บทที่ 10 สวนหินการพนัน (2)

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 10 สวนหินการพนัน (2)

“เอ่อ.. ขอบคุณนะคะ” มู่หรงเสวี่ยที่ไม่ตั้งใจให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ค่อยๆผละออกมาจากอ้อมแขนของชางกวนโม่ เธอไม่ได้ถามเหตุผลจากอีกฝ่ายว่าทำไมเขาถึงได้เข้ามาช่วยเธอ ทั้งๆที่คนอย่างเขาไม่จำเป็นต้องมาทำอะไรแบบนี้เลยด้วยซ้ำ

หลังจากที่คลายอ้อมแขน ชางกวนโม่ดูจะไม่ค่อยพอใจนัก เอวบางของมู่หรงเสวี่ยให้ความรู้สึก ‘อบอุ่น’ ราวกับหยก และทำให้เขารู้สึกถึงคำว่า ‘นุ่ม’ จนเกิดความรู้สึกประหลาดแผ่กระจายไปทั่วหัวใจ แค่สบตาเพียงครั้งเดียวก็ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยกับเธอ จนทำให้หัวใจเต้นรัวได้…

วันนี้ มู่หรงเสวี่ยแต่งตัวด้วยชุดเดรสลายปักสีฟ้าอ่อน ชุดนี้ช่วยเสริมให้ใบหน้าอันงดงามของเธอ ยิ่งดูเปล่งปลั่งและสดใสมากขึ้น ใบหน้าที่ไร้การแต่งแต้มของเธอใสสะอาดและบริสุทธิ์ราวกับคริสตัลผิวมันวาว จมูกโด่งเล็กน้อยยิ่งทำให้ดวงตาของเธอดูสดใสมาก

ทันใดนั้นหัวใจของชางกวนโม่ก็เต้นรัว จนเขาไม่สามารถควบคุมจังหวะหัวใจได้อีกต่อไป

“พี่ชายคะ เธอคือใครเหรอคะ?” ด้านข้างชางกวนโม่ หญิงสาวที่มากับเขารีบเดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างทั้งสองคนโดยเร็ว พร้อมกับเอ่ยถามด้วยเสียงดังฟังชัด เหมือนกับว่าเธออยากแสดงให้ทุกคนได้เห็นความไม่พอใจที่อยู่ในประโยคคำถาม

“ฉินเมิ่งหยาเธอไม่มีสิทธิ์เข้ามายุ่งเรื่องของฉัน” ฉินเมิ่งหยาเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลฉินแห่งเมืองหลวง ตระกูลฉินเป็นหนึ่งในตระกูลที่โด่งดังแห่งเมืองหลวง แน่นอนว่าเทียบตระกูลราชวงศ์ไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะความเป็นเพื่อนกันระหว่างคุณปู่ฉินกับตระกูลชางกวนแล้ว ฉินเมิ่งหยาที่สนิทกับคุณปู่ของเธอ ทำให้เธอสามารถตามชายหนุ่มไปได้ทุกที่ ขอเพียงแค่ให้เธอได้อยู่ข้างกายเขาก็พอแล้ว ส่วนชางกวนโม่ เขามองเธอแบบพี่น้องเท่านั้น

ฉินเมิ่งหยาเห็นสายตาที่ดุดันของชางกวนโม่ ถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ เธอไม่ได้เสแสร้งหรือแกล้งทำ แต่เธอกลัวเขาจริงๆ

ขอบอกเลยนะว่าในโลกนี้ ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งของเขาเลยสักคน ไม่ใช่เพราะเขารวยหรอก แต่เป็นเพราะพลังที่สุดยอดของเขาต่างหาก

ฉินเมิ่งหยาจดจำสิ่งที่คุณปู่คอยบอกไว้เสมอว่า ‘อย่าทำให้ชางกวนโม่หงุดหงิดเป็นอันขาด’ เพราะถ้ามีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น ตระกูลฉินจะไม่ช่วยเธอรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น

