บทที่ 399 เว่ยหลินชวนจะแต่งงาน

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 399 เว่ยหลินชวนจะแต่งงาน
หนานกงเย่มองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นแล้วกะพริบตา จากนั้นก็ออกแรงกดข้อมือของฉีเฟยอวิ๋นไว้ และสูดหายใจเข้าสองครั้ง

หลังจากที่ดื่มเลือดแล้ว ไม่นานพลังชีวิตของหนานกงเย่ก็ฟื้นขึ้นมาและรู้สึกมีเรี่ยวแรงมากขึ้น

“ท่านอ๋อง รู้สึกอย่างไรบ้างเพคะ?”

“ดีขึ้นมากแล้ว”

หนานกงเย่จับมือของฉีเฟยอวิ๋น และมองดูข้อมือของนางที่ค่อย ๆ หายเป็นปกติ

“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วต้องเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าแน่ ตั้งแต่นี้ไปข้าขอสั่งไม่ให้เจ้าปล่อยเลือดเพื่อช่วยชีวิตผู้คนอีก รวมทั้งข้าด้วย”

หนานกงเย่ไม่สบายใจและรู้สึกโกรธเคือง

ฉีเฟยอวิ๋นไม่เห็นด้วย:“นอกจากเจ็บปวดเล็กน้อยแล้วก็ไม่มีอะไรเพคะ เลือดของร่างกายคนเราย่อมมีเงื่อนไข ไม่ว่าท่านอ๋องจะทรงเชื่อหรือไม่ว่าการปล่อยเลือดจะช่วยกระตุ้นสมองและสามารถทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงได้ เพียงแค่ไม่บ่อยมากจนเกินไปก็พอ

ระบบร่างกายของหม่อมฉันมีที่ว่าง แม้ว่าจะไม่ชัดเจน แต่ก็มีประโยชน์และไม่เป็นอันตราย

ส่วนเรื่องอื่น ๆ ต้องค่อย ๆ ค้นหา

และเลือดก็ยังอุดมสมบูรณ์ดีเพคะ”

หนานกงเย่นำนิ้วหัวแม่มือไปลูบข้อมือของฉีเฟยอวิ๋นเบา ๆ บนนั้นมีรอยแผลเป็นอยู่ แต่มันกำลังจะหายไป

ในที่สุดฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกโล่งใจและหันกลับไปมองบนเตียง มีกระเป๋าหลายใบอยู่บนนั้น ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจด้วยความโล่งอก

หนานกงเย่จึงลุกขึ้นนั่ง เขาหยิบกระเป๋ามาเปิดออกและข้างในเต็มไปด้วยยา เป็นเขาที่นำกลับมา

ในกล่องยามียามากมายและส่วนใหญ่เป็นยาฉีด

ส่วนกระเป๋าใบอื่น ๆ เป็นของที่เขาต้องการ แม้ว่าจะไม่ได้นำกระจกบานใหญ่กลับมา แต่ก็มีกระจกบานเล็กอยู่

หนานกงเย่หยิบออกมาอย่างภาคภูมิใจ ราวกับว่าเขารบชนะและได้รับของกำนัลมากมาย

เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าเขาไม่เป็นไร นางก็พอใจมากแล้ว ส่วนเขาอยากจะทำอะไรก็ตามใจเขา

หนานกงเย่ลุกจากเตียงและเดินไปที่หน้ากระจก เขามองดูผมยาวบนหัวของตัวเองและหันไปมองฉีเฟยอวิ๋น:“ข้าพูดถูก ในนั้นเป็นดินแดนอันแสนวิเศษ”

“ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่ต่อไปท่านอ๋องก็อย่าเอาแต่พระทัยนะเพคะ”

หนานกงเย่ไม่ตอบ เขาเดินไปหยิบเสื้อผ้ามามองอยู่สักพัก แม้แต่รองเท้าหนานกงเย่ก็หยิบออกมาด้วย

มีด กระสุน กล้องส่องทางไกล แว่นตาดำน้ำ และเขายังเอาระเบิดมือกลับมาด้วย จนทำให้ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกตกใจ

“พระองค์ทรงนำสิ่งนี้มาทำไมเพคะ ดีที่มันไม่ระเบิดพวกเราตาย” ฉีเฟยอวิ๋นรีบหยิบออกไปอย่างหวาดกลัว

หนานกงเย่ไม่สบอารมณ์:“นั่นมันของข้า เอามานี่!”

แน่นอนว่าฉีเฟยอวิ๋นไม่ยอมให้:“นี่เป็นระเบิดมือ มันมีอานุภาพเหมือนระเบิด พระองค์ทรงทราบหรือไม่ว่าใช้อย่างไร?”

ในเวลานี้หนานกงเย่เงียบไม่พูดไม่จา!

ฉีเฟยอวิ๋นเล่าถึงความรุนแรงของระเบิดมือให้หนานกงเย่ฟัง เขาจึงกล่าวว่า:“ข้าจำได้แล้ว มอบให้ข้าเถอะ”

“พระองค์จะทำอะไรเพคะ?”

“เก็บไว้”

หนานกงเย่ดูเหมือนอุ้มลูกและนำระเบิดมือออกไป

ฉีเฟยอวิ๋นกำชับว่า:“อย่าขยับมั่วซั่วเป็นอันขาดนะเพคะ หากมันระเบิดจะทำให้ตาย”

“ข้ารู้แล้ว”

หนานกงเย่กล่าวอย่างเชื่อฟัง แต่ฉีเฟยอวิ๋นก็ยังไม่วางใจ และตั้งใจหยิบกล่องมาให้เขา:“ใส่ไว้ในนี้เพคะ แล้วเก็บไว้ให้ดี”

“อืม”

หน่างกงเย่ใส่มันลงไปและเก็บไว้

ส่วนอย่างอื่นก็เก็บไว้อย่างดีเช่นกัน

ทั้งสองพักผ่อนทั้งวันและสงบจิตใจลง เช้าวันรุ่งขึ้นก็ออกจากจวนอ๋องเย่แล้วไม่เยี่ยมองค์หญิงใหญ่

องค์หญิงใหญ่กำลังทานอาหาร แต่ไม่ว่าจะทานอะไรก็ดูไร้รสชาติ

เว่ยหลินชวนซูบผอมลงมาก

ฉีเฟยอวิ๋นถามเรื่ององค์หญิงใหญ่ และเว่ยหลินชวนก็กล่าวว่า:“ไม่ได้บรรทมมาหลายสิบวันแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าหลังจากที่ครั้งนี้ไปมาสิบกว่าวัน และนางก็เพิ่งรู้เรื่องนี้ตอนที่กลับมา อาอวี่ตกใจ ทั้งสองหลับไปและไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ

โชคดีที่มีอวิ๋นจิ่นอยู่และไม่ยอมให้ใครแตะต้องพวกเขา

เพื่อไม่ให้เป็นเรื่องใหญ่

แต่องค์หญิงใหญ่ไม่ได้นอนมาหลายสิบวันแล้ว

เว่ยหลินชวนอยู่เฝ้าองค์หญิงใหญ่ทุกวัน เขากลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับองค์หญิงใหญ่

ฉีเฟยอวิ๋นหยิบยาบำรุงที่ช่วยสงบจิตใจมาให้เว่ยหลินชวน

“อันนี้ให้เจ้า”

ฉีเฟยอวิ๋นส่งยาให้เว่ยหลินชวน และเว่ยหลินชวนก็ถามว่า:“เช่นนั้นจงลิ่งล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”

“พระองค์ต้องการฉีดยาก่อน” ฉีเฟยอวิ๋นหยิบยารับยาระงับประสาทขึ้นมาและจะฉีดยาให้องค์หญิงใหญ่

องค์หญิงใหญ่ดูไม่ค่อยพอใจและกล่าวว่า:“ข้าไม่ได้ป่วย เจ้าเอาของสิ่งนี้มาฉีดข้าทำไม?”

“นี่ไม่ใช่การรักษาเสด็จอาใหญ่เพคะ แต่เพื่อทำให้ผิวพรรณของเสด็จอาใหญ่ดีขึ้น หม่อมฉันเพิ่งจะออกมาจากในวัง” ฉีเฟยอวิ๋นจงใจมองไปที่ประตูอย่างระมัดระวัง

องค์หญิงใหญ่มองไปที่หนานกงเย่และเว่ยหลินชวนที่อยู่หน้าประตู จากนั้นก็ถามว่า:“พระพันปีทรงใช้แล้วหรือ?”

“ข้าไม่ได้พูด เป็นเสด็จอาใหญ่ที่ทรงพูดเองนะเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นฉีดยาให้องค์หญิงใหญ่หนึ่งเข็ม

องค์หญิงใหญ่ส่งเสียงฮึอย่างเย็นชา:“ข้ารู้ว่านางรักสวยรักงาม เรื่องเช่นนี้นางต้องใช้ก่อนอย่างแน่นอน”

“เสด็จอาใหญ่ หม่อมฉันก็นึกถึงพระองค์เช่นกันเพคะ”

“ขอบคุณสำหรับสิ่งที่เจ้าพูดออกมา”

น้ำเสียงขององค์หญิงใหญ่ไม่ค่อยดีนัก แต่ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่านางไม่ได้แย่จนเกินไป ในขณะที่นั่งเสด็จอาใหญ่ก็มองดูสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในห้องอย่างหงุดหงิดใจ

และถามฉีเฟยอวิ๋นว่า:“หากเจ้าไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปก่อนเถอะ”

“เดี๋ยวหม่อมฉันก็กลับแล้วเพคะ รอให้เสด็จอาใหญ่ทรงบรรทมก่อน เมื่อครู่ได้ยินว่าเสด็จอาใหญ่ทรงบรรทมไม่หลับ หม่อมฉันจึงอยากตรวจดูพระอาการเพคะ”

