ตอนที่ 516 ท่านคิดเช่นไร
ขอเพียงเขามิเข้าใจนางผิดก็มิน่ามีปัญหาอันใด
“หากเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับหอพิษกู่ ทุกคนในใต้หล้าก็คงตำหนิเจ้าแน่ แต่มิว่าเยี่ยงไรเจ้าเป็นพระชายามู่แห่งราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น”
ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของมู่จวินฮานเข้าใจได้ง่ายว่าเขารักนางและให้อภัยนางได้ทุกเรื่อง ยิ่งไปกว่านั้นในใจของเขาก็มีนางเป็นพระชายามู่เท่านั้น มิได้เป็นใครอื่น
หากนางต้องตกเป็นของผู้ใดก็คงต้องเป็นของมู่จวินฮานเท่านั้น!
“จวินฮาน…”
อันหลิงเกอเรียกชื่อเขาจากนั้นก็อดขยับเข้าไปใกล้เขามิได้
แต่ทันใดนั้นรถม้าก็ส่ายไปมา
มู่จวินฮานรีบประคองตัวภรรยาเอาไว้ ส่วนอันหลิงเกอก็ตื่นตัวทันใด
“ผู้ใด ! ”
มู่จวินฮานตวาดเสียงดังลั่น เหตุใดภายในเมืองหลวงจึงเงียบสงบเยี่ยงนี้ ? และรถม้าที่ส่ายเมื่อครู่ต้องเป็นฝีมือของมนุษย์แน่นอน
ในเวลาต่อมาก็มิได้ยินเสียงตอบรับจากคนบังคับรถม้าและองครักษ์โดยรอบ
“ทิ้งเงินทองเอาไว้แล้วข้าจักไว้ชีวิตพวกเจ้า ! ”
เสียงหนึ่งดังมาจากนอกรถม้า ดูเหมือนเป็นเสียงของสตรีนางหนึ่ง
“เจ้าคือผู้ใด ? ”
อันหลิงเกอเปิดม่านออกก็ปรากฏภาพของเด็กสาวตัวเล็กมีผ้าคลุมหน้ายืนอยู่หน้ารถม้า บริเวณโดยรอบถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันพิษทำให้มองมิเห็นว่าเหล่าองครักษ์อยู่แห่งใด
“นามอันทรงเกียรติขององค์หญิง เจ้ามิสมควรถาม ! ”
เวลานี้มีอีกเสียงหนึ่งดังจากด้านหลังของทั้งสองคน ตามมาด้วยเสียงคมกระบี่ที่ฟาดฟันลงมาบนรถม้า
“ระวัง ! ” มู่จวินฮานรีบลากอันหลิงเกอหลบหลีกจากรถม้าที่พังทลาย
“อาชาตัวนี้มิเลวเลย แต่เจ้าทำลายตามอำเภอใจเสียได้”
สตรีทั้งสองคนตรงหน้าราวกับเป็นพี่สาวและน้องสาวกัน มิเพียงมีเสียงที่คล้ายคลึงกันแล้วรูปร่างหน้าตาและการแต่งตัวก็ยังเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วราวกับลอกเลียนกันมา
“หึ”
ผู้เป็น ‘น้องสาว’ ยิ้มเยาะด้วยน้ำเสียงเย็นชาและมิได้กล่าวอันใดอีก ดูเหมือนมิพอใจกับคำพูดเมื่อครู่ของพี่สาว
“หากเจ้าทั้งสองอยากขโมยรถม้าของข้า มิสู้…”
“อย่าเอ่ยให้มากความ จงนำเงินของพวกเจ้าออกมา ! ”
อันหลิงเกอยังมิทันกล่าวจบ ผู้เป็น ‘น้องสาว’ ก็ยื่นมือออกมาทำตัวเป็นอันธพาลขวางถนน
แต่เวลานี้อันหลิงเกอพบว่าภายใต้แขนเสื้อของผู้เป็นน้องสาวปรากฏแขนไม้ข้างหนึ่ง
ดูเหมือนมู่จวินฮานก็สังเกตเห็นเช่นเดียวกัน ทั้งสองคนต่างมองหน้ากัน รู้สึกว่าสองพี่น้องมิใช่คนธรรมดาและนิสัยก็แปลกมากด้วย ดูเหมือนปล้นคนเพื่อหาเลี้ยงชีพและกำลังเล่นสนุกอย่างไรอย่างนั้น
“เราให้เจ้าก็ได้ เพียงแต่…”
เสียงของอันหลิงเกอยังมิทันสิ้นสุด นางก็เคลื่อนตัวเข้าไปตรงผ้าคลุมผู้เป็นน้องสาวอย่างว่องไว
ผู้เป็นน้องสาวยังมิทันตั้งตัว แต่ดูเหมือนผู้เป็นพี่สาวร้อนใจมากจึงคิดพุ่งตัวเข้ามาสั่งสอนอันหลิงเกอ
แต่ในตอนที่อันหลิงเกอเข้าใกล้น้องสาวผู้นั้นกลับเห็นเส้นไหมสีเงินเส้นหนึ่ง นี่…
เวลานี้แววตาของนางกำลังจับจ้องไปยังน้องสาวและก็ตกใจจนเหงื่อไหล
ภายใต้ผ้าคลุมผืนนั้นไหนเลยจักเป็นคนที่มีชีวิตเพราะเห็นได้ชัดว่าเป็นหุ่นเชิด !