เธอรู้ดีว่าชางกวนโม่เก่งกาจมาก ด้วยเหตุนี้ ทำให้เธอได้แต่แอบชอบเขาอยู่ภายในใจ เฮ้อ.. มีผู้หญิงคนไหนไม่ชอบผู้ชายที่แข็งแกร่งบ้างล่ะ เธอเองก็ไม่ต่างจากผู้หญิงทั่วไป ถ้าไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ของคุณปู่ เธอก็คงไม่มีทางได้เข้าใกล้เขาขนาดนี้หรอก แล้วอย่างนี้จะให้เธอยอมให้ผู้หญิงคนอื่นมาแย่งเขาไปได้ยังไงล่ะ ฮึ่ย ยัยผู้หญิงคนนี้ นี่เธอรู้บ้างไหมว่าฉันต้องใช้ความพยายามมากขนาดไหนถึงจะได้อยู่ข้างกายเขาน่ะ??

เมื่อกี้เธอกำลังคุยกับเขาอยู่ แต่กลับเห็นว่า จู่ๆเขาก็เดินตรงไปหาเด็กสาวคนนี้แล้วสวมกอดเธอให้อยู่ในอ้อมแขนของตัวเอง หัวใจของเธอพลันรู้สึกได้ในทันทีว่าต่อไปจะต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่ๆ เพราะเธอไม่เคยเห็นใครได้แตะต้องตัวของ ชางกวนโม่มาก่อนเลย ขนาดฉันเองก็ยังไม่เคยเลย แล้วแม่นี่เป็นใครกันถึงมีสิทธิ์แตะต้องตัวเขาแบบนี้ เธอ-เป็น-ใคร-กัน-ย่ะ!?

“คะ?” “ฮะ?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“ชื่อ” ชางกวนโม่เอ่ยถาม

“ม…มู่หรงเสวี่ยค่ะ!” มู่หรงเสวี่ยที่มีสติและรู้สึกสงบลงแล้วบอกชื่อของตัวเองกับเศรษฐีคนนี้ไป อ๊ะ เกือบจะนิ่งเป็นท่อนไม้ไปแล้วสิเรา! ไม่ไหวเลยเราเนี่ย!

“ฉัน ชางกวนโม่” ผู้ที่ไม่ได้ถูกถามชื่อกลับบอกชื่อของตัวเองให้อีกฝ่ายได้รู้เช่นกัน อ๋า มู่หรงเสวี่ยล่ะไม่เข้าใจความคิดของเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เลยจริงๆนะ

ฉินเมิ่งหยาที่ทำได้แค่ยืนนิ่งๆอยู่ข้างกายอีกฝ่ายใช้สายตาไม่พอใจจ้องมองมาที่มู่หรงเสวี่ย เหอะ! ถ้าเธอคิดจะสรรหาสารพัดเล่ห์กลมายั่วยวนพี่โม่ ฉันเองก็มีวิธีเป็นร้อยเป็นพันเพื่อกำจัดเธอเหมือนกันย่ะ!

ในเมืองนี้ เธอไม่เกรงกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น สำหรับตระกูลฉินแล้ว เรื่องพวกนี้มันก็แค่เรื่องขี้เล็บเท่านั้นแหละ!

มู่หรงเสวี่ยรู้ว่าสายตาที่ฉินเมิ่งหยากำลังมองมาดูไม่เป็นมิตร ดูเหมือนว่าความไม่ตั้งใจของชางกวนโม่จะทำให้เธอถูกเกลียดเข้าแล้ว…

“ฉินเมิ่งหยา ไม่ต้องเข้ามายุ่งเรื่องนี้ เธอเองก็รู้ดีว่า ถ้าฉันหงุดหงิดขึ้นมาแล้วจะเกิดอะไรขึ้น” แน่นอนว่าชางกวนโม่เองก็เห็นสายตาของฉินเมิ่งหยาเช่นกัน เขาจึงกล่าวเตือนเธออีกครั้ง

