องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 400 เจ้าของร่างเดิมไม่คุ้มเอาเสียเลย
เว่ยหลินชวนรีบถาม:“ท่านอ๋อง ทรงรู้จักคุณหนูบ้านไหนบ้างหรือไม่พ่ะค่ะย่ะ?”
“ข้ารู้จักเพียงแค่มู่เหมียน แต่หากมู่เหมียนเข้ามาที่นี่ เจ้าคงจะไม่ปล่อยให้นางรังแกจนตายหรอกนะ?” หนานกงเย่ไม่สบอารมณ์ และเว่ยหลินชวนก็ผงะไปชั่วขณะ เขารีบส่ายหัวราวกับว่ากลัวมู่เหมียน
“กระหม่อมมิกล้าอาจเอื้อม เป็นคนธรรมดาทั่วไปจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นข้าก็ไม่รู้จักแล้ว” หนานกงเย่ปฏิเสธอย่างแน่วแน่ ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าหนานกงเย่ไม่สบายใจ
“เอาอย่างนี้ ให้กระทรวงครัวเรือนตรวจดูว่าหญิงสาวบ้านไหนดี เรื่องนี้……ยังต้องดูความคิดเห็นของเสด็จอาใหญ่ด้วย บางทีเสด็จอาใหญ่อาจจะเลือกใครไว้ในใจแล้วก็ได้”
เว่ยหลินชวนพยักหน้า:“เช่นนั้นกระหม่อมจะลองไปถามดูพ่ะย่ะค่ะ”
“อย่าเพิ่งไปตอนนี้เลย พระองค์ทรงบรรทมอยู่”
ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับไปมององค์หญิงใหญ่ นางหลับไปแล้วจริง ๆ
เว่ยหลินชวนเป็นกังวล:“ทุกครั้งที่ทรงบรรทมก็จะฝัน และมีเหงื่อเย็นไหลออกมา จากนั้นก็จะตกใจตื่น เมื่อถามอะไรก็ไม่ทรงตรัสพ่ะย่ะค่ะ”
“ครั้งนี้คงไม่หรอก ข้าจะเฝ้าดู ข้าต้องการจะให้น้ำเกลือ และต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วยาม หากทรงตื่นแล้ว อย่าให้พระองค์ทรงทราบ” ฉีเฟยอวิ๋นหยิบกล่องยามาและเริ่มลงมือ
เว่ยหลินชวนเฝ้าดูอยู่ข้าง ๆ และเกรงว่าองค์หญิงใหญ่จะฝันร้ายและตกใจตื่น แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้ว
ทุกอย่างก็เรียบร้อยดี เว่ยหลินชวนถอนหายใจด้วยความโล่งอก หลังจากนั้นเขาก็นั่งลงและเผลอหลับไป
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่ใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์ของหนานกงเย่:“ท่านอ๋องก็ทรงเป็นกังวลใช่หรือไม่เพคะ?”
หนานกงเย่หันหลังเดินออกไป และหลังจากที่ฉีเฟยอวิ๋นจัดการเสร็จแล้ว นางก็ตามออกไปเช่นกัน
“ท่านอ๋อง ทรงจัดการเรื่องการแต่งงานให้จั่วจงเจิ้งจะดีกว่านะเพคะ”
“มู่เหมียนดีที่สุด”
“ต่อให้มู่เหมียนจะเต็มใจ แต่ต้ากั๋วจิ้วคงจะไม่ยอม ก่อนหน้านี้ที่ท่านอ๋องไปที่ชายแดน ต้ากั๋วจิ้วไปหาเสด็จแม่ และกล่าวถึงเรื่องพระชายารองท่านอ๋อง ต้ากั๋วจิ้วคงจะไม่ยอมล้มเลิกความคิดอย่างแน่นอนเพคะ”
“เขาไม่ยอมล้มเลิกความคิดแล้วจะมีประโยชน์อะไร หัวใจของข้ามีเพียงแค่พระชายาเท่านั้น”
หนานกงเย่ก้าวออกไปจากประตู ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่รู้ว่าเขาจะไปทำอะไร แต่ในช่วงพลบค่ำ เขานำพระราชโองการของฝ่าบาทมาที่ในศาลพิเศษกลาง
เว่ยหลินชวนออกไปรับพระราชโองการและองค์หญิงใหญ่ก็ตื่นแล้ว คราวนี้นางหลับสบายมาก และเมื่อตื่นขึ้นมาก็รู้สึกมีกำลังวังชาขึ้นมาก
จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงมีพระราชโองการให้เลือกคู่สมรสให้กับจั่วจงเจิ้งเว่ยหลินชวน หญิงสาวคนใดในเมืองหลวงที่ได้รับเลือกจะได้รับรางวัลจากฝ่าบาทและแต่งงานกับเว่ยหลินชวน
เว่ยหลินชวนน้อมรับพระราชโองการ องค์หญิงใหญ่ออกมาแล้วหยิบพระราชโองไปอ่าน จากนั้นก็ถามความคิดเห็นของเว่ยหลินชวน:“เจ้าต้องจะแต่งภรรยาหรือ?”
