บทที่ 12 กู่หมิง

มู่หรงเสวี่ย นำหินหยกกลับมายังอะพาร์ตเมนต์ของตัวเอง ในตอนที่เธอเหลือบไปเห็นนามบัตรที่อยู่ในมือตัวเอง เธอยิ่งรู้สึกว่าตัวเองช่างโชคดีจริงๆ เพราะเธอได้พบเจอกับว่าที่เจ้าของร้านจิวเวอร์รี่ทั้งหมดนั่นเอง

มู่หรงเสวี่ยเคยได้ยินชื่อเสียงของกู่หมิง กู่หมิงได้สร้างเนื้อสร้างตัวจากการพนันหินอย่างเมื่อกี้ สื่อมากมายเคยรายงานเรื่องความสำเร็จของเขาเช่นกัน

ตอนที่กู่หมิงได้มีสมบัติเป็นของตัวเองครั้งแรก เขาโชคดีมาก เพราะในตอนที่เขาตัดชิ้นส่วนของหยกเขียวหายาก เขาสามารถขายมันได้ในราคาสามสิบล้านหยวน เนื่องจากว่าหยกที่มีสีแบบนี้จะหายากมากและมีมูลค่าสูงกว่าหยกไร้สี เรียกได้ว่าหยกที่มีสีเขียวเหมือนแก้วจะเป็นหยกที่ดีที่สุด บอกได้เลยว่า กู่หมิงโคตรโชคดีเลย

หลังจากหามันพบหลายปีเข้า กู่หมิงก็มีชื่อเสียงในโลกของการพนันและหินมากขึ้น เขาจึงได้รับความนิยมจากผู้คนอย่างล้นหลาม

นอกจากนี้ กู่หมิงยังมีชื่อเสียงในเรื่องการเป็นนักธุรกิจที่ซื่อสัตย์มาก ถ้าจำไม่ผิด ดูเหมือนว่าเขาจะเลิกคบเพื่อนคนหนึ่งไปเพราะอีกฝ่ายหลงเชื่อเพื่อนอีกคน จนบริษัทของตัวเองต้องล้มละลายไปเพราะเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้พบกับชายผู้สูงศักดิ์คนหนึ่ง หลังจากนั้นอาชีพการงานของเขาก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ

ตอนที่มู่หรงเสวี่ยได้พบกับกู่หมิงที่ลานหินพนันก่อนหน้านี้ สีหน้าของเขาดูเศร้ามาก บวกกับเรื่องที่เธอได้ยินมาจากชีวิตที่แล้ว ในตอนนี้ กู่หมิงกำลังเผชิญกับการล้มละลาย แต่เพราะชายผู้สูงศักดิ์คนนั้นยังไม่ปรากฏตัวขึ้น พระเจ้าคงเข้าข้างเธอแล้วจริงๆ

มู่หรงเสวี่ยติดต่อไปหากู่หมิงทันทีตามข้อมูลที่ระบุเอาไว้ในนามบัตร เธอต้องการนัดกู่หมิง เพื่อเจรจารายละเอียดเพิ่มเติม ส่วนคำตอบคือ กู่หมิงตอบรับเธอโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทั้งสองฝ่ายตกลงพบกันที่ร้านอาหารหมิง

ในห้องที่ชั้นสองของร้านอาหารหมิง

กู่หมิงนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับมู่หรงเสวี่ย มู่หรงเสวี่ยรู้สึกได้ในทันทีว่าเป็นคนที่อยู่ตรงหน้าของเธอตอนนี้เป็นคนที่ตรงไปตรงมา อีกฝ่ายน่าจะมีอายุประมาณ 35 ปีเห็นจะได้ ส่วนสูงของเขาอยู่ที่ 1.75 เมตร ใบหน้าเขาเชื่อถือได้ อันที่จริงเขาไม่ได้ดูเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย

ถึงตอนนี้ กู่หมิงจะดูหดหู่มากกว่าก่อนหน้านี้ แต่เขาก็ยังส่งรอยยิ้มให้มู่หรงเสวี่ยในตอนที่เขาได้พบกับเธออีกครั้ง “ไม่ทราบว่าคุณมู่หรงอยากเจรจากับผมเรื่องอะไรครับ?”

