ตอนที่ 519 เชื่อมสัมพันธ์อีกแล้ว
“มิเป็นไร ลุกขึ้นเถิด”
“เจ้าค่ะ”
นางกำนัลลุกขึ้นยืนแต่มิทันระวังจึงทำผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งร่วงหล่นซึ่งเป็นผ้าเช็ดหน้าที่เปื้อนไปด้วยโลหิต
นางรีบคุกเข่าลงไปอีกครั้งแล้วเก็บผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาอย่างร้อนใจพร้อมเตรียมเดินจากไป
“ช้าก่อน นั่นคือผ้าเช็ดหน้าของผู้ใด ? ” ครั้นอันหลิงเกอเห็นใบหน้าที่ผิดปกติของอีกฝ่าย ก็ดูเหมือนคุ้นเคยมากทีเดียว หรือเป็นคนของมู่เหล่าหวางเฟย ?
เมื่อนึกถึงมู่เหล่าหวางเฟยแล้ว ในใจของอันหลิงเกอก็มิอาจเมินเฉยได้ เพราะนั่นคือหมู่เฟยของมู่จวินฮาน
“มู่เหล่าหวางเฟย คือเหล่าหวางเฟย…”
นางกำนัลผู้นั้นพูดมิออกและทำได้แค่มองอันหลิงเกอ จากนั้นรีบวิ่งหนีไปอย่างร้อนรน
“เรียนมู่เหล่าหวางเฟย พระชายามู่มาเยี่ยมเจ้าค่ะ” ดูเหมือนการมาของอันหลิงเกอในครั้งนี้ มู่เหล่าหวางเฟยที่นอนอยู่บนเตียงคาดการณ์ไว้แล้วจึงมิได้แสดงสีหน้าประหลาดใจแต่อย่างใด ก่อนส่งสัญญาณให้นางกำนัลทั้งหมดออกไป
“คารวะหมู่เฟยเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอเห็นไฟในห้องที่ลุกโชนจนทำให้อากาศภายในร้อนมากแม้อากาศด้านนอกเหน็บหนาว มิรู้ว่าร่างกายของคนที่นอนอยู่บนเตียงอ่อนแอมากหรือไม่จึงได้ใช้วิธีนี้
“เจ้ามาแล้ว” เป็นอย่างที่คาดไว้จริงคือน้ำเสียงของมู่เหล่าหวางเฟยอ่อนแอมาก ทั้งยังมีคราบเลือดบนเตียงอีกด้วย
“ร่างกายของหมู่เฟยมิค่อยสู้ดีหรือเจ้าคะ ? ”
อันหลิงเกอจึงก้าวไปข้างหน้าแล้วยื่นมือไปเพื่อตรวจชีพจรก็พบว่าชีพจรของเหล่าหวางเฟยอ่อนแอ ทั้งยังเต้นผิดจังหวะหลายครั้ง
“นี่…”
เป็นไปได้เยี่ยงไรเพราะแค่วันเดียวจักเกิดเรื่องอันใดขึ้นได้ อันหลิงเกอมิรู้จะกล่าวอันใด
“เจ้าอย่ากังวลเลย ร่างกายของแม่ ตัวแม่ย่อมรู้ดี” ในขณะที่กล่าวนางก็ส่งเสียงไอออกมาเบา ๆ
“วันนี้ฝ่าบาทเรียกเจ้าเข้าเฝ้าใช่หรือไม่ ? ” แม้นางเอ่ยถามออกมา แต่อันหลิงเกอรู้สึกว่านางคาดเดาไว้ก่อนแล้ว
“เจ้าค่ะ” อันหลิงเกอพยักหน้าแต่ทันใดนั้นก็นึกถึงคำพูดของมู่จวินฮานขึ้นได้
ในวังหลวงแห่งนี้ทุกคนล้วนซับซ้อน
ทำให้นางอดมองพิจารณามู่เหล่าหวางเฟยตรงหน้ามิได้ ใบหน้าของอีกฝ่ายปกติ เพียงแต่ซีดเล็กน้อย ร่างกายดูอ่อนแอแต่ก็มิอยากเชื่อ
ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เคยหลอกลวงนางมาคราหนึ่ง
ซึ่งทำให้นางสงสัยว่าเหตุใดหมู่เฟยจึงอยากให้นางรู้สึกมีส่วนเกี่ยวข้องกับหอพิษกู่ด้วย สตรีที่ถูกขังอยู่ในวังหลัง เหตุใดจึงปฏิบัติต่อนางเยี่ยงนี้ ?
