ตอนที่ 518 หยั่งเชิง
อันหลิงเกอเคยได้ยินน้ำเสียงเยี่ยงนี้จากคนหมู่มาก ดูเหมือนว่าพวกเขาล้วนเข้าใจสถานะของนางยิ่งกว่าตัวนางเองเสียอีก
“จวินฮาน ท่านรู้เกี่ยวกับข้ามากเพียงใดเจ้าคะ ? ” อันหลิงเกอมองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง เพราะตอนนี้เรื่องที่อยากรู้มากสุดก็คือสถานะที่เกี่ยวข้องกับตน
“ข้ารู้แค่เจ้าและหอพิษกู่มิได้มีความเกี่ยวข้องกัน”
เมื่อกล่าวจบมู่จวินฮานก็ใช้สายตาเช่นเดียวกันมองนาง ในแววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความปลอบโยน
เขามิอยากให้นางกังวลเพราะสถานะของนาง ซึ่งเขารู้ว่านางและหอพิษกู่ไร้ความเกี่ยวข้องกัน
และเขารู้ว่าคำพูดของเหล่าหวางเฟยมีบางอย่างแอบแฝง แม้เป็นหมู่เฟยของตน ทว่าตัวเขาคงทนเห็นนางทำร้ายอันหลิงเกอโดยไร้เหตุผลมิได้
การที่หมู่เฟยอยากลองหยั่งเชิงอันหลิงเกอ เรื่องนี้เขามองออกนานแล้ว แต่ถ้าการหยั่งเชิงนี้เป็นการทำร้ายภรรยา เขาก็คงมิยอม
“แต่หมู่เฟย…”
ยังมิทันที่อันหลิงเกอได้กล่าวจบ เขาก็มีปฏิกิริยาตอบสนองทันที เวลานี้ในใจของนางเกิดความสับสนมากเพราะมิรู้ว่ามู่เหล่าหวางเฟยอยากทำร้ายนางหรือไม่
“เกอเอ๋อ เจ้าอย่ากังวลไปเลยเพราะฮ่องเต้ทรงรู้เรื่องนี้ชัดเจนกว่าผู้ใดว่าเจ้ามิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับหอพิษกู่”
เนื่องจากเขารู้ว่าเหตุใดพระองค์ถึงส่งสิ่งนี้มา เพราะฮ่องเต้เห็นอันหลิงเกอต้องการความจริงจากมู่เหล่าหวางเฟยจึงประสงค์ใช้ความจริงพันธนาการพวกนางเอาไว้ และใช้อันหลิงเกอสร้างประโยชน์แก่พระองค์เอง
ด้วยเหตุนี้มู่จวินฮานจึงจำเป็นต้องกล่าวให้เข้าใจว่าในบรรดาเชื้อพระวงศ์มิมีผู้ใดบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
“หึ มิรู้ว่าข้ามีดีอันใดจึงมีประโยชน์ต่อผู้สูงศักดิ์มากมายเหล่านั้น”
อันหลิงเกอกล่าวพร้อมยิ้มอย่างขมขื่น ดูเหมือนความจริงเกี่ยวกับมารดาอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่นางมิมีทางหาเจออย่างแท้จริง
“เกอเอ๋อ” มู่จวินฮานจับไหล่ของนาง จากนั้นก็มองเข้าในดวงตาทั้งสองข้างของนางอย่างจริงจัง
“จวินฮาน ข้า…”
อันหลิงเกอในเวลานี้เหมือนทำอันใดมิถูก แม้ตลอดเวลาที่ผ่านมานางมักแสดงความแข็งแกร่งและมิย่อท้อออกมา
แต่อันหลิงเกอรู้แก่ใจดีเมื่อเอ่ยถึงมารดาและเอ่ยถึงสถานะเบื้องหลังตนว่านี่คือความหวาดกลัวในส่วนลึกภายในจิตใจของนาง
ทุกคนล้วนกลัวเรื่องที่ตนมิรู้ แต่การมิรู้สำหรับอันหลิงเกอก็บ่งชี้ถึงสถานะของนาง หากกล่าวว่านางหวาดกลัวตนเองก็คงเป็นเรื่องน่าเศร้ามากทีเดียว
อันหลิงเกอสงสัยเสมอว่าการดำรงอยู่ของคนเยี่ยงนางมีความหมายอันใด กระนั้นก็ทำให้ผู้คนหวาดกลัวอยู่ดีมิใช่หรือ ?