“สวัสดีค่ะ คุณกู่ คือฉันสนใจหยกมาก ไม่รู้ว่าคุณกู่สนใจจะร่วมมือกับฉันไหมคะ?” มู่หรงเสวี่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม

กู่หมิงเห็นว่าน้ำเสียงของมู่หรงเสวี่ยฟังดูซื่อตรงและจริงใจมาก ถึงอีกฝ่ายจะยังอายุไม่มาก แต่เธอก็มีจิตใจกว้างขวางและวางตัวดี ผู้หญิงคนนี้จะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน

เพียงแค่ว่าเขาไม่รู้จักเด็กสาวคนนี้มาก่อนยกเว้นที่เจอกันที่ลานหินหยกก่อนหน้านี้ แล้วเขาก็ไม่ใช่คนดังอะไร เขาจึงค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อย “คุณมู่หรงล้อเล่นผมหรือเปล่าครับ เกรงว่าตอนนี้ผมคงช่วยอะไรคุณไม่ได้เพราะเหตุผลส่วนตัวบางอย่าง” ตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับคำว่า ‘ล้มละลาย’ อยู่

บริษัทของกู่หมิงกำลังอยู่ในช่วงขาดดุล ในตอนนี้บริษัทของเขาเหลือเงินอยู่แค่สามล้านหยวนเท่านั้น เมื่อวานเขารวบรวมความกล้าทั้งหมดใช้เงินไปสองร้อยล้านหยวน เพราะถ้าเขาสามารถหาหยกที่ดีที่สุดได้ บริษัทของเขาก็จะฟื้นกลับมาได้

น่าเสียดายที่ สุดท้ายมรกตสีเขียวก็ได้ออกมาจากหินหยกหลังจากที่ยกให้อีกฝ่ายไปแล้ว เหมือนกับว่ามันไม่ได้เกิดมาเพื่อเขายังไงอย่างนั้น แต่ถึงเขาจะเสียดายมันมากขนาดไหน เขาก็มีความคิดที่จะโทษคนอื่นเลย น่าเสียดายที่บางคนไม่มีโชคเรื่องนี้เลยจริงๆ

มู่หรงเสวี่ยพอใจกับความจริงใจของกู่หมิงมาก ถ้าจะให้เธอพูดตามตรงก็คือ กู่หมิงไม่ได้ดึงเธอให้เข้าไปพัวพันกับบริษัทของตัวเองด้วยเพราะบริษัทกำลังขาดดุล นอกจากนี้ กู่หมิงยังเลือกบอกความจริงกับมู่หรงเสวี่ยอีกด้วย

จากมุมของมู่หรงเสวี่ยที่ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ ทำให้เธอรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่เชื่อถือได้ ไม่สงสัยเลยที่ในชีวิตที่แล้วถึงแม้เขาจะกลายเป็นเจ้าของธุรกิจหยก แต่กลับไม่เคยมีข่าวเสียๆหายๆรั่วไหลออกมาเลยสักครั้ง

“คุณกู่คะ ฉันรู้ว่าตอนนี้บริษัทของคุณมีปัญหาเรื่องเงินทุนหมุนเวียนอยู่ แต่สิ่งที่ฉันสนใจคือความสามารถของคุณค่ะ และที่สำคัญที่สุดคือ นิสัยของคุณ คุณรู้ไหมคะว่า ตอนนี้ฉันมีเงินทุนไม่จำกัด ฉันไม่คิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะเป็นปัญหาใหญ่เลยค่ะ ฉันกำลังจะสร้างโรงงานหยกระดับโลก ดังนั้น ฉันถึงได้ต้องการคุณและเชิญชวนคุณมาเป็นหนึ่งในสมาชิกของบริษัทของฉันค่ะ”

ตอนนี้กู่หมิงอยากจะระเบิดหัวเราะออกมาจริงๆ สาวน้อยอายุ 15 คนนี้บอกเขาว่าอยากสร้างธุรกิจระดับโลก ทุกคนก็คงจะคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าขันมาก ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงหลายปีที่ผ่านมากู่หมิงเข้าใจความโหดร้ายของคู่แข่งในธุรกิจระดับโลกเป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม รอยยิ้มที่มุมปากของกู่หมิงยังไม่ทันที่จะได้เปิดกว้าง ก็ต้องหุบลงด้วยท่าทางที่มั่นใจและมั่นคงของ มู่หรงเสวี่ย มู่หรงเสวี่ยจริงจังมาก!

เป็นไปไม่ได้… นึกถึงตัวตนของอีกฝ่ายในฐานะคุณมู่หรงและรายได้ของเธอก่อนหน้านี้คือหนึ่งพันล้านหยวน อย่างน้อยเงินลงทุนในขั้นแรกก็มีมากพอให้เธอได้สร้างบริษัทได้แล้ว

อย่างไรก็ตาม เรื่องหยกไม่ใช่ว่าแค่มีเงินก็พอแล้ว ผู้ลงทุนต้องมีเหมืองหยกที่ดีด้วย “คุณมู่หรงหมายความว่าจะซื้อบริษัทแล้วจ้างผมอย่างงั้นเหรอครับ?”