แล้วเสียงเมื่อครู่มาจากที่แห่งใดกันแน่ ?
“ไอหยา เจ้าไร้มารยาทสิ้นดี ! ”
ดูเหมือน ‘น้องสาว’ ยื่นมือออกมาผลักอันหลิงเกอส่งผลให้นางต้องถอยกลับไปยังข้างกายของมู่จวินฮานแล้วบอกเรื่องที่เห็นเมื่อครู่ให้เขาฟัง
“ที่แท้ก็เป็นองค์หญิงหลิวลี่แห่งแคว้นชิงเยว่ ขออภัยที่เสียมารยาท”
มู่จวินฮานได้ฟังที่อันหลิงเกอบอกเล่าก็รู้ทันทีว่าคนผู้นี้คือใคร เขาจึงรีบดึงตัวอันหลิงเกอกลับมา จากนั้นก็มองไปยังสตรีตรงหน้าและมิได้ลงมือโจมตี พอสตรีผู้นั้นเห็นว่ามู่จวินฮานจดจำตนได้ก็ดูเหมือนภาคภูมิใจจึงมิได้สร้างความลำบากใจให้พวกเขาอีก
เวลานี้ ‘น้องสาว’ ถอยร่นไปด้านหลังของทัวป๋าหลิวลี่ ด้านอันหลิงเกอคาดมิถึงว่าองค์หญิงของแคว้นชิงเยว่จักตกมาอยู่ในสถานะโจรปล้นเยี่ยงนี้
หรือนี่…คือวิธีการข่มขู่ผู้อื่น ?
มู่จวินฮานมองไปทางอันหลิงเกอพร้อมส่ายหน้า ดูเหมือนเป็นการบอกนางว่าประเดี๋ยวเขาค่อยอธิบายให้นางฟัง
“จำสถานะของข้าได้ มิทราบว่าพวกท่านคือผู้ใด ? ”
ทัวป๋าหลิวลี่กล่าวพร้อมมองพิจารณามู่จวินฮานรอบหนึ่งคล้ายกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
“ท่านคืออ๋องมู่หรือ ? ”
แววตาของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิรู้ว่าเพราะมู่จวินฮานจำได้หรือเพราะนางรู้จักมู่จวินฮานเอง
“ถูกต้อง”
มู่จวินฮานพยักหน้ารับและมิคิดเข้าไปพัวพันกับนางอีกซึ่งในเวลานี้หมอกควันสลายไปสิ้นและพบว่าทั้งสองคนถูกพามายังชานเมือง
แต่ในเมื่อรู้สถานะกันและกันจึงมิจำเป็นต้องสร้างความลำบากใจให้กันอีก
“ช้าก่อน” ทัวป๋าหลิวลี่รั้งมู่จวินฮานไว้เมื่อเห็นว่าเขาและอันหลิงเกอกำลังจากไป
“หืม ? ” มู่จวินฮานหันกลับมา
“เหตุใดท่านจำข้าได้ ? ท่านมิน่าเคยเจอข้ามาก่อน”
ทัวป๋าหลิวลี่เอ่ยถามและมองมู่จวินฮานด้วยสีหน้าสงสัย แต่คำถามช่างบังเอิญไปตรงกับคำถามที่อันหลิงเกออยากรู้พอดีจึงเงยหน้ามองมู่จวินฮานในเวลาเดียวกัน
“องค์หญิงมีชื่อเสียงเลื่องลือ ในต้าโจวก็ได้ยินมาหนาหูมิน้อย”
ทัวป๋าหลิวลี่แสดงท่าทางหวนระลึก ยังมิทันรอให้นางคิดได้ มู่จวินฮานก็ดึงมือของอันหลิงเกอแล้วพาเดินออกไปจนลับสายตาของทัวป๋าหลิวลี่ทันที
