเฟยกลับส่ายหน้า

“แม่เองก็มิแน่ใจเพราะเรื่องนี้นางมิยอมปริปาก ดังนั้นถ้าแม้แต่ซูโจวที่มาจากเผ่าหมอเทวดาก็มิรู้แน่ชัด แม่ก็คงช่วยอันใดมิได้”

เมื่อได้ยินมู่เหล่าหวางเฟยกล่าวเยี่ยงนี้ แม้มิให้คำตอบทั้งหมดแต่อันหลิงเกอก็พอรู้ชัดเจนขึ้น

ทว่านางต้องไปพิสูจน์กับฟางหลิงซู่ใช่หรือไม่ ?

ที่นางสามารถเข้านอกออกในหอพิษกู่หลายคราได้ก็เพราะสถานะของตนหรือ ?

มิรู้ว่าเพราะเหตุใดอันหลิงเหมือนรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ยังสงสัยมิน้อย

“ท่านแม่กับท่านพ่อ…”

แม้รู้ว่าคำถามนี้ยากเอ่ยออกมาแต่ผู้ที่สามารถไขข้อข้องใจให้ตนได้ก็คงมีเพียงมู่เหล่าหวางเฟยเท่านั้น

แต่พอเห็นมู่เหล่าหวางเฟยมิได้แสดงสีหน้ามิพอใจออกมาอันหลิงเกอจึงวางใจ

“หากมารดาของเจ้าเชื่อมั่นผู้ใดแล้วจักมิมีวันเปลี่ยนใจ”

อันหลิงเกอมิรู้ว่าผู้ที่ท่านแม่เชื่อมั่นคือฟางต้าเฉิงหรือไม่ ?

แต่ที่ซูโจวกล่าวไว้ว่าในท้ายที่สุดระหว่างท่านแม่กับฟางต้าเฉิงก็เหมือนก่อเกิดความเข้าใจผิดบางอย่างจนต้องแยกจากกัน

“มิต้องคิดมากหรอกเด็กน้อย บัดนี้จวินฮานก็ครองคู่กับเจ้าแล้ว แม่เองก็ปลาบปลื้มใจ เมื่อก่อนแม่ก็เคยได้รับการดูแลจากฮูหยินใหญ่อันมากมาย บัดนี้ก็หวังว่าจะช่วยเหลือเจ้าได้”

มู่เหล่าหวางเฟยเอ่ยออกมาด้วยความจริงใจทำให้อันหลิงเกอพยักหน้ารับ

“ขอบพระคุณหมู่เฟยเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอมองมู่เหล่าหวางเฟยด้วยความซาบซึ้งใจ

มู่เหล่าหวางเฟยดีต่อนางมาก นางจดจำไว้ขึ้นใจรวมถึงรับปากท่านแม่ รับปากซูโจวว่าต้องดูแลตัวเองให้ดี

นางจะสนับสนุนมู่จวินฮานและเดินร่วมทางไปกับเขาเพราะการสมรสระหว่างนางกับเขามิได้เกิดขึ้นเพราะมีพระราชโองการบังคับ ทว่าสมรสกันด้วยความรู้สึกรักใคร่อย่างแท้จริง

“หมู่เฟย เช่นนั้นลูกขอตัวลา ท่านอ๋องรอลูกอยู่เจ้าค่ะ”

อันหลิงเกอยกยิ้ม กิริยาเยี่ยงนี้ในสายตาของมู่เหล่าหวางเฟยช่างน่าเอ็นดูอย่างมาก หากอีกฝ่ายอยู่เคียงข้างจวินฮานตลอดไปก็คงดี

“เรียนอ๋องมู่ ฝ่าบาทเรียกเข้าเฝ้าขอรับ”

เดิมทีมู่จวินฮานอยากเข้าวังมาอย่างเงียบ ๆ เพื่อหลบเลี่ยงเรื่องของหอพิษกู่ แต่คาดมิถึงว่าฮ่องเต้ทรงเรียกเข้าเฝ้าเยี่ยงนี้