“พี่โม่ จะไม่ให้ฉันเข้ามายุ่งได้ยังไงละคะ? พี่รู้ไหมว่าเรารู้จักกันมานานแค่ไหนแล้ว? พี่โม่อ่ะแหละที่ต้องระวังพวกคนแปลกๆ พี่ไม่รู้เหรอว่าคนพวกนี้ก็แค่สนใจแค่ตระกูลชางกวนของพี่เท่านั้น” ฉินเมิ่งหยาตั้งใจพูดมันออกมาพร้อมกับจ้องไปที่ มู่หรงเสวี่ย

อย่างไรก็ตาม เธอคิดว่าถ้ามู่หรงเสวี่ยไม่เข้ามายุ่งกับ ชางกวนโม่ เธอก็จะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องของชางกวนโม่อีก ยังไง พี่โม่ก็ไม่ได้อยู่ที่เมืองนี้นานนักหรอก ในอนาคตพวกเขาทั้งสองไม่มีทางได้ติดต่อกันอีกแน่นอน!

“คุณชางกวน ฉันไม่รบกวนคุณแล้ว ฉันขอตัวไปดูหินหยกก่อนนะคะ” มู่หรงเสวี่ยพูดอย่างระวัง พระเจ้า! ฉันไม่อยากที่รบกวนเขาแล้ว ตอนนี้ขอตัวก่อนดีกว่า เดี๋ยวทุกอย่างก็จะคลี่คลายเองนั่นแหละ

โดยที่ไม่รอให้ชางกวนโม่ได้ตอบอะไรออกมา มู่หรงเสวี่ยรีบหยิบหยกแล้วเดินไปในทันที เนื่องจากหินหยกชิ้นนี้ ด้านในมีของดีอยู่ คนอย่างเธอไม่มีทางปล่อยให้มันหลุดมือไปได้ง่ายๆหรอกนะ

ฝ่ายชางกวนโม่ได้มองตามหลังมู่หรงเสวี่ยที่เดินจากไป จริงอยู่ที่เขาไม่ได้ตอบกลับอีกฝ่าย แต่สายตาของเขากลับหรี่ลงและจ้องมองเธอโดยที่ไม่ละสายตาไปไหนเลย

หลังจากนั้น มู่หรงเสวี่ยก็มองไปที่หินหยกมากมายที่วางอยู่บนโต๊ะ แต่เธอกลับไม่เห็นว่าจะมีหยกชิ้นไหนที่เป็นของดีอยู่เลย มันทำให้เธอเริ่มหมดกำลังใจเล็กน้อย เธอจึงตัดสินใจไม่หยิบมันอีก

ต่อมามู่หรงเสวี่ยลองสุ่มหยิบเศษหินขึ้นมา 5 ชิ้น รวมถึงชิ้นที่หยิบมาในตอนแรก เธออยากผ่ามันและเปิดดูว่าข้างในนี้มีของอะไรซ่อนอยู่? เธอจึงหยิบขึ้นมาเพิ่มอีก 2-3 ชิ้นเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย

“บอสคะ ฉันเอาชิ้นนี้ค่ะ แล้วก็คิดเงินมาเลยนะคะ” มู่หรงเสวี่ยยกหน้าที่คำนวณราคาให้พนักงานที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ชำระเงิน

สนามหินหยกแห่งนี้เป็นของชายวัยกลางคนธรรมดาๆคนหนึ่ง ผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็เรียกเขาว่า เหล่าหวัง เขาค่อนข้างรวย บางทีอาจเป็นเพราะเขาดูแลที่นี่มาตั้งนานแล้ว ผิวเขาจะค่อนข้างเข้มและใบหน้าได้รูป ทำให้เขาดูเป็นคนที่จริงใจกับคนอื่น