“หุ่นเชิดตัวนั้นเป็นมาอย่างไรเจ้าคะ ? ”
เมื่อได้ยินคำถามของอันหลิงเกอ นัยน์ตาของมู่จวินฮานก็ฉายแววชื่นชมที่นางมองออกว่าเป็นหุ่นเชิด
“ความจริงแล้วแคว้นชิงเยว่เชี่ยวชาญด้านวิชามาร ทัวป๋าหลิวลี่ผู้นี้คือเชื้อพระวงศ์และนางเติบใหญ่มาพร้อมหุ่นเชิดที่มีลักษณะคล้ายนางตัวหนึ่ง”
เมื่อได้ยินเยี่ยงนี้อันหลิงเกอก็อดรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมามิได้ นางอยู่ลำพังมาตั้งแต่เด็กกลับมิได้รู้สึกอันใด แต่ทัวป๋าหลิวลี่ที่ถือกำเนิดในวังกลับกลัวความโดดเดี่ยวจึงได้สร้างพี่น้องของตนขึ้น
“เชื้อพระวงศ์ในแคว้นชิงเยว่มีนางผู้เดียวที่เติบโตอยู่ในวังหลังหรือเจ้าคะ?”
เพราะอันหลิงเกอคิดได้ว่าทัวป๋าถิงฟางนั้นเติบโตนอกวังหลวง หากต้องโดดเดี่ยวเยี่ยงนี้เหตุใดจึงมิเป็นสหายกับพี่น้องของตน?
“ในบรรดาเชื้อพระวงศ์ทั้งหมดเหลือนางผู้เดียว”
มู่จวินฮานพูดมากกว่านี้มิได้เนื่องจากต้องหาสถานที่สำหรับเล่าเรื่องเพราะช่างซับซ้อนยิ่งนัก มันเกี่ยวกับฮองเฮาของแคว้นชิงเยว่ที่มีนิสัยขี้อิจฉา เห็นสตรีอื่นเป็นมิได้แม้กระทั่งทายาทของตน
ซึ่งฮ่องเต้แห่งแคว้นชิงเยว่เกรงกลัวฮองเฮามากจึงมีเพียงทัวป๋าหลิวลี่เหลือรอด
“ช่างเถิด แต่องค์หญิงหลิวลี่เสด็จมาต้าโจวด้วยเรื่องอันใดเจ้าคะ?
อันหลิงเกอถามออกไปซึ่งก็เป็นความสงสัยของมู่จวินฮานเช่นกัน เขามิรู้ว่าทัวป๋าหลิวลี่มาเพื่ออันใดและมีความเกี่ยวข้องกับต้าโจวอย่างไร
“เรื่องนี้ข้าเองก็มิทราบ”
“ช่างเถิด หากเป็นเรื่องใหญ่ท่านย่อมรู้แล้ว หากเป็นเรื่องเล็กบางทีอาจมิเกี่ยวข้องกับเราก็ได้เจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอกล่าวจบก็ยักไหล่แสดงความมิสนใจอีก ท่าทางของนางทำให้มู่จวินฮานชื่นชมอย่างมาก นางเป็นเยี่ยงนี้เสมอ หากมิใช่เรื่องของตนก็มิเก็บมาคิดให้วุ่นวาย
นางในมุมนี้ช่างแตกต่างจากสตรีทั่วไปจริง ๆ
“เอาล่ะ กลับจวนกันเถิด เกิดเรื่องโกลาหลเยี่ยงนี้เจ้าคงเหนื่อยแล้ว”
อันหลิงเกอโบกมือไปมา จากนั้นก็มองมู่จวินฮานที่จูงม้าอยู่ด้านข้าง แม้รถม้าพังไปแล้วยังโชคดีที่ม้ามิได้หนีไปไหนและอย่างน้อยก็สามารถควบกลับจวนได้
“ข้ามีสถานที่หนึ่งเหมาะจักไปในเวลานี้”