“จวินฮานมาด้วยหรือไม่ ? ”
ทุกครั้งที่อันหลิงเกอมาพบ ดูเหมือนอีกฝ่ายมักชะเง้อมองการมาของมู่จวินฮานเสมอ
เมื่อก่อนอันหลิงเกอคิดว่าท่าทีเยี่ยงนี้เป็นเพราะความรักของมารดา แต่ตอนนี้รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายมีความคิดแอบแฝงจึงแสดงละครเสียมากกว่า
บางทีอาจมิได้หวังให้มู่จวินฮานมาด้วยเลย
“วันนี้เกอเอ๋อเข้าวังมาคนเดียวเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินคำตอบของอันหลิงเกอ แววตาของมู่เหล่าหวางเฟยก็นิ่งสงบขึ้น ดูเหมือนนิ่งสงบมิต่างอันใดจากลมหายใจ
“ฝ่าบาท…มักห่วงใยมารดาของเจ้าเสมอ”
ครั้นอีกฝ่ายเอ่ยถึงมารดา อันหลิงเกอก็มิได้แสดงปฏิกิริยาตอบสนองอันใด แต่มู่เหล่าหวางเฟยมีน้ำตาไหลรินออกมาเสียก่อน
“แม่ก็คิดถึงนางเช่นกัน”
อันหลิงเกอมิรู้ว่าประโยคนี้หมายความเช่นไร
“แม่เสียใจกับเจ้าด้วย”
ดูเหมือนอันหลิงเกอมิรู้ว่ามู่เหล่าหวางเฟยกำลังเสียใจต่อเรื่องอันใด เพราะนับตั้งแต่ท่านแม่มิอยู่แล้วความเสียใจของนางก็กลายเป็นความเกลียดชังไปหมด
เนื่องจากอันหลิงเกอเข้าใจดีว่าหากเปลี่ยนความเกลียดชังกลับมาเป็นความโศกเศร้าอีกครั้ง นางอาจแบกรับความเจ็บปวดมิไหวก็ได้
เพราะใต้หล้านี้นางมีมารดาเพียงผู้เดียว
และในจวนโหวก็ไร้ผู้ใดปกป้อง ในใจของนางจึงเต็มไปด้วยความทรงจำของมารดา
“เกอเอ๋อ แม่มิหวังให้เจ้าเจริญรอยตามนาง หากเป็นไปได้ แม่มิปรารถนาให้จวินฮานเข้ามาพัวพันเรื่องในวังด้วยซ้ำ”
ประโยคนี้อันหลิงเกอมิแน่ใจว่าเป็นความจริงหรือโกหก แต่ก็พยักหน้ารับเพราะรู้ว่าในคำพูดนี้อย่างน้อยต้องแฝงความเมตตาที่มารดามีต่อบุตรอย่างแน่นอน
“ท่านอ๋องรู้แก่ใจดีว่ามีเพียงแบกรับภาระหน้าที่ยิ่งใหญ่เท่านั้นถึงสามารถปกป้องคนข้างกายได้เจ้าค่ะ” ความหมายในประโยคนี้เข้าใจได้มิยาก
“ช่างเถิด บางทีความปรารถนาของแม่ก็อาจมากเกินไป” มู่เหล่าหวางเฟยทอดถอนใจ ดูเหมือนเพราะจิตใจที่มิสงบจึงทำให้นางไอออกมา
“หมู่เฟย ทานสิ่งนี้แล้วจะดีขึ้นเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอยื่นยาเม็ดหนึ่งให้ มู่เหล่าหวางเฟยมองอย่างพิจารณาแต่ยกยิ้มพร้อมส่ายหน้า
“ให้แม่ป่วยเยี่ยงนี้เถิด…”
มู่เหล่าหวางเฟยมิได้กล่าวอันใดแต่เข้าสู่ห้วงนิทราทันที
อันหลิงเกอมิรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอันใด บางทีอาจเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้จึงทำให้มู่จวินฮานตำหนิหมู่เฟย ซึ่งคงคิดว่าอาการป่วยเยี่ยงนี้จะพอรั้งบุตรชายกลับมาได้
หลังอันหลิงเกอออกจากวังได้มินานก็มีพระราชโองการฉบับหนึ่งมาถึงจวนอ๋องมู่
“ให้อ๋องมู่เตรียมตัวเชื่อมสัมพันธ์กับแคว้นชิงเยว่โดยเลือกวันอภิเษกสมรสกับองค์หญิงหลิวลี่”
มู่จวินฮานได้รับพระราชโองการก็ทำให้ทั่วทั้งร่างแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดจนกระทั่งอันหลิงเกอกลับมาจึงค่อย ๆ สงบ
“ท่านอ๋อง มิบอกพระชายา…”
ปี้จูแสดงความร้อนใจอย่างเห็นได้ชัด นางมองไปยังพระชายาที่กว่าจะสร้างความสัมพันธ์กับท่านอ๋องให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ มิใช่เรื่องง่าย เหตุใดต้องนำองค์หญิงหลิวลี่เข้ามาอีกคน ?