ในตอนที่เหล่าหวังเห็นว่ามู่หรงเสวี่ยเป็นแค่เด็กสาวธรรมดาคนหนึ่ง เขาจึงคิดไว้ว่าเธอน่าจะเป็นลูกเศรษฐีที่ออกมาเที่ยวเล่นเท่านั้น และในตอนที่เขาเห็นหินหยกที่เธอเป็นคนเลือก ลักษณะของหินหยกนั้นไม่ค่อยมีคุณภาพเท่าที่ควร เพราะทุกชิ้นมีรอยแตกอยู่ แสดงว่าเธอจะต้องเป็นมือใหม่แน่นอน แต่เพราะหินหยกในร้านของเขามีราคาสูงทั้งหมด เขากลับคิดว่าอีกฝ่ายต้องไม่ใช่แค่เด็กสาวธรรมดา ถึงเขาจะเปิดธุรกิจนี้มานานแต่ก็ยังเชื่อในเรื่องของความซื่อสัตย์ แน่นอนว่าเขาไม่เอาเปรียบเด็กสาวคนนี้เด็ดขาด ใครมันจะไปทำเรื่องแบบนั้นกัน คงมีแค่คนโง่เท่านั้นแหละ

“กองหินหยกที่คุณหนูเลือกมาทั้งหมดราคา 2,000 หยวนต่อ 1 จิน และทั้งหมดนี้หนักประมาณ 380 จิน ก็เท่ากับว่ามันมีราคา 760,000 หยวน ไม่ทราบว่าคุณหนูสนใจจะจ่ายเป็นเงินสดหรือว่าโอนครับ?” เหล่าหวังเอ่ยถาม

“ถ้างั้น ขอเป็นโอนเงินก็แล้วกันค่ะ” มู่หรงเสวี่ยไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาแล้ว เธอโอนเงินสดจากบัญชีตัวเอง 760,000 เข้าบัญชีร้านในทันที เวลาผ่านไปไม่ถึงสองนาที เหล่าหวังก็หันมาบอกเธอว่าเขาได้รับเงินเรียบร้อยแล้ว

“คุณหนูต้องการให้ทางร้านตัดหินออกมาด้วยเลยไหมครับ?”

“ค่ะ ตัดเลยค่ะ” มู่หรงเสวี่ยหยิบหินชิ้นแรกออกมา จากนั้นก็หยิบออกมาอีก 2-3 ชิ้น โดยที่มีราคาถูกกว่าชิ้นแรก ส่วนเหตุผลที่เธอทำแบบนั้น เป็นเพราะคนอื่นจะได้ไม่เกิดความสงสัยในตัวเธอ และเธอเองก็อยากรู้ด้วยว่ามันจะเหมือนกับที่เธอเห็นก่อนหน้านี้หรือเปล่า

มู่หรงเสวี่ยเดินไปหาอาจารย์ตัดหินและพบว่ามีคนมากมายกำลังยืนล้อมรอบตัวเขาอยู่ กลายเป็นว่าเขากำลังตัดหินอยู่ และเจ้าของหยกก้อนนั้นคือชายอ้วนวัยกลางคน เขาแต่งตัวเรียบร้อย เกรงว่าเขาน่าจะเป็นช่างชำนาญเรื่องหยก ยิ่งฝุ่นแป้งจากการตัดหินเพิ่มมากขึ้นเท่าไร บรรยากาศรอบตัวก็ยิ่งตึงเครียดมากขึ้นเท่านั้น คุณลุงเจ้าของร้านหยิบผ้าขนหนูผืนหนึ่งขึ้นมาซับเม็ดเหงื่อที่ผุดออกมาตามใบหน้า

บอกได้ว่าสิ่งที่อาจารย์ตัดหินกำลังทำอยู่สามารถทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะไปเลย คงต้องบอกว่าลุงคนนี้โชคไม่ค่อยดีเท่าไรเลยจริงๆ

ทุกคนบอกว่าที่หินเหมือนจะมีรอย แต่พวกเขาก็เห็นว่าหินส่วนท้ายได้แตกไปแล้ว นอกจากมันจะไม่ใช่สีเขียวแล้ว มันยังไม่มีสีเขียวเลยแม้แต่นิดเดียว ตรงนั้นมีแค่ชั้นผิวใสๆบางๆที่จุดเริ่มต้นของรอยบากเท่านั้น ทั้งๆที่จริงๆแล้วพื้นผิวจริงควรจะเป็นสีเขียวต่างหาก