“ช้าก่อน”

อันหลิงเกอเดินออกมาพอดีจึงได้เห็นมู่จวินฮานกำลังเดินไป

“ข้าจักไปกับท่านอ๋องด้วย ทางในวังข้ามิค่อยคุ้นเคยและเชื่อว่าฝ่าบาทคงให้อภัยเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอยกยิ้มและเดินตามไป

เมื่อเห็นนางเป็นเยี่ยงนี้ ความอบอุ่นจึงปรากฏขึ้นในหัวใจของมู่จวินฮาน

“เชิญขอรับ” เดิมทีขันทีน้อมรับบัญชามาเชิญอ๋องมู่และพระชายาไปเข้าเฝ้าอยู่แล้ว เพียงแต่เมื่อครู่เห็นว่าอันหลิงเกอมิอยู่จึงเรียกอ๋องมู่ไปเข้าเฝ้าเพียงผู้เดียว

“ถวายพระพรฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

“ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”

มู่จวินฮานและอันหลิงเกอเดินตามกันเข้ามา ในสายพระเนตรของฮ่องเต้เต็มไปด้วยการพิจารณา

“ตอนไปเยือนจวนของเจ้าครั้งที่แล้วก็ได้ยินเรื่องของหอพิษกู่ มิรู้ว่าเป็นเยี่ยงไร…”

เมื่อฮ่องเต้ลองหยั่งเชิงเยี่ยงนี้ก็แสดงให้เห็นว่าพระองค์รับรู้เรื่องของหมิงซินและทรงรับรู้ว่าทั้งสองคนเข้าไปในหอพิษกู่แล้วออกมาโดยปลอดภัย

“ทูลฝ่าบาท ก่อนหน้านั้นเกิดเรื่องมิคาดฝันและกระหม่อมได้ปะทะกับหอพิษกู่ไปยกหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ” ได้ยินมู่จวินฮานกล่าวเยี่ยงนี้ ดวงเนตรก็เปล่งประกาย

“หืม ? ”

“เพียงแต่หลายวันมานี้หอพิษกู่มิได้เคลื่อนไหวอีก มิรู้ว่าเจียงอ๋องได้รับข่าวบ้างหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

มู่จวินฮานรีบโยนปัญหาให้จ้าวหลานหยู่อย่างรวดเร็ว ผู้ที่ประทับบนบัลลังก์มังกรแสดงสีพระพักตร์มิค่อยสบอารมณ์เท่าไรนักแต่ก็ถือว่าผ่านไปแล้ว

“ช่างเถิด วันนี้เจ้าทั้งสองเข้ามาเยี่ยมมู่เหล่าหวางเฟย เชื่อว่านางคงดีใจมิน้อย บัดนี้ท้องฟ้าก็มืดแล้ว พวกเจ้ากลับได้”

อันหลิงเกอและมู่จวินฮานล้วนเข้าใจความหมายของฝ่าบาท ทั้งสองคนเข้าวังมาและเรื่องทั้งหมดมิอาจรอดพ้นสายพระเนตรไปได้

“กระหม่อมขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”

มู่จวินฮานมิได้กังวลปัญหาที่เกี่ยวกับฮูหยินใหญ่จวนโหว เพราะแม้ฮ่องเต้อยากรู้ ด้านมู่เหล่าหวางเฟยมิมีทางพูดออกมาแน่นอน

“มู่จวินฮาน หากท่านเห็นข้าแตกต่างจากความเป็นจริงแล้วจักทำเยี่ยงไรเจ้าค่ะ ? ”

หลังขึ้นรถม้ากลับจวน อันหลิงเกอก็มองเขาเพราะบัดนี้นางกลัวมู่จวินฮานเข้าใจผิดเหลือเกิน