บทที่ 9 สวนหินแห่งการพนัน

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 9 สวนหินแห่งการพนัน

สถานที่พนันของเมือง A ไม่เหมือนสถานที่พนันในเมืองหลวง ถ้าเป็นสถานที่พนันในเมือง A จะเป็นของพวกมือใหม่ ถ้าพวกเขาไม่ได้รับรู้ข้อมูลมาก่อนหน้าจะไม่มีทางรู้เลยว่าที่นี่เป็นสถานที่แบบไหน เพราะสถานที่พนันนี้ตั้งอยู่ในร้านขายหยกที่ถนนโบราณ

ด้านหน้าร้านขายหยกจะมีเครื่องประดับที่ทำจากหยกอยู่มากมายหลายประเภท ส่วนสถานที่เล่นพนันจะอยู่ทางด้านหลังร้าน และจะมีช่องทางเข้าพิเศษให้พนักงานเป็นคนพาคนที่ต้องการเล่นพนันเข้าไปที่นั่นเท่านั้น ถ้าไม่ได้อยู่ในสายธุรกิจนี้ ก็จะไม่มีทางรู้วิธีที่จะเข้าไปข้างในได้เลย

หลังจากที่เดินไปตามทางในถนนโบราณ มู่หรงเสวี่ยได้เดินเข้าไปในร้านขายหยกขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่า ฟูหยูไจ่ ที่นี่ได้รับการตกแต่งด้วยสีที่ทำให้ดูโบราณและภายในร้านก็มีลูกค้าอยู่แค่ไม่กี่คน

เมื่อเห็นการมาของมู่หรงเสวี่ย เจ้าของร้านก็รีบกล่าวทักทายเธออย่างกระตือรือร้น “สวัสดีครับ คุณหนู ไม่ทราบว่าคุณชื่นชอบเครื่องประดับหยกรูปแบบไหนครับ? ผมขอบอกเอาไว้เลยนะครับว่า ร้านขายหยกของเราเป็นร้านเครื่องประดับหยกที่ใหญ่ที่สุดในถนนเส้นนี้เลย ร้านของเรามีเครื่องประดับหยกสำเร็จรูปตั้งแต่เกรดเอไปจนถึงหยกธรรมดาเลยครับ”

“เอ่อ… รบกวนคุณพาฉันไปที่ห้องหินหยกด้วยค่ะ” มู่หรงเสวี่ยตอบออกไปตรงๆ

เมื่อได้ฟังที่มู่หรงเสวี่ยพูดออกมา เจ้าของร้านถึงกับตกใจขึ้นมาทันที ถึงเขาจะมองออกว่ามู่หรงเสวี่ยเป็นคนรวยคนหนึ่ง แต่เธอก็ยังเด็กเกินไป แต่เดิม เขาก็ไม่ได้คิดว่าเด็กสาวคนนี้จะมาซื้อหินหยกอยู่แล้ว

เนื่องจากว่าโดยทั่วไปแล้วผู้ค้าหยกที่มายังห้องหินหยกส่วนใหญ่จะมีอายุประมาณ 40-50 ปี บางที เธออาจจะเป็นลูกสาวของตระกูลใดตระกูลหนึ่งที่อยากออกมาเที่ยวเล่นก็เป็นได้ แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นธุรกิจของคนอื่น เขาควรจัดการธุรกิจในส่วนของตัวเองให้ดีมากกว่า

เมื่อคิดได้ดังนั้น เจ้าของร้านจึงต้อนรับมู่หรงเสวี่ยด้วยรอยยิ้ม และเดินนำเธอเข้าไปยังห้องหินหยกในทันที

ทันทีที่มู่หรงเสวี่ยเดินเข้าไปในห้องหินหยก เธอรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่แตกต่างจากก่อนหน้านี้ได้อย่างชัดเจน

ห้องนี้มีพื้นที่ครอบคลุมประมาณ 1,000 ตร.ม และแสงไฟที่สว่างจ้ามาก นอกจากนี้ รอบๆยังมีกองหินมากมายตั้งอยู่ และหินแต่ละกองจะมีป้ายราคาติดอยู่ด้วย ถึงแม้จะมีคนมากมายเดินไปทั่วห้อง แต่พื้นที่ทางเดินตรงกลางนั้นกว้างมากพอให้คนหลายคนเดินได้ เธอจึงไม่รู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย

ในตอนที่มู่หรงเสวี่ยกำลังคิดว่าเธอควรจะเข้าไปที่ส่วนไหนก่อน จู่ๆรูม่านตาของเธอก็หดลงในทันที เอ๊ะ นี่เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงล่ะ?