“กราบทูลจงลิ่ง กระหม่อมก็อายุไม่น้อยแล้ว และเห็นว่าหนุ่มสาวต่างก็มีคู่ครองกันหมดแล้ว เกรงว่าจะล่าช้า ดังนั้นจึงอยากจะเลือกใครสักคนพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม……เรื่องนี้ เช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าดูว่ามีคนที่เหมาะสมหรือไม่ เจ้าซื่อสัตย์จริงใจเกินไป อาจจะจะถูกหลอกได้ง่าย!”
ในที่สุดฉีเฟยอวิ๋นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก การรักษาได้ผลแล้ว
“เสด็จอาใหญ่ หม่อมฉันกับท่านอ๋องกลับก่อน เรื่องการฉีดยาเพื่อความงามให้เสด็จอาใหญ่ในวันนี้อย่างทรงตรัสออกไปนะเพคะ ยามีไม่มากนัก ไม่ง่ายเลยที่จะเก็บรักษาไว้ หากทรง……อะแฮม……” ฉีเฟยอวิ๋นแสร้งทำเป็นไอออกมา ราวกับเกรงว่าจะมีใครได้ยิน
สีหน้าขององค์หญิงใหญ่มืดมน:“ยังมีอะไรอีกหรือไม่?”
“ไม่มากแล้วเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นอึดอัดวางตัวไม่ถูก
“ต้องฉีดบ่อยแค่ไหนหรือ?”
“ต้องฉีดทุกวันเพคะ แต่ทุกครั้งที่ฉีดก็จะทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งและชะลอวัยได้
แต่เสด็จอาใหญ่ไม่ต้องสนพระทัยหรอกเพคะ เสด็จอาใหญ่ยังทรงอ่อนวัยมาก”
“ยังสาวอะไรกัน พระพันปีก็เช่นเดียวกันกับข้า หากนางไม่สาวแล้ว ข้าก็ไม่สาวแล้วเช่นกัน ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปต้องฉีดยาวันละหนึ่งเข็ม พระพันปีทรงฉีดเท่าไหร่ ข้าก็จะฉีดเท่านั้น หากนางไม่ยอมก็ให้นางมาหาข้า”
“เสด็จอาใหญ่ หม่อมฉันลำบากใจเพคะ หม่อมฉันมียาไม่มากนักและรวมมาจากทุกหนทุกแห่ง หม่อมฉันจะกล้าไปกราบทูลเสด็จแม่ได้อย่างไร?” ฉีเฟยอวิ๋นกลัดกลุ้มใจ
องค์หญิงใหญ่เหลือบมอง:“ให้มันน้อยหน่อย เจ้ามีความสามารถมากมาย คิดหาทางด้วยตนเองเถอะ”
หลังจากที่พูดจบ องค์หญิงใหญ่ก็เรียกเว่ยหลินชวนเข้ามา เว่ยหลินชวนเหลือบมองฉีเฟยอวิ๋นและพยักหน้า
ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจ นี่ถือว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามหนานกงเย่ออกไปจากศาลพิเศษกลาง หนานกงเย่ถามว่า:“เหตุใดเจ้าต้องโกหกเสด็จอาใหญ่ด้วย?”
“ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่ยอมรับว่าตนเองป่วย และไม่ให้ความร่วมมือในการรักษา หากในตอนแรกมียา เสด็จอาใหญ่ก็จะไม่เป็นไร”
แต่เสียดายที่ไม่มี ยาสมุนไพรจีนเห็นผลในการรักษาช้า หม่อมฉันจึงให้ฉีดยาไปก่อน แล้วหลังจากนั้นค่อยปรับสมดุล
หม่อมฉันต้องการให้เสด็จอาใหญ่ยอมให้ความร่วมมือในการรักษา จึงต้องโกหกนางเพคะ”
หนานกงเย่หัวเราะเยาะ:“อวิ๋นอวิ๋นมีความสามารถมากมาย หากข้าไม่เชื่อฟัง เจ้าก็คงจะจัดการกับข้า?”
“ในเมื่อท่านอ๋องทรงรู้แล้วก็ไม่ควรจะสนใจมู่เหมียน ไม่ต้องพูดถึงว่าต้ากั๋วจิ้วจะไม่ยินดี แม้แต่มู่เหมียนเอง แต่งงานกับเว่ยหลินชวนไปก็คงจะไม่มีความสุข ถึงอย่างไรนางก็ไม่ได้ชอบ”
“ในตอนแรกอ๋องตวนก็ไม่ได้ชอบอวิ๋นหลัวฉวน แต่ในตอนนี้กลับเข้ากันได้ดีไม่ใช่หรือ?”