“มันก็ต้องไม่ใช่อยู่แล้วค่ะคุณกู่! ฉันคงทนไม่ได้ที่จะเห็นคุณเป็นแค่เพียงพนักงานตัวเล็กๆ คือฉันหมายความว่าหลังจากที่ก่อตั้งบริษัทขึ้นมาแล้ว ฉันจะแบ่งหุ้นให้คุณ 20% และหน้าที่ของคุณก็คือการบริหารบริษัท ส่วนฉันจะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องแหล่งเงินทุนและหยกเอง คุณคิดว่ายังไงบ้างคะ?”

“นี่… คุณจะให้หุ้นผม 20% เลยเหรอครับ?!” กู่หมิงแทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“ค่ะ ทำไมคะ? หรือว่ามันน้อยไป?” มู่หรงเสวี่ยเลิกคิ้วสูง

“ไม่.. ไม่ใช่ครับ! ตั้ง 20%! มันจะน้อยไปได้ยังไงกันละครับ? แต่ผมแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณมู่หรงถึงได้เลือกคนอย่างผม… ทำไมล่ะครับ?”

แน่นอนมันเป็นเพราะเธอเคยอยู่ในชีวิตก่อนหน้านี้มาแล้วและโกงชีวิตมาเกิดใหม่อีกครั้ง ถึงมู่หรงเสวี่ยไม่ได้เข้าไปในชีวิตของกู่หมิง กู่หมิงก็จะได้เป็นเจ้าของร้านหยกอยู่ดี แต่ถึงอย่างนั้น มู่หรงเสวี่ยก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้อีกฝ่ายรู้

“นั่นก็เพราะฉันเชื่อวิสัยทัศน์ของตัวเองค่ะ แล้วฉันก็เชื่อในตัวคุณกู่ด้วยค่ะ!”

ความรู้สึกซาบซึ้งใจเกิดขึ้นในใจของกู่หมิง เนื่องจากว่าไม่เคยมีใครเชื่อมั่นในตัวเขามาก่อน ด้วยความศรัทธานี้ เขาจะทำงานอย่างหนัก เพราะตอนนี้เขากำลงจะล้มละลาย ถึงยังไง เขาก็ต้องเริ่มใหม่ทั้งหมดอีกรอบอยู่ดี แต่แค่ตอนนี้ กู่หมิงยังไม่รู้ว่าอีกไม่กี่ปี เขาก็จะได้มาอยู่กับมู่หรงเสวี่ย เขาจะอยู่ในจุดสูงสุดของโลก และในตอนนี้เขามีความสุขกับการตัดสินใจครั้งนี้อย่างมาก

“ตกลงครับ! ผมจะทำงานกับคุณ เห็นความจริงใจของคุณมู่หรงแล้ว คนอย่างผมจะปฏิเสธงานนี้ได้ยังไงล่ะ”

“ยินดีที่ได้ร่วมงานด้วยนะคะ! ส่วนบริษัทของคุณ คุณจะแยกหรือจะควบรวมเข้ากับบริษัทใหม่ของเราก็ได้นะคะ ฉันแล้วแต่คุณเลยค่ะ ถ้าคุณอยากที่จะแยกไปบริหารเองฉันก็จะช่วยคุณจัดการปัญหายุ่งๆทั้งหมด แต่เพราะฉันยังเป็นนักเรียนมัธยมอยู่จึงไม่มีเวลามาบริหารบริษัท ฉันคงต้องรบกวนคุณให้คอยช่วยดูแลเรื่องทุกอย่างในบริษัทไปก่อน แต่ถ้าหากว่ามีเรื่องสำคัญอะไรที่ต้องให้ฉันเป็นคนตัดสินใจ คุณสามารถติดต่อฉันได้ตลอดเวลาเลยนะคะ นอกจากนี้ ฉันจะคอยควบคุมอยู่เบื้องหลังเท่านั้น คือฉันไม่อยากเปิดเผยตัวตนแก่สาธารณะน่ะค่ะ”

“เรื่องนั้น ผมคิดว่าการควบรวมน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่านะครับ ถ้าผมต้องบริหารสองบริษัทเพียงลำพังคงไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไร แล้วบริษัทต้องตั้งชื่อใหม่ไหมครับ?”

อันที่จริง มู่หรงเสวี่ยหวังไว้ว่าเขาจะแยกบริษัท แต่เธอก็ไม่ได้ขัดอะไรอีกฝ่าย เพราะถ้าเขาเป็นคนเสนอเองน่าจะดีกว่า “ดีค่ะ! แล้วก็ ชื่อของบริษัท ฉันคิดเอาไว้แล้วค่ะ บริษัทของเราจะใช้ชื่อ ‘ เจวี๋ยลี่ (崛立) ’ ค่ะ หมายