บทที่ 11 สวนหินการพนัน (3)

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 11 สวนหินการพนัน (3)

เมื่อเห็นผลลัพธ์ที่ออกมา ทุกคนที่กำลังตั้งตารอต่างก็ต้องถอนหายใจออกมากันเป็นแถบ เนื่องจากว่านี่คือการพนัน พวกเขาต้องลงเงินไปถึงสองล้านหยวน แต่แล้วก็ต้องเสียมันไปแบบไร้วี่แววว่ามันจะกลับมา

มู่หรงเสวี่ยเห็นว่ายังเหลือหินหยกอีกหนึ่งในสามที่ยังมีของที่งดงามสีเขียวอยู่ พระเจ้า สิ่งนี้ไม่ใช่มรกตสีเขียว เพราะรอยตัดของมันบางมากๆ มู่หรงเสวี่ยแทบไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ เธอก็ยังสามารถมองเห็นสีสดใสของหยกที่อยู่ข้างใน มันช่างงดงามจริงๆ

“ช้าก่อนค่ะ! คุณขายหินหยกนี่หรือเปล่า?” เมื่อได้ยินคำถามของมู่หรงเสวี่ย ทุกสายตาต่างก็จับจ้องมาที่มู่หรงเสวี่ยเป็นตาเดียว เหมือนพวกเขาต้องการจะสื่อว่า นี่เธอโง่เหรอ? แต่สุดท้าย พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรแบบนั้นออกมา หรือทำผิดกฎของสวนหินการพนัน

ทันใดนั้น คุณเจ้าของก็หันมามองที่เธอเช่นกัน และหยกที่อยู่ตรงนี้ก็ได้กลายเป็นขยะไปโดยปริยาย เขามีความคิดที่จะใช้มีดทำลายมันซะ แต่อยู่ดีๆก็มีใครบางคนต้องการซื้อมันไป

หรือว่าในหินก้อนนี้ยังมีอะไรซ่อนอยู่อีกหรือ?

ในตอนที่เขาลองหันไปทางต้นเสียง เขาได้เห็นเด็กสาวหนึ่งคนที่เป็นแค่เด็กสาวธรรมดาคนหนึ่ง เธอไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง หรือบางทีเธออาจจะเป็นลูกเศรษฐีที่ไม่รู้จะเอาเงินไปใช้ที่ไหนก็เป็นได้

“นี่ สาวน้อย เธอเรียกฉันว่าคุณกู่แล้วกันนะ ฉันซื้อมันมาในราคาสองล้านหยวน แต่มันถูกตัดไปสองในสามแล้ว แต่ถ้าเธออยากได้จริงๆ ฉันจะขายให้เธอถูกๆเลยแล้วกัน ห้าแสนหยวน เธอสนใจไหม?” คุณเจ้าของใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ได้ตัดสินใจที่จะรับข้อเสนอ ยังไงเขาก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมันอยู่แล้ว อย่างน้อยเขาก็ได้เงินคืนมาบ้างก็ยังดี

ในตอนที่ชำระเงินเสร็จเรียบร้อย หินหยกนี้ก็ได้ตกเป็นของมู่หรงเสวี่ยในทันที แต่ถึงอย่างนั้น คุณเจ้าของวัยกลางคนยังไม่ไปไหน เพราะเขาเองก็อยากรู้ว่าส่วนที่เหลือของหินก้อนนี้ยังมีของมีค่าอะไรอยู่อีกหรือเปล่า?!