เจ้าชายแห่งเมืองหลวง ชางกวนโม่ หนึ่งในห้าตระกูลหลักของโลกที่ลึกลับที่สุดในโลก!

ในชีวิตที่แล้วของเธอตอนที่เธอยังคบกับฟางฉีฮัว เธอเคยติดต่อกับเลขาชายของชางกวนโม่เพราะเธอไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะได้ติดต่อกับชางกวนโม่ด้วยตัวเอง แต่เธอก็ยังรู้สึกประทับใจในใบหน้าที่หล่อ คมเข้มและเย็นชาของอีกฝ่าย นอกจากคนในตระกูลมู่หรงแล้ว ก็มีอีกหลายคนที่รู้สึกอับอายกับเธอ

อย่างไรก็ตามตอนที่เธอได้เจอกับชางกวนโม่ตามลำพัง เขาก็เป็นคนที่ช่วยเธอเอาไว้โดยไม่มีเหตุผล เธอไม่รู้ว่านี่คือเจตนาของเลขาหรือชางกวนโม่ แต่ถ้าจะให้พูดตามตรงคือเธอจำเรื่องนี้ได้แม่นและไม่มีทางลืมเป็นอันขาด

เอาเป็นว่า ช่างเรื่องนั้นไปก่อนก็แล้วกัน คำถามที่เธออยากรู้ในตอนนี้คือ ทำไมคนอย่างเขาถึงมาอยู่ที่เมืองนี้ได้กันล่ะ?

เธอไม่คิดว่าในเมืองนี้จะมีความสำคัญอะไรที่ดึงดูดคนอย่างเจ้าชายแห่งเมืองหลวงมาที่นี่ได้เลย ฉันอยากรู้จริงๆว่าจะมีคนอยากจะเข้ามาหาเขามากขนาดไหนกันเชียว เดี๋ยวสิ ฉันเห็นสาวๆหลายคนพยายามเดินเข้ามาหาเขา แต่ก่อนที่พวกเธอจะได้เข้าใกล้เขา ดันมีสายตาดุดันส่งมาจากหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างเขาคอยหยุดพวกเธอเอาไว้ซะก่อน

เนื่องจากว่าในสถานที่แบบนี้มักจะมีผู้หญิงบางคนที่แต่งตัวสวยเป็นพิเศษเพื่อมาจับผู้ชายรวยๆไปเป็นสามี

ชางกวนโม่ยืนอยู่ข้างหญิงสาวที่เธอไม่รู้จัก แต่ดูจากชุดและท่าทาง ประกอบกับทัศนคติที่ทรงพลังแบบนั้นแล้ว เธอคิดว่าผู้หญิงคนนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน และก็ต้องตกใจไปพร้อมกัน มู่หรงเสวี่ยเตือนตัวเองให้ระวังตัวอยู่ตลอดและพยายามไม่เข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากเกินไป แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเธอในตอนนี้ คงไม่พอจะเป็นขี้ฟันของเขาได้

ในตอนที่มู่หรงเสวี่ยกำลังมองชางกวนโม่อยู่ จู่ๆอีกฝ่ายก็หันหลังกลับมาทางเธอพอดี เป็นจังหวะที่อีกฝ่ายเห็นว่าเธอกำลังจ้องเขาอยู่อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง!

ในตอนนี้ ร่างของชางกวนโม่ได้ปรากฏขึ้นในสายตาของมู่หรงเสวี่ย เขาอายุประมาณ 25 เห็นจะได้ ตัวสูงใหญ่ มีแสงสาดส่องลงมาที่ร่างของเขาบางๆ มันช่างบริสุทธิ์เหลือเกิน ขนคิ้วของเขายาวจนเกือบจะถึงจอนที่อยู่ข้างกรอบหน้า ดวงตาหรี่เล็กและแคบขึ้น ราวกับว่าเขากำลังโฟกัสไปที่ความสว่างของแสง มันเป็นระดับความสว่างที่ไม่น่าจะมีใครกล้ามองมันตรงๆ นอกจากนี้ปากบางๆของอีกฝ่ายยังดูบริสุทธิ์และเย็นชาเหลือเกิน

มู่หรงเสวี่ยแปลกใจเล็กน้อย เธอจ้องมองอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้พยักหน้าให้ชางกวงโม่หนึ่งครั้งแทนการกล่าวทักทาย

ถึงเธอจะรู้สึกขอบคุณที่อีกฝ่ายได้ช่วยเหลือเธอเอาไว้ในชีวิตที่แล้ว แต่เพราะตอนนี้เขายังไม่รู้จักเธอ… จริงด้วย เขายังไม่รู้จักฉันเลยนี่น่า แล้วแบบนี้จะให้ฉันเดินเข้าไปทักทายเขาได้ยังไงล่ะ?