“ท่านอ๋องทรงพาดพิงถึงผู้อื่น ในตอนนั้นหม่อมฉันก็เกือบจะถูกท่านอ๋องบีบคอตาย”
“ยังจะพูดถึงอีก?” หนานกงเย่ไม่พอใจมาก ฉีเฟยอวิ๋นจึงไม่พูดอะไรอีก
วันรุ่งขึ้นในเมืองหลวงเริ่มคึกคัก บ้านที่มีบุตรสาวจำนวนไม่น้อย ล้วนแต่เตรียมมาสู่ขอถึงหน้าประตู
องค์หญิงใหญ่ทรงจัดการเรื่องการแต่งงานด้วยตนเอง แน่นอนว่าเป็นที่อิจฉาของผู้คนรอบข้าง
เว่ยหลินชวนเป็นจั่วจงเจิ้ง วันหน้าหากองค์หญิงใหญ่ถอยออกจากตำแหน่ง เขาก็ต้องมาเป็นจงลิ่งของศาลพิเศษกลาง
แม้ว่าจะไม่ใช่คนของราชวงศ์ แต่ทุกคนต่างก็เข้าใจดีว่าผู้สืบสกุลของราชวงศ์นั้นมีไม่มากนัก มีสองพระองค์จะได้รับเลือกให้เป็นมกุฎราชกุมาร แล้วใครจะมาเป็นจงลิ่งที่ศาลพิเศษกลาง?
ถึงอย่างไรแล้วตำแหน่งต้าจงเจิ้งต้องให้คนนอกมาเป็น ด้วยฐานะขององค์หญิงใหญ่ และเว่ยหลินชวนที่เป็นผู้ที่ติดตามนาง เช่นนั้นแล้วผู็ที่จะมาเป็นจงลิ่งก็คือเว่ยหลินชวน
ไม่ต้องพูดถึงขุนนางผู้น้อยทั่วไป แม้แต่ตระกูลอวิ๋นก็กำลังจับตามองดูอยู่
ฉีเฟยอวิ๋นมาฉีดยาให้องค์หญิงใหญ่ และเห็นว่ามีคนมาจากจวนกั๋วกง และเรื่องที่น่าแปลกคือท่านราชครูจวินก็ส่งข้อความมาด้วย
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบไปมองหนานกงเย่ที่กำลังนั่งดื่มชาอยู่ที่ลานบ้าน เขาดูสงบและผ่อนคลายมาก
ท้องของฉีเฟยอวิ๋นโตขึ้นทุกวัน นางรู้สึกว่าการตั้งครรภ์ครั้งนี้เป็นเหมือนที่ไป๋ซู่ซู่กล่าว ไม่ใช่เพียงหนึ่ง แต่เป็นครอก
และเดินลงไปพร้อมกับท้องที่อ้วนของนาง ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลงข้าง ๆ หนานกงเย่ จากนั้นหนานกงเย่ก็รินน้ำแก้วหนึ่งให้ฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นดื่มน้ำและมองไปที่ประตู
วันนี้คนเยอะมากเป็นพิเศษ และดูเหมือนจะพังประตูแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นนึกถึงเรื่องของหนานกงเย่กับเจ้าของร่างเดิมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และถามหนานกงเย่ว่า:“ท่านอ๋อง ในตอนนั้นที่ประตูหน้าจวนอ๋องเย่ก็มีคนพลุกพล่านเช่นนี้ใช่หรือไม่เพคะ?”
“มีคนไม่มากที่กล้าไปที่หน้าประตูจวนของข้า”
“แล้วตอนที่หม่อมฉันไปมีคนเยอะหรือไมเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นจำอะไรไม่ได้มากนัก และพบว่าความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมค่อย ๆ จางหายไป
“เยอะ เรื่องเยอะ แต่นั่นไม่สำคัญสำหรับข้าเลยจริง ๆ ข้าหวังเพียงว่าจะจะให้อวิ๋นอวิ๋นไปในเวลานั้น”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่ามีเรื่องหนึ่ง นางจึงถามว่า:“ท่านอ๋องทรงมีเรื่องเล่าหรือไม่เพคะ?”
“มีมากมาย แต่ข้าจำได้แค่เรื่องที่ข้าถูกแอบดูตอนอาบน้ำ และข้าก็โยนคนออกไปด้วยความโกรธ”
“แล้วล้มหรือไม่เพคะ?”
“หลังจากที่โยนออกไปก็ไม่เห็นอยู่เดือนสองเดือน” หนานกงเย่กล่าวอย่างเฉยเมย
ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหัว เจ้าของร่างเดิมไม่คุ้มเอาเสียเลย คนแบบนี้ เจ้าของร่างเดิมยังจะชอบอยู่อีก
ฉีเฟยอวิ๋นนึกถึงหญิงสาวที่ไล่ตามดารานักแสดงในยุคปัจจุบัน
มันก็แค่นี้เท่านั้นเอง!