มู่หรงเสวี่ยบอกช่างตัดว่า “ตัดต่อได้เลยนะคะ ถ้ามันใช้ประโยชน์ไม่ได้จริงๆก็ไม่เป็นไรค่ะ”

เมื่อมู่หรงเสวี่ยอนุญาต ช่างตัดหินก็ลงมือกะเทาะเปลือกหินต่อทันที

ตอนนี้คนส่วนใหญ่ต่างแยกย้ายไปตามส่วนอื่นๆที่น่าสนใจมากกว่า เนื่องจากพวกเขาไม่ได้หวังว่าจะเจออะไรที่น่าสนใจจากหินก้อนนี้แล้ว

ครั้งแรกที่ใบมีดได้ตัดลงไปที่หิน จู่ๆก็มีบางอย่างปรากฏออกมา แต่มันก็เป็นแค่เศษสีขาวเท่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ทุกคนต่างถอนหายใจออกมาพร้อมกัน

ในระหว่างที่ทุกคนกำลังสิ้นหวังอยู่นั้น จู่ๆก็มีแสงสีเขียวสวยงามเปล่งประกายออกมา เป็นสีเขียวบริสุทธิ์โดยไม่มีอะไรเจือปน ช่างสวยงามไร้ที่ติจริงๆ ทุกคนต่างก็ต้องตกตะลึงไปกับสีเขียวที่ได้เห็น

“ว้าว พระเจ้า นี่มันมรกตชัดๆ นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้เจอมรกตที่เขียวที่งดงามขนาดนี้? ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นมรกตสีเขียวงดงามแบบนี้อีกครั้งในชีวิตนี้”

“แม่หนูคนนี้ช่างโชคดีจริงๆ!”

“นี่ๆๆ แม่หนู เธออยากขายมันไหม? ถึงยังตัดไม่เสร็จ แต่ฉันจะขอซื้อต่อจากหนูห้าล้านหยวนเลยนะ” เพราะเพิ่งจะตัดไปได้เพียงครึ่งหนึ่ง เขาจึงไม่รู้ว่ามันจะมีสีเขียวมากน้อยแค่ไหน

“เหล่าหวัง นี่เป็นถึงมรกตเขียวนะ ให้เธอแค่ห้าล้านหยวนจะไม่ดูไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือ ฉันให้สิบล้านหยวนเลย หนูสนใจไหม?”

“ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี มรกตนี้มีไว้ขายก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ตอนนี้ครับ หลังจากที่กะเทาะมันเสร็จแล้ว คนที่ให้ราคาสูงที่สุดจะได้มันไป ตกลงกันตามนี้ ต่อไปก็เชิญทุกท่านรับชมต่อได้เลยครับ”

ตอนนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคุณเจ้าของเสียดายมันมากขนาดไหน เพราะมันคือมรกตชั้นยอด จนทำให้เขาต้องรู้สึกเจ็บไปอีกนาน

เมื่อได้เห็นส่วนของมรกตที่เผยออกมาเล็กน้อย ดูเหมือนว่าสีเขียวของมันจะทำให้ผู้คนสนใจ ผ่อนคลายและมีความสุขขึ้นมาไม่น้อย สมแล้วที่ทุกคนต่างเรียกมันว่าสุดยอดมรกต

ตอนแรก เธอเองก็อยากกล่าวอะไรออกมาบ้างเช่นกัน แต่ตอนนี้ผู้คนต้องการชมมันมากเกินไป เธอจึงพูดอะไรได้ไม่ค่อยสะดวกนัก มิหนำซ้ำ มรกตนี้เด่นเกินหน้าเกินตาเธอไปมาก ทำให้คนอย่างเธอไม่สามารถรับมือกับพลังของมันไหว เธอจึงตัดสินใจว่าจะขายมันให้คนอื่น

เมื่อเห็นว่ามีคนมากหน้าหลายตายืนอยู่รอบๆตัวในตอนนี้ เธอจึงตัดสินใจว่าจะขายมันอย่างแน่นอน

“หึ ฉันขอเสนอหนึ่งร้อยแปดสิบล้านหยวน”

“ฉันเสนอสองร้อยล้านหยวน” มรกตเม็ดนี้มีขนาดใหญ่เทียบเท่าลูกฟุตบอล มันสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้โดยการทำเป็นสร้อยข้อมือ จี้ และเครื่องประดับอื่นๆได้อีกมากมายหลายชิ้น และสร้อยข้อมือแต่ละเส้นก็มีมูลค่าไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยล้านหยวน คิดๆดูแล้วมูลค่าของมันก็น่าจะอยู่ที่ประมาณหนึ่งพันล้านหยวน เห็นจะได้