นางมิรู้สถานะของตน มิรู้ความหมายของชีวิต มิรู้ความสัมพันธ์และเบื้องหลังที่ทรงอำนาจเหล่านั้น ราวกับตนถูกกลืนกินตลอดเวลา
“ฝ่าบาทมีรับสั่งให้พระชายาเข้าวังพรุ่งนี้ขอรับ” ชิงเฟิงกล่าวขึ้นมาอีกครั้งเพราะเมื่อครู่เขาลืมบอกเรื่องนี้
“อืม” อันหลิงเกอพยักหน้า นางมิมีอันใดต้องกลัวเพราะนางรู้เพียงว่าหากซูโจวพูดความจริง ก็…
“ข้าจักไปเป็นเพื่อนเจ้า” มู่จวินฮานกล่าวประโยคนี้ออกมา แต่อันหลิงเกอส่ายหน้า เห็นทีเรื่องนี้นางต้องไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพียงลำพัง
“ท่านมิต้องกังวลหรอก” อันหลิงเกอส่งยิ้มให้มู่จวินฮานเพราะนางมั่นใจมาก
ขอเพียงนางยังเป็นอันหลิงเกอ ฮ่องเต้ก็มิมีวันทำอันใดนางได้ !
อย่างน้อยนางก็เป็นบุตรีของฮูหยินใหญ่แห่งจวนโหวและเป็นพระชายาของจวนอ๋องมู่ บัดนี้มิมีผู้ใดสามารถแตะต้องนางโดยไร้เหตุผลได้
“พรุ่งนี้…”
ชิงเฟิงรุดขึ้นหน้า เขารู้ว่าท่านอ๋องเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของพระชายามาก แต่หากมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น ท่านอ๋องก็มิอาจปกป้องอันหลิงเกอเพราะสถานะเชื้อพระวงศ์ที่โดนฮ่องเต้เพ่งเล็ง
ตรงกันข้ามสถานะอันหลิงเกอค่อนข้างพิเศษมาก คิดแล้วฮ่องเต้มิมีทางทำร้ายนางอย่างแน่นอน
“ระวังตัวด้วย” มู่จวินฮานมิได้กล่าวให้มากความนัก
“เจ้าค่ะ”
ดูเหมือนทั้งสองคนมีความเข้าใจกันโดยมิต้องกล่าว รู้จักกันมาหลายปี ไปมาหาสู่กันมิน้อย คำตอบทั้งหมดล้วนสะท้อนออกมาทางดวงตาของอีกฝ่าย
เพียงแค่สองวันอันหลิงเกอก็เข้าวังมาแล้วสามครั้ง
“ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ” ครั้นเห็นฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนบังลังก์ รวมทั้งห้องโถงใหญ่ไร้ผู้คน อันหลิงเกอคาดมิถึงจริง ๆ เพราะเดิมทีคิดว่าฮ่องเต้ทรงระแวดระวังมากกว่านี้และน่าจะเตรียมการป้องกันไว้ทั่วทุกมุมตำหนักเป็นแน่
คาดมิถึงว่าต่อหน้านาง ฮ่องเต้ยังมิได้เตรียมการป้องกันเลยสักนิด ช่างพระทัยกว้างเสียจริง
แม้ฝีมือของอันหลิงเกอเทียบหอพิษกู่มิได้ แต่การอยู่ในสถานที่ไร้ผู้คนเยี่ยงนี้คงทำร้ายคนผู้เดียวได้อย่างง่ายดาย
“ลุกขึ้นเถิด” ฮ่องเต้มิได้ให้ความสนิทสนมมากนักและมิได้เหินห่างกับนางเช่นเมื่อก่อน ตรงกันข้ามกลับแสดงท่าทีเป็นธรรมชาติและผ่อนคลายต่ออันหลิงเกอ
“สำหรับเรื่องของมารดาเจ้านั้น มู่เหล่าหวางเฟยมิได้เอ่ยมากความใช่หรือไม่ ? ” ฮ่องเต้ตรัสและท่าทีที่ยิ้มก็มิยิ้มทำให้อันหลิงเกอรู้สึกมิสบายใจทว่ายังส่ายหน้า
มิว่ามู่เหล่าหวางเฟยคิดเยี่ยงไรต่อนาง นางจักมิมีทางทรยศมู่เหล่าหวางเฟยแน่นอน
“ในเมื่อเจ้ามิยอมบอกก็มิเป็นไร เชื่อว่ามู่เหล่าหวางเฟยคงอธิบายแก่เจ้าไปแล้ว”
