ตอนที่ 517 องค์หญิงหลิวลี่

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 517 องค์หญิงหลิวลี่

เมื่อกล่าวจบมู่จวินฮานก็ยิ้มจริงใจออกมา จากนั้นเขาก็ปลดเชือกจูงม้าตัวหนึ่งแล้วตบไปที่ด้านหลังของม้าเบา ๆ และเฝ้ามองมันวิ่งหายลับไปท่ามกลางฝุ่นตลบ

“ขึ้นมาสิ” จากนั้นเขากระโดดขึ้นบนหลังอาชาตัวที่เหลือแล้วยื่นมือไปทางอันหลิงเกอ

เดิมทีอันหลิงเกอตั้งใจควบม้าตัวเมื่อครู่ แต่เมื่อเห็นมู่จวินฮานไล่มันไปแล้วยื่นมือให้นางขึ้นนั่งบนตัวเดียวกับเขา นางจึงยื่นมือออกไปจับและกระโดดขึ้นไปนั่งอยู่ด้านหน้าของเขา

เวลานี้นางสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่ทั้งอบอุ่นและมีกลิ่นเฉพาะของเขา กลิ่นสดชื่นเยี่ยงนี้มีแค่บนตัวของเขาผู้เดียวเท่านั้น

“เราจักไปที่ใดกันหรือเจ้าคะ ? ” ดูเหมือนทุกครั้งที่ถามคำถามนี้กับมู่จวินฮานก็ล้วนมิได้คำตอบ

“พอถึงแล้วเจ้าก็รู้เอง” คำตอบเยี่ยงนี้มักแฝงไปด้วยความลึกลับเสมอ

“ถึงแล้ว” หลังจากนั้นมินานอันหลิงเกอก็ได้ยินเขาเอ่ยและคาดมิถึงว่าสถานที่ที่มู่จวินฮานพานางมาจักเป็นร้านค้าขนาดเล็กแห่งหนึ่ง

ไก่อบน่ะหรือ ?

นางเงยหน้ามองมู่จวินฮาน คาดมิถึงว่าเขาจะพานางมาที่นี่

“นี่…”

“เป็นอันใดไป รังเกียจของมันเยิ้มหรือ ? ”

มู่จวินฮานคิดว่านางมิอยากทานของมันเยิ้ม เพียงแต่ที่นี่บรรยากาศดีและเขาก็มีเหตุผลอยู่ในใจด้วย

เนื่องจากในอดีตเขามิชอบเปิดเผยตัวตน แต่ก็มักชอบมาลิ้มลองอาหารในร้านธรรมดาแห่งนี้

ตอนนี้เขาพานางมาก็เพื่อให้นางได้ลิ้มลอง เห็นนางมิชอบ ในใจของมู่จวินฮานก็รู้สึกผิดหวัง

“มิใช่เจ้าค่ะ เพียงแต่คิดว่าท่านชอบอาหารรสจืดเสียอีก” อันหลิงเกอกล่าวจบก็นั่งลงอย่างเป็นธรรมชาติ ปกตินางมิค่อยให้ความสำคัญเรื่องอาหารเท่าไรนัก

“เถ้าแก่เนี้ย ขอไก่อบ 1 ตัว”

“หนึ่งตัวหรือเจ้าคะ ? ”

อันหลิงเกอเงยหน้ามองเขา

“หรือ 2 ตัว ? ”

มู่จวินฮานลองถามหยั่งเชิง อันหลิงเกอพยักหน้าเล็กน้อยจากนั้นก็มองไปทางเถ้าแก่เนี้ยด้วยความพอใจ

“ไอหยา ฮูหยินทานอาหารได้เยี่ยงนี้ ชีวิตย่อมมีความสุขแล้วเจ้าค่ะ” เถ้าแก่เนี้ยกล่าวเยี่ยงนี้ อันหลิงเกอก็หลุดหัวเราะออกมา

รอยยิ้มของอันหลิงเกอดูธรรมชาติมาก แฝงไปด้วยความสบายใจ มู่จวินฮานจึงรู้สึกมีความสุขตามไปด้วย

“มาแล้วเจ้าค่ะ”

ทั้งสองคนมองหน้ากันชั่วครู่ เถ้าแก่เนี้ยก็ยกไก่อบมาวางตรงหน้า

อันหลิงเกอมิเคยทานอาหารเยี่ยงนี้มาก่อน วิธีทานแบบนี้ก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก

“ขอชาอีกหนึ่งกา” มู่จวินฮานคีบเนื้อใส่จานของอันหลิงเกอ มิได้มีส่วนไหนไร้มารยาท

“จวินฮาน วันนี้ท่านแตกต่างจากที่ข้าคิดไว้มากเจ้าค่ะ” ตอนนี้ดูเหมือนมู่จวินฮานเป็นกันเองกับนาง มิได้แสดงท่าทีของท่านอ๋องต่อหน้า

แท้จริงแล้วอันหลิงเกอก็มองออกว่ามู่จวินฮานมิได้เต็มใจแสดงท่าทีเยี่ยงนั้นต่อนาง

เพียงแต่ที่ผ่านมาเขาต้องแบกสถานะและความกดดันมาโดยตลอด

“จริงหรือ ? ”

มู่จวินฮานมิเห็นด้วยกับคำพูดของนาง หากนางนึกถึงเขาในทางที่ดีก็ดีไป แต่ถ้านางคิดมิดี เขาก็ทำอันใดมิได้นอกจากต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อนางต่อไป

“เมื่อก่อนข้าคิดว่าท่านเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ถูกสร้างให้อยู่แต่ในกรอบ ตอนนี้ดูเหมือน…ท่านแตกต่างจากที่ข้าคิดหลายด้านเลยทีเดียวเจ้าค่ะ”

อันหลิงเกอคลี่ยิ้มและเล่าความประทับใจแรกที่มีต่อมู่จวินฮานโดยมิปิดบัง

“หืม ? ” มู่จวินฮานยกยิ้ม เห็นอันหลิงเกอทานอย่างเอร็ดอร่อยแล้วใบหน้าของเขาจึงแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มพึงใจ

“ไก่อบของที่นี่รสชาติมิเลวเลยเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอเอ่ยชมอย่างจริงใจ

“ดีที่เจ้าชอบ ความจริงยังมีอีกหลายรสชาติ หากเจ้าชอบข้าพามาทานรสชาติที่แตกต่างกันทุกวันก็ได้” เมื่อได้ยินมู่จวินฮานกล่าวเยี่ยงนี้ อันหลิงเกอก็ตกตะลึงทันที

“จวินฮาน ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าเวลานี้ฮ่องเต้อาจทราบสถานะของข้าแล้ว ทรงรู้ว่าข้ามีความเกี่ยวข้องกับหอพิษกู่ หาก…”

“ไม่มีคำว่าหาก ข้าเคยบอกแล้วว่าเจ้าคือพระชายามู่และเป็นชายาของข้าเท่านั้น”

“แต่…”

อันหลิงเกอยังคิดกล่าวอันใดบางอย่างแต่ถูกมู่จวินฮานยัดน่องไก่ใส่ปากโดยมิทันตั้งตัว

“ทานเสร็จแล้วก็กลับจวน” มู่จวินฮานยกยิ้มและเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ

“เอ่อ…เยี่ยงนั้นข้าเอาไปฝากปี้จูกับหมิงซินด้วยแล้วกันเจ้าค่ะ”

มิรู้ว่าเพราะเหตุใดเวลาที่อันหลิงเกอเดินตามมู่จวินฮานก็มักรู้สึกเหมือนเป็นเด็กสาวเสมอ มักย้อนกลับไปช่วงที่สามารถไว้ใจผู้อื่นได้

“มู่จวินฮาน”

“หืม ? ”

มู่จวินฮานที่เดินอยู่ด้านหน้าจึงหยุดและหันมามอง อันหลิงเกอจึงชนเข้ากับแผงอกของเขาอย่างจัง

“เรียกข้าหรือ ? ”

“ไม่มี…”

ท่าทางเขินอายของอันหลิงเกอมองแล้วก็น่ารักมิน้อย มู่จวินฮานจึงอดบีบจมูกของนางเบา ๆ มิได้ กระทั่งโน้มตัวไปอุ้มนางขึ้นมา

อันหลิงเกอถูกเขา ‘จู่โจม’ อย่างฉับพลัน นางกำลังคิดป้องกันตัวแต่เมื่อนึกได้ว่าคนผู้นี้คือสามีจึงได้ปล่อยวาง

นางมิได้กล่าวอันใด มู่จวินฮานจึงพลิกตัวมานั่งบนหลังม้าตรงด้านหลังของนางแล้วกักตัวนางไว้ในอ้อมกอด

ทำให้ตอนนี้ใบหน้าของอันหลิงเกอร้อนผ่าว สีหน้าแดงก่ำโดยที่ตนก็มองมิเห็น

“ถึงแล้ว”

มินานก็มาถึงหน้าจวนอ๋องมู่ ดูเหมือนอันหลิงเกอรู้สึกว่ามันเร็วมาก จากนั้นก็กระโดดลงจากหลังม้า

“ระวังหน่อยสิ”

มู่จวินฮานรีบประคองตัวนางไว้แล้วส่งม้าให้องครักษ์ที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นเดินเข้าในจวนพร้อมนาง

“คารวะพระชายา ท่านอ๋องเจ้าค่ะ”

พอปี้จูเห็นทั้งสองคนกลับมาพร้อมกันก็ดีใจมาก จากนั้นนางก็รับไก่อบที่อันหลิงเกอยื่นให้พลางมองเจ้านายพร้อมรอยยิ้ม

“ท่านอ๋องกับพระชายารักใคร่กันเยี่ยงนี้ ช่างดีจริง ๆ เจ้าค่ะ”

เมื่อเห็นปี้จูยิ้มเยี่ยงคนโง่เขลา ชิงเฟิงที่อยู่ด้านข้างก็มองนางด้วยรอยยิ้มมีความสุขเช่นกัน

“จริงสิ ท่านอ๋องขอรับ ฮ่องเต้รับสั่งให้คนนำของสิ่งนี้มามอบแก่ท่านขอรับ” ชิงเฟิงนำแผ่นหนังแกะยื่นให้มู่จวินฮาน หลังจากที่มู่จวินฮานเห็นแล้วแววตาก็เปลี่ยนไปทันที

“หมายความว่าอย่างไรขอรับ ? ” ชิงเฟิงถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“เกิดอันใดขึ้นหรือเจ้าคะ ? ” อันหลิงเกอให้ปี้จูออกไปแล้วก็เดินมาตรงหน้าของพวกเขา

ชิงเฟิงมองไปทางอันหลิงเกอด้วยความลำบากใจ ครั้นเห็นมู่จวินฮานพยักหน้าจึงบอกนาง

“สิ่งที่ฮ่องเต้ส่งมาก็คือช่วงเวลาตกฟากของพระชายาขอรับ”

เวลาตกฟาก ! ฮ่องเต้กำลังเตือนนางใช่หรือไม่ ?

“ท่านคิดว่าเยี่ยงไรเจ้าคะ ? ”

นางถามพร้อมเงยหน้ามองมู่จวินฮานเพื่อมอบการตัดสินใจให้เขาแสดงให้เห็นว่านางเชื่อมั่นในตัวเขา

“มิใช่เหล่าหวางเฟย”

เขามิได้ปกป้อง เพียงแต่รู้แก่ใจดีว่าเหล่าหวางเฟยมิมีทางทูลฮ่องเต้เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกี่ยวกับอันหลิงเกอแน่นอน

สำหรับมู่เหล่าหวางเฟยแล้ว มู่จวินฮานคือความหวังเดียวของนาง ทั้งบัดนี้อันหลิงเกอคอยติดตามมู่จวินฮานอยู่ตลอด นางมิมีทางทรยศบุตรชายเป็นแน่

“หากฮ่องเต้ทราบเรื่องราวของข้า หากข้าเกี่ยวข้องกับหอพิษกู่จริง เวลานี้ข้าอาจ…”

ต้องออกจากจวนอ๋องมู่

คำพูดของอันหลิงเกอยังมิทันสิ้นสุดก็ถูกสายตาของมู่จวินฮานห้ามปรามไว้ เขามองนางด้วยความมิพอใจต่อความคิดไร้สาระ

บัดนี้อันหลิงเกอพูดมิออก มู่จวินฮานย่อมอ่านความคิดของนางได้

“เจ้าเป็นพระชายามู่แล้วก็เป็นนายหญิงของจวนอ๋องมู่ เจ้าคิดไปที่ใดอีกหรือ ? ”

เมื่อเห็นท่านอ๋องและพระชายาสนทนาอย่างสนิทสนมเยี่ยงนี้ ชิงเฟิงจึงถอยหลังไปหนึ่งก้าวเพื่อเว้นระยะห่างเล็กน้อย

“หากจวนอ๋องต้องเกิดปัญหาเพราะข้า ท่านจะทำเยี่ยงไรเจ้าคะ ? ” อันหลิงเกอมิได้หลบเลี่ยง ทว่าจ้องไปยังดวงตาของเขาโดยตรง

นางยอมจากไปเองแต่มิอาจทนเห็นผู้อื่นต้องลำบาก

“เขาจักไม่ทำร้ายเจ้า” ผ่านไปเนิ่นนานมู่จวินฮานก็ทอดถอนใจพลางเอ่ยออกมา