“ฉันเสนอสามร้อยล้านหยวน” พ่อค้าหยกหลายคนถึงกับแย่งกันเสนอ

“หนึ่งพันล้านหยวน ฉันขอซื้อมันเอง!” น้ำเสียงเย็นชาของชางกวนโม่ดังขึ้น

หนึ่งพันล้านหยวน คนที่ได้ยินต่างปิดปากเงียบ โอ้โห เสนอราคาขนาดนี้ พ่อหนุ่มจะไม่ได้กำไรอะไรเลยนะ ถึงพ่อค้าหยกคนอื่นๆจะไม่ค่อยพอใจกับราคานี้สักเท่าไร แต่การที่จะมีเงินถึงพันล้านหยวนไม่ได้ทำกันง่ายๆ และแน่นอนว่าพวกเขาต่างไม่กล้าเสนอราคาขนาดนั้นเลยด้วยซ้ำ

ฝ่ายมู่หรงเสวี่ยที่ได้ยินก็ตกตะลึงเช่นกัน เธอคิดว่าอย่างมากก็คงขายได้ประมาณสี่ร้อยล้านหยวน คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะขายได้มากกว่าหกร้อยล้านหยวน อย่างไรก็ตาม สำหรับการซื้อมรกต เงินหนึ่งพันล้านก็ไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ แต่เพราะมรกตเขียวเป็นของที่หายากมาก ไม่แปลกใจเลยที่จะขายได้ในราคาสูงขนาดนี้ ยังไงอีกฝ่ายก็รวย เงินแค่นี้คงหามาได้ไม่ยาก

ไม่นานเงินหนึ่งพันล้านหยวนก็เข้ามาในบัญชีของ มู่หรงเสวี่ย เงินเข้ามาเร็วมาก เธอจึงมอบมรกตให้กับชางกวนโม่ไป

ไม่กี่นาทีต่อมา ทหารติดอาวุธมากมายก็ได้บุกเข้ามาแล้วเดินนำทางชางกวนโม่กับฉินเมิ่งหยาให้ออกไป และก่อนที่จะก้าวออกไปจากร้าน ชางกวนโม่ได้ยื่นนามบัตรและบอกให้เธอติดต่อไปหาเขาด้วย แต่ถ้าชางกวนโม่ไม่ได้มองเธอด้วยสายตาที่มีเลศนัย มันก็คงจะดีกว่านี้

ฝ่ายฉินเมิ่งหยาที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เดินกระทืบเท้าดังตึงตังตามอีกฝ่ายไปแบบไม่พอใจสุดๆ

ส่วนคุณเจ้าของกู่ เขาเองก็รู้สึกไม่พอใจมากเช่นกัน เพราะเห็นว่ามรกตเขียวถูกชิงตัดหน้าไปแล้ว แต่ไม่ว่าจะยังไง ข้อเสนอของมู่หรงเสวี่ยก็เรียกได้ว่ายุติธรรมแล้ว ถึงเขาจะต้องมาเสียใจภายหลังแต่เขาก็ยังเป็นคนมีเหตุผลอยู่ดี

มู่หรงเสวี่ยเดินไปหาคุณเจ้าของแล้วบอกเขาว่า “คุณกู่คะ ฉันจะโอนเงินให้คุณหนึ่งร้อยล้านหยวนแทนคำขอบคุณก็แล้วกันนะคะ” อันที่จริงมู่หรงเสวี่ยเองก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย เธอเองก็เหมือนจะโกงอีกฝ่ายอยู่นิดหน่อย ถึงได้รู้ว่าหินก้อนนี้ไม่ธรรมดา แต่จะให้เธอบอกอีกฝ่ายว่าเธอมีความสามารถด้านการมองก็คงจะไม่ได้เช่นกัน ดังนั้น การให้เงินอีกฝ่ายเป็นการตอบแทนนับเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว

“ไม่ๆ ไม่ต้องหรอก เงินนั่นเป็นของเธอ แม่หนูเอ๋ย ฉันรับมันไว้ไม่ได้หรอกนะ” คุณเจ้าของกู่ส่ายหน้า ถึงเขาจะตื่นเต้น แต่เขาก็เป็นคนที่ซื่อสัตย์มาก ถึงตอนนี้เขาจะเผชิญกับปัญหาเรื่องเงินอยู่ก็ตาม แต่เขาก็รีบปฏิเสธอีกฝ่ายเพื่อรักษาเกียรติและศักดิ์ศรีของตัวเองไว้

มู่หรงเสวี่ยตกใจมากที่เห็นว่าอีกฝ่ายปฏิเสธน้ำใจของตัวเอง เพราะไม่ง่ายเลยที่จะมีคนปฏิเสธเงินจำนวนหนึ่งร้อยล้านหยวนจากตระกูลมู่หรง ถึงคุณเจ้าของกู่จะอยู่ในวัยกลางคนแล้ว เขาก็ยังดูเท่มากอยู่ดี แต่เพราะใบหน้าของเขามีร่องรอยของความโศกเศร้าอยู่ เธอคาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะปฏิเสธเธอง่ายๆแบบนี้

ในตอนนี้ มู่หรงเสวี่ยรู้สึกนับถือคุณเจ้าของกู่คนนี้มากจริงๆ “คุณเจ้าของกู่ค่ะ คุณพอจะมีเวลาสักครู่ไหมคะ? พอดีหนูมีเรื่องอยากจะปรึกษานิดหน่อยค่ะ” เมื่อเห็นว่าคุณเจ้าของกู่ยังยืนยันว่าจะไม่รับเงินเหมือนก่อนหน้านี้ เธอจึงไม่พูดถึงเรื่องเงินหนึ่งร้อยล้านหยวนกับเขาอีก

เนื่องจากว่าเธอมีความพร้อมที่จะสร้างธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่เพราะยังขาดบุคลากร และเธอเองก็ยังเรียนอยู่ จึงทำอะไรไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่นัก ถ้าเธอสามารถหาใครสักคนมาช่วยงานเธอได้ มันก็คงจะดีไม่น้อย ตอนที่เธอรู้นิสัยของคุณกู่ เธอจึงอยากลองขอร้องอีกฝ่ายดู

“อืม.. รับไปสิ นามบัตรของฉันเอง เอาไว้ถ้าสะดวกเธอค่อยโทรมาหาฉันก็แล้วกัน” คุณเจ้าของกู่ไม่ได้สนใจในตัว มู่หรงเสวี่ยมากนัก เพราะเธอยังเด็กอยู่

ท่าทางของเด็กสาวไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่นัก แต่เพราะเธอเพิ่งจะได้รับเงินหนึ่งพันล้านหยวนมาครอบครอง เธอก็แค่มีความสุขขึ้นมานิดหน่อย แต่เพราะเธอบอกกับเขาเองว่าจะมอบเงินให้เขาหนึ่งร้อยล้านหยวนโดยไม่ลังเลเลย แสดงว่าเด็กคนนี้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน

ในตอนนี้ มู่หรงเสวี่ยไม่กล้าหยิบหินหยกชิ้นแรกที่เลือกเองขึ้นมา เพราะมันจะดูน่าสงสัยมากเกินไป เนื่องจากว่าเธอเพิ่งจะได้ครอบครองมรกตเขียว เธอจึงเลือกกะเทาะหินหยกสองชิ้นที่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษเท่านั้น

แน่นอนว่าข้างในนั้นไม่มีอะไรที่มีค่าเท่ามรกตเขียว เธอจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมากที่เห็นว่าพวกคนที่สงสัยในตัวเธอก่อนหน้านี้ ในที่สุดก็เชื่อแล้วว่าเธอเป็นแค่คนที่โชคดี แค่นั้นจริงๆ