ตอนที่ 520 ก่อเรื่องวุ่นวาย
“พระชายา…”
ปี้จูเห็นอันหลิงเกอกลับมาจึงรุดหน้าเข้ามาหาด้วยความร้อนใจ แต่คาดมิถึงว่าอันหลิงเกอเป็นฝ่ายเริ่มปลอบใจนางก่อน
“ปี้จู ข้ารู้ว่าทัวป๋าหลิวลี่ผู้นั้นมีนิสัยเจ้าเล่ห์ หากวันข้างหน้านางปฏิบัติอย่างมิเป็นธรรมกับเจ้าก็ต้องบอกข้าทันที อย่างน้อยเจ้าก็มีพระชายาเยี่ยงข้าอยู่ นางมิกล้าเหยียบหัวเจ้าแน่”
ได้ยินคำพูดนี้ของอันหลิงเกอแล้ว ในใจของปี้จูจึงรู้สึกมิสบาย มินานเสียงร้องไห้โฮก็ดังขึ้น
“พระชายา…แม้แต่ท่านก็ทำอันใดมิได้ องค์หญิงหลิวลี่ผู้นั้นต้องแต่งเข้ามาอยู่ในจวนอ๋องของเราจริงหรือเจ้าคะ ? ”
หากเป็นคนผู้อื่นก็คงปล่อยเลยตามเลย แต่นี่คือองค์หญิงผู้เป็นที่รักของแคว้นชิงเยว่ หากแต่งเข้ามาอยู่ในจวนอ๋องมู่แล้วจะเงียบสงบได้หรือ ?
เพราะองค์หญิงผู้นี้แตกต่างจากทัวป๋าถิงฟางโดยสิ้นเชิง อีกทั้งองค์หญิงหลิวลี่ผู้นี้ แค่ได้ยินชื่อก็รู้แล้วว่าต้องเป็นเพชรที่งดงามแวววาวแน่นอน
ถึงตอนนั้นตามนิสัยพระชายาแล้วต้องโดนอีกฝ่ายรังแกแน่นอน
หากพระชายามิสู้และมิแย่งชิงก็เกรงว่า…
“เอาล่ะ เอาล่ะ เจ้ามิต้องร้องไห้แล้ว การแต่งทัวป๋าหลิวลี่ผู้นั้นเข้ามาอย่างไรก็เป็นเรื่องน่ายินดี เหตุใดเจ้าต้องร้องไห้คร่ำครวญเหมือนน่าโศกเศร้าเยี่ยงนี้”
ได้ยินคำพูดของอันหลิงเกอแล้ว ปี้จูก็เบิกตากว้างทันที
“เป็นเรื่องน่ายินดีหรือเจ้าคะ ? เรื่องน่ายินดีของนางแต่เป็นเรื่องน่าเศร้าของเรา…” ปี้จูช่างไร้เดียงสาเสียจริง
“ปี้จู แคว้นชิงเยว่ต้องเชื่อมสัมพันธ์กับต้าโจว เป็นโอกาสดีของท่านอ๋องและก็เป็นโอกาสดีของจวนอ๋องมู่ด้วย”
ดูเหมือนปี้จูจะได้สติขึ้นมาบ้าง
“กล่าวเยี่ยงนี้ ก็ถูก…”
ปี้จูหยุดร้องไห้ทันใด จากนั้นก็มองอันหลิงเกอราวกับมองเทพธิดาอย่างไรอย่างนั้น
“พระชายาช่างมีสายตากว้างไกลเจ้าค่ะ”
ในความเป็นจริงแล้วอันหลิงเกอก็เคยสงสัยเช่นกัน เพียงแต่ต่อมาพอนึกถึงสีหน้าแววตาของฮ่องเต้ก็ดูเหมือนเข้าใจว่าทรงต้องการส่งเสริมมู่จวินฮานเป็นแน่
เช่นนั้นก็มิมีทางยกเรื่องการเชื่อมสัมพันธ์นี้ให้มู่จวินฮาน ทั้งยังเกิดหลังจากที่เรียกนางเข้าเฝ้าแล้วด้วย
ฮ่องเต้คงคิดพึ่งพามู่จวินฮานมาเก็บกวาดแคว้นชิงเยว่พลางส่งนางไปในฐานะสายลับ ช่างคิดการณ์ไกลเสียจริง
“เอาล่ะปี้จู เรื่องที่ข้ากล่าวกับเจ้าเมื่อครู่ก็จำให้ดี ข้ามิมีทางยอมให้ผู้ใดมารังแกเจ้าได้หรอก”
เมื่อเห็นอันหลิงเกอเป็นห่วง ในใจของปี้จูก็รู้สึกอบอุ่นมากขึ้น
“เจ้าค่ะ พระชายา ปี้จูมิมีทางทำให้พระชายาเสียหน้าแน่นอน”
ทางด้านทัวป๋าหลิวลี่ก็ได้รู้แล้วว่าสามีในอนาคตของตนคือผู้ใด