ส่วนเหตุผลที่เธอทำแบบนั้นไม่ได้ เป็นเพราะอีกฝ่ายอาจจะคิดว่าเธอเข้าไปหาเขาเพราะมีเจตนาที่ไม่ดีอยู่ก็เป็นได้ เอาเป็นว่า เราค่อยไปขอบคุณเขาวันหลังก็แล้วกัน

ทันใดนั้น มู่หรงเสวี่ยเดินเข้าไปในพื้นที่ที่มีไว้สำหรับการเล่นการพนัน เธอไม่ได้เล่นการพนันเก่งเท่าไหร่ แต่ก็พอจะมีความรู้อยู่บ้าง

เห็นได้ชัดว่าผิวหินหยกนั้นเป็นเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น ในตอนนี้เธอพร้อมที่จะโฟกัสไปที่การมองแล้ว

มู่หรงเสวี่ยสุ่มหยิบหินหยกขึ้นมาหนึ่งชิ้น จากนั้นสายตาของเธอได้มองทะลุเข้าไปด้านในของวัตถุตรงหน้า

อันดับแรก มู่หรงเสวี่ยมองเห็นชิ้นหินสีขาวปรากฏขึ้นในสายตาของเธอ จากนั้นเธอก็มองลึกเข้าไปข้างในเรื่อยๆ ตอนนี้ มู่หรงเสวี่ยรู้สึกตึงเครียดเล็กน้อย เหงื่อกาฬมากมายผุดขึ้นมาบนหน้าผาก

จู่ๆก็มีประกายแสงสีแดงปรากฏขึ้น มันคือหยกสีแดงที่หายาก ถ้าเข้าไปมองใกล้ๆ เราจะเห็นความใสที่ไร้ซึ่งสิ่งปนเปื้อนใดๆ และมันดูสวยงามมาก เรียกได้ว่าเป็นเกรดระดับท็อปๆเลยก็ว่าได้

เธอโชคดีมากที่เสี่ยงหยิบหินหยกนี้มา แล้วก็ดันได้ของข้างในที่มีมูลค่ามาก เพราะถ้าเธอต้องลองสุ่มหยิบอยู่หลายครั้งเกรงว่าคุณหนูอย่างเธอจะสู้ไม่ไหว

มู่หรงเสวี่ยพยายามข่มความตื่นเต้นเอาไว้ในใจและเตรียมพร้อมที่จะลุกขึ้นยืนแล้วไปชำระหินหยกนี้ทันที

ในเวลาเดียวกัน เพราะเธอเพิ่งใช้พลังไปค่อนข้างมาก ทำให้ตอนที่ลุกขึ้นยืนแล้วรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาทันที ในตอนที่เธอกำลังที่จะเซล้มลงไปที่พื้น จู่ๆแขนที่แข็งแรงก็เอื้อมมาโอบเธอไว้ แขนแกร่งล็อกเข้าที่เอวเธอพอดี และกันไม่ให้เธอล้มลงไปที่พื้น

มู่หรงเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมามองและพบว่าชางกวนโม่กำลังจ้องมองเธอด้วยสายตาพราวเสน่ห์ เหมือนหลุมดำโบราณที่กำลังดูดเธอให้เข้าไปไม่มีผิด!

จู่ๆก็ควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจตัวเองแทบไม่อยู่ เธอเหมือนกับลูกกวางน้อยที่กำลังกระโดดโลดเต้นไปมาอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นพวงแก้มของมู่หรงเสวี่ยได้เปลี่ยนเป็นสีแดงโดยไม่ได้ตั้งใจ

ในตอนที่มู่หรงเสวี่ยเห็นว่าตัวเองยังอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย เธอจึงรีบลุกออกมาอ้อมแขนของเขาทันที

“อย่าขยับ ถ้าเธอยังไม่อยากล้มลงไปกองที่พื้น” น้ำเสียงอันไพเราะและทรงเสน่ห์เปล่งออกมาจากริมฝีปากบางของ ชางกวนโม่

ชางกวนโม่มองมาที่มู่หรงเสวี่ยที่อยู่ในอ้อมแขนของตัวเอง

ตอนนี้หน้าม้าของอีกฝ่ายยุ่งเหยิง แก้มขึ้นสีแดงระเรื่อและริมฝีปากแดงสดใสก็เปิดอ้าเล็กน้อยราวกับดอกบัวสีเขียว มีเสน่ห์และหาที่เปรียบไม่ได้ ประกอบกับท่าทางไร้เดียงสาที่ไร้การเสแสร้ง และร่างกายที่บอบบางนี้ทำให้หัวใจของเขาเกิดรู้สึกประหลาด…