คาดมิถึงว่าฮ่องเต้ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในการอ่านจิตใจคนเช่นกัน เวลานี้อันหลิงเกอมิรู้ว่าต้องตอบสนองเยี่ยงไร นางมิกล่าวอันใดและได้แต่ยืนอยู่ที่เดิมเงียบ ๆ
“เกี่ยวกับมารดาของเจ้า…”
อันหลิงเกอแทบอดใจรอมิไหวแต่ก็ยังอดกลั้นเอาไว้ มิได้รีบถามแต่อย่างใด
เมื่อเห็นอันหลิงเกอเป็นเยี่ยงนี้ นัยน์ดวงเนตรของฮ่องเต้ก็ฉายแววชื่นชม
“หากเจ้าอยากรู้…”
“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันได้รับการเลี้ยงดูโดยผู้เป็นมารดาเพียงลำพัง ส่วนบิดาผู้ให้กำเนิดคือผู้ใด ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่นั้น หม่อมฉันมิได้เก็บมาใส่ใจเพคะ ”
อันหลิงเกอรู้ว่าหากคิดขัดขวางมิให้ผู้อื่นใช้ประโยชน์จากตน สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ ปฏิเสธเจตนารมณ์ทุกอย่างที่เขามี
นางมองออกว่าปีนี้ฮ่องเต้มีพระชนมายุค่อนข้างมากแล้วจำเป็นต้องมีผู้ส่งเสริม แต่คนผู้นั้นกลับมิใช่มู่จวินฮานและจ้าวหลานหยู่
ความคิดของฮ่องเต้คือให้อวี๋หมิงหลันเป็นสายลับอยู่ข้างกายจ้าวหลานหยู่ ตอนนี้ฮ่องเต้จึงคาดหวังให้นางอยู่ข้างกายของอ๋องมู่เพื่อเป็นสายลับให้พระองค์กระมัง
เพราะมิมีผู้ใดอันตรายไปกว่าคนข้างกายอีกแล้ว ดูเหมือนฮ่องเต้กังวลเรื่องการยึดบัลลังก์เป็นแน่
ใช่แล้ว มิว่าจักรพรรดิพระองค์ใด เมื่อมีพระชนมายุที่มากขึ้นย่อมกังวลเรื่องนี้ทั้งสิ้น
พระองค์ประสงค์ให้สายเลือดช่วยหนุนนำบัลลังก์อย่างแข็งแกร่ง แต่ก็ยังหวังว่าตำแหน่งฮ่องเต้ของราชวงศ์นี้จักเป็นตนตลอดไป
“หืม ? ” มิรู้ว่าฮ่องเต้มองนางเยี่ยงไร แต่ในเวลานี้ทรงส่งเสียง หึ ออกมาแล้วยกยิ้มที่มุมพระโอษฐ์
“อันหลิงเกอ ความสัมพันธ์ในวังหลวงซับซ้อนกว่าที่เจ้าคิดไว้ เด็กน้อยเอ๋ย หากเจ้าเชื่อใจอ๋องมู่ก็จงทำต่อไปเถิด” ฮ่องเต้ตรัสด้วยความจริงจังทำให้อันหลิงเกอตื่นตกใจมิน้อย
นางนึกว่าฮ่องเต้คิดใช้ประโยชน์จากตน แต่จนถึงตอนนี้สิ่งที่ฮ่องเต้ตรัสกับนางมีแค่มิกี่ประโยค ทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายขึ้นบ้าง
“ฝ่าบาททรงทราบหรือไม่ว่าบิดาของเกอเอ๋อคือผู้ใดเพคะ ? ” ในที่สุดนางก็ถามออกมา ฝ่ายฮ่องเต้มิได้ตรัสในทำนองใช้ประโยชน์จากนางเพราะแค่โบกพระหัตถ์ไปมาเท่านั้น
“กลับไปเถิด วันนี้ข้ามิอยากพูดแล้ว” มิใช่ว่ามิยอมบอกอันหลิงเกอ เพียงแต่ตอนนี้พระองค์ตรัสมิออกต่างหาก
อันหลิงเกอเดินออกมาอย่างหมดหวังและชนกับนางกำนัลโดยมิได้ตั้งตัว
“พระชายา ขอประทานอภัยเจ้าค่ะ” นางกำนัลคุกเข่าลงกับพื้น แม้โขกศีรษะกับพื้นแล้วอันหลิงเกอก็ยังสัมผัสได้ว่านางหวาดกลัวมากเพียงใด