“ข้าจักคุยกับนางเอง”
เรื่องนี้ถ้าตกไปอยู่บนตัวของสตรีนางอื่นก็อาจทำให้เกิดความอิจฉาริษยาได้ แต่เขารู้ว่าอันหลิงเกอมิเป็นเยี่ยงนั้นเพราะอย่างน้อยนางก็รับฟังความคิดของเขาจนจบ
“หืม ? หมายถึงทัวป๋าหลิวลี่ที่เจอวันนั้นหรือเจ้าคะ ? ” เป็นอย่างที่คาดไว้จริงว่าปฏิกิริยาตอบสนองของอันหลิงเกอสงบมาก
“ใช่แล้ว”
อันหลิงเกอคาดมิถึงว่าฮ่องเต้เพิ่งเรียกนางไปเข้าเฝ้าได้มินานก็มีพระราชโองการให้มู่จวินฮานแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ช่างเจ้าเล่ห์เพทุบายยิ่งนัก
เพียงแต่ว่าการมาของทัวป๋าหลิวลี่มิได้เกี่ยวข้องอันใดกับนาง
สองพี่น้องแคว้นชิงเยว่พากันมารวมตัวในจวนของมู่จวินฮานซึ่งมองออกว่านี่เป็นแผนของแคว้นชิงเยว่
ตอนนี้หอพิษกู่มีการคบค้าสมาคมกับนาง อีกทั้งแคว้นชิงเยว่ก็คิดอยากเชื่อมสัมพันธ์กับมู่จวินฮาน ต่อไป…
“เช่นนั้นเรื่องการตกแต่งโคมไฟในจวนก็มิจำเป็นต้องให้ข้าจัดการเองใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ” คำพูดของอันหลิงเกอทำให้มู่จวินฮานแทบสำลัก เดิมทีคิดว่าอย่างน้อยนางก็คงแสดงสีหน้าผิดหวัง คาดมิถึงว่านางแค่กลัวความวุ่นวายเท่านั้น
“มิต้องหรอก” แม้มู่จวินฮานจนปัญญาก็ยังตอบนางออกไป
“เช่นนั้นก็ดี ยกน้ำชาก็มิต้อง เพราะถึงตอนนั้นให้ข้ากับทัวป๋าหลิวลี่มีปฏิสัมพันธ์กันก็พอเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอยังจำหุ่นเชิดก่อนหน้านั้นได้และรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมามิน้อย
“อืม” สีหน้าของมู่จวินฮานมิสบอารมณ์อย่างมาก
“จริงสิ ขอแสดงความยินดีกับท่านอ๋องที่สามารถเด็ดดอกฟ้าทั้งสองพี่น้องได้เจ้าค่ะ”
คาดมิถึงว่าเวลานี้อันหลิงเกอจะเยาะเย้ยเขา สีหน้าของมู่จวินฮานมิสู้ดีแต่ก็ส่งเสียง อืม กลับไป
“เอาล่ะ เอาล่ะ ข้าขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอมิได้กล่าวอันใด นางมองสีหน้าลำบากใจของมู่จวินฮานออก ในชั่วพริบตาเดียวที่นางหมุนตัวไปนั้นรอยยิ้มแห่งความยินดีบนใบหน้าก็มลายหายไป
นางจักยอมใช้สามีร่วมกับหญิงอื่นได้เยี่ยงไร ? ก็แค่แกล้งส่งยิ้มไปเท่านั้น