“คาดมิถึงว่าจะเป็นอ๋องมู่…”
“ใช่แล้วเพคะ พี่หญิง บุรุษที่พบกันวันนั้นช่างหล่อเหลามากเพคะ” ทั่วป๋าหลิวลี่ยังคงสนทนากับหุ่นเชิด
“อืม…วันอภิเษกพี่หญิงทำได้แค่อยู่ในเรือนไปก่อนนะเพคะ”
ดูเหมือนนางรู้สึกเสียใจมากทั้งที่ในใจเบิกบานขั้นสุด ทันใดนั้นทัวป๋าหลิวลี่ก็เหมือนฉุกคิดอันใดบางอย่างได้ สีหน้าของนางจึงเปลี่ยนสีฉับพลัน
“แต่สตรีในวันนั้น…ดูเหมือน…”
“มิเป็นไรเพคะ ประเดี๋ยวก็กำจัดได้”
ผู้เป็น ‘น้องสาว’ ที่อยู่ข้างกายดูเหมือนเข้าใจความคิดของนางจึงรีบดำเนินตามแผนการ
“ใช่ นางจะเทียบกับทัวป๋าหลิวลี่เยี่ยงข้าได้อย่างไร ! ”
ในขณะที่พูดทัวป๋าหลิวลี่ก็ชักกริชออกมากรีดลงบนโต๊ะ หุ่นเชิดของนางเป็นหุ่นดีที่สุดในแคว้นชิงเยว่ การต่อกรกับสตรีแค่ผู้เดียวก็เกินพอแล้ว
หอพิษกู่และหุ่นเชิดของแคว้นชิงเยว่คือความลึกลับสองสิ่งที่ทำให้คนภายนอกหวาดกลัวมิน้อย
“เช่นนั้นก็ยินดีกับพี่หญิงด้วยเพคะ”
น้ำเสียงของหุ่นเชิดมิได้แตกต่างจากนางเท่าไรนัก หากมิใช่คนข้างกายก็คงมิรู้และคิดว่าเป็นบทสนทนาของสตรีสองคน
แต่น่าเสียดายที่อันหลิงเกอมิเคยมีความประทับใจอันดีต่ออาจารย์หุ่นเชิดที่ต้องแต่งเข้ามาในจวนอ๋องผู้นี้
หุ่นเชิดทำให้นางรู้สึกถึงความเคร่งขรึมและเย็นยะเยือก
แคว้นชิงเยว่เป็นสถานที่ยอดเยี่ยมมาก มีคนนำหุ่นเชิดมาทำเป็นอาวุธ ช่างเป็นเรื่องที่คาดมิถึงจริง ๆ
วันอภิเษกสมรสได้ถูกกำหนดขึ้นอย่างรวดเร็ว แค่ครึ่งเดือนเท่านั้นก็จะถึงวันมงคลระหว่างมู่จวินฮานกับทัวป๋าหลิวลี่แล้ว
อันหลิงเกอคิดแล้วคิดอีกสุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกเรือนที่อยู่ใกล้กับเรือนฝูหลิงให้อีกฝ่าย เนื่องจากเรือนอื่นภายในจวนอ๋องมิเพียงพอต้อนรับทั่วป๋าหลิวลี่และน้องสาวผู้นั้น
มีเพียงเรือนนี้ที่บังเอิญมีห้องสำหรับสองที่พอดี ตอนแรกอันหลิงเกอเลือกเรือนนี้เพื่อตั้งเป็นคลังเก็บยาภายในจวนอ๋อง บัดนี้สมควรเก็บข้าวของและยกเรือนนี้ให้เช่อเฟยคนใหม่
ครึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนวันอภิเษกสมรสของทั่วป๋าหลิวลี่หนึ่งวัน อันหลิงเกอก็ได้พบกับหนานกงหลิงเยว่อีกครั้ง
“หึ ในเมื่อมาเยือนจวนอ๋องก็คงมิได้มาเพื่อประหยัดน้ำมันตะเกียงกระมัง”
หนานกงหลิงเยว่ยังคงซ่อนตัวอย่างลึกลับ ดูเหมือนอันหลิงเกอคุ้นชินไปแล้ว ครั้นหันไปสบตาสีฟ้าครามคู่นั้นก็มิได้รู้สึกแปลกใจเหมือนอดีตอีกแล้ว
“เชิญ” อันหลิงเกอรินน้ำชาให้ตามปกติ จากนั้นก็วางบนโต๊ะโดยมิได้ยื่นให้แต่อย่างใด
หนานกงหลิงเยว่ก็มิได้รู้สึกแปลกใจ ตรงกันข้ามคือหยิบน้ำชาถ้วยนั้นขึ้นมาและดื่มโดยมิลังเล เพราะระหว่างทางนางรู้สึกกระหายมาก
คิดได้ดังนั้นหนานกงหลิวเยว่ก็ยกกาน้ำชาขึ้นและกรอกใส่ปากอีกครั้ง
“จริงสิ เจ้าเคยเจอทัวป๋าหลิวลี่หรือไม่? ข้ามิค่อยได้ยินเรื่องราวของนางสักเท่าไร”
ดูเหมือนหนานกงหลิงเยว่เปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่า มิรู้ว่าเพราะเหตุใดอันหลิงเกอมักรู้สึกว่าระหว่างพวกนางได้สนิทสนมกันมากขึ้นและมิได้เป็นศัตรูกันอย่างเห็นได้ชัด
“มิได้รู้จักนางนักหรอก เพียงแต่ข้าเคยเจอครั้งหนึ่ง”
ได้ยินอันหลิงเกอกล่าวเยี่ยงนี้ หนานกงหลิงเยว่ก็แสดงสีหน้าคาดมิถึง
ตามหลักเหตุผลแล้วการได้พบสตรีนามว่าทัวป๋าหลิวลี่ ฝ่ายอันหลิงเกอมิควรนิ่งนอนใจเยี่ยงนี้ ถึงอย่างไรทัวป๋าหลิวลี่ก็เป็นคนแปลกประหลาด
“เจ้าต้องป้องกันตัวให้ดีเพราะคนที่จักช่วงชิงชีวิตของเจ้าก็ควรเป็นข้าและพี่ชายเท่านั้น”
ในตอนที่หนานกงหลิงเยว่กล่าวออกมาก็ดูเหมือนลำบากใจอยู่มิน้อย นางเมินหน้าไปทางอื่นโดยมิยอมมองอันหลิงเกอ
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนของที่ใดกันแน่ ? ”
คำถามของอันหลิงเกอทำให้หนานกงหลิงเยว่ตกตะลึง
นางหมายความว่าเยี่ยงไร ?
“หากเจ้าอยากเป็นคนของหอพิษกู่ ข้ามิมีทางปฏิเสธแน่นอน ! ”
นางรีบโยนกิ่งมะกอกแห่งสันติภาพอย่างประจบสอพลอเพื่อหวังให้อันหลิงเกอเชื่อฟัง
“หนานกงหลิงเยว่ คนที่ปกป้องข้าอยู่เงียบ ๆ คือพวกเจ้าใช่หรือไม่ ? ”
เพราะอันหลิงเกอสัมผัสได้ว่ารอบกายมักมีใครบางคนคอยปกป้องอยู่ และนางรู้ชัดเจนว่ามิใช่คนของมู่จวินฮาน
หากเป็นคนในจวนอ๋องก็มิควรแปดเปื้อนไปด้วยกลิ่นคาวเลือด แต่ร่างกายของคนเหล่านี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความโหดเหี้ยม
ความรู้สึกเยี่ยงนี้นางเคยสัมผัสได้ตอนที่อยู่ในหอพิษกู่เท่านั้น
ซึ่งองครักษ์เงาของนางก็ค้นหามิได้ ความผิดปกตินี้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับหอพิษกู่เป็นแน่
“มิใช่”
หนานกงหลิงเยว่ตอบพร้อมเมินหน้าไปทางอื่นราวกับมิยอมให้อันหลิงมองสีหน้าของตนออก
แต่อันหลิงเกอก็คาดเดาไว้แล้วว่าต้องเป็นคนที่พวกเขาส่งมาแน่นอน
“พวกเจ้าปกป้องข้าเพราะเหตุใด ? ”
อันหลิงเกอถามแล้วยกยิ้มพร้อมส่ายหน้า นางมั่นใจว่ามิมีทางเข้าร่วมกับหอพิษกู่ได้ แต่เหตุใดพวกเข้าต้องทำเยี่ยงนี้ ?
“มิเกี่ยวกับเจ้า”
แน่นอนว่าหนานกงหลิงเยว่รู้ตัวผู้ที่คิดทำร้ายอันหลิงเกอซึ่งนางและพี่ชายมิมีทางปล่อยให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นแน่นอน