“จะตรวจดูอะไร กลับไปเถอะ” องค์หญิงใหญ่โบกมือ ฉีเฟยอวิ๋นจึงลุกขึ้น

“เช่นนั้นหม่อมฉันกลับก่อนนะเพคะ จะได้ไปหาท่านพ่อของหม่อมฉันด้วยพอดีเลย”

องค์หญิงใหญ่ไม่ได้รั้งให้อยู่ต่อ ฉีเฟยอวิ๋นจึงออกไปรออยู่ด้านนอก

เว่ยหลินชวนก็ไม่ได้เข้าไป องค์หญิงใหญ่นอนลงและเริ่มสะลึมสะลือ และแม้แต่อาหารที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่ยอมเสวย

ในขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นกำลังรอ เว่ยหลินชวนก็แอบร้องไห้อยู่หลังเสา

แต่ก่อนเมื่อหนานกงเย่เห็นเว่ยหลินชวนก็จะเข้าไปหาเรื่องเขา แต่ตอนนี้เขาไม่หาเรื่องแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นมองไปพบที่เว่ยหลินชวนและถามว่า:“แม้ว่าอาการประชวรขององค์หญิงใหญ่จะรักษาได้ยาก แต่เพียงทำให้นางรู้สึกดีขึ้นก็พอแล้ว

และต้องให้ความร่วมมืออในการรักษา”

“ไม่กี่วันก่อน พระองค์ทรงเบื่ออาหาร และสูดดมควันจนเกือบสิ้นพระชนม์” เว่ยหลินชวนกล่าวว่าเกือบสิ้นพระชนม์ เขาคุกเข่าลงบนพื้นและร้องไห้เหมือนเด็ก

ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองหนานกงเย่ที่กำลังไปที่เว่ยหลินชวน:“โรคซึมเศร้าเป็นเช่นนี้ คนคิดไม่ถึง นี่เป็นเพียงขั้นแรก หากพระองค์ทรงเป็นเช่นนี้ต่อไปก็อาจจะยิ่งแย่กว่านี้ พระองค์จะคิดว่ามีคนทรมานพระองค์และอาจจะจะฆ่าพระองค์”

“แล้วจะทำอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?” เว่ยหลินชวนลุกขึ้นและเช็ดน้ำตา ความหวังทั้งหมดตกไปอยู่ที่ฉีเฟยอวิ๋น

เว่ยหลินชวนไม่มีญาติ องค์หญิงใหญ่จึงเป็นญาติสนิทของเขา

ครอบครัวขององค์หญิงใหญ่จากไปไกล นางจึงถือว่าเว่ยหลินชวนเป็นบุตรชายของนาง

แม่ลูกมีใจผูกพัน เมื่อเจอเรื่องเช่นนี้จึงยากที่จะไม่ร้องไห้

“ในระยะแรกข้าจะใช้ยาระงับประสาทและยาสงบจิตใจ รวมทั้งยานอนหลับ แต่จะมีผลข้างเคียง ซึ่งอาจจะทำลายการทำงานของอวัยวะภายในอย่างรุนแรง เป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างมาก ช้าหน่อยก็ไม่มีอะไร

ท่านอย่าทำหน้าตาเช่นนี้เลย โรคชนิดนี้รักษาได้ด้วยจิตใจที่มีเข้มแข็ง

จั่วจงเจิ้ง มีวิธีหนึ่งที่สามารถจะทำให้องค์หญิงใหญ่ทรงดีขึ้นของรวดเร็ว”

“ท่านว่ามาเถิด” เว่ยหลินชวนตื่นเต้นมาก

“องค์หญิงใหญ่ทรงไร้ความหวัง หากมีความหวัง บางทีก็ก็อาจจะเป็นเรื่องดี แต่ในตอนนี้คนเดียวที่พระองค์ทรงห่วงใยก็คือท่าน จั่วจงเจิ้งก็อายุไม่น้อยแล้ว หากมีการสมรส อาจจะทำให้พระอาการขององค์หญิงใหญ่ดีขึ้น”

“จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?” แววตาของเว่ยหลินชวนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ขอเพียงแค่องค์หญิงใหญ่ทรงดีขึ้น เขายินดีที่จะทำทุกอย่าง

ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า:“ข้าไม่กล้ารับรอง แต่ก็คงจะเป็นเช่นนั้น”

เว่ยหลินชวนดูเหมือนจะมีความหวังสุดท้าย จึงกล่าวในทันทีว่า:“พระชายาเย่พอจะทราบหรือไม่ว่ามีคุณหนูบ้านไหนที่พร้อมจะออกเรือนบ้าง?”

“เรื่องนี้ข้าไม่รู้เลย แต่ท่านลองไปถามท่านอ๋อเย่ดูก็ได้ เขาอาจจะรู้” ฉีเฟยอวิ๋นไม่คาดคิดว่าเว่ยหลินชวนจะทำสิ่งนี้เพื่อองค์หญิงใหญ่

เพียงแต่เรื่องที่รีบร้อนเช่นนี้ อาจจะไม่มีความสุข

และจะทำให้ครอบครัวของหญิงสาวต้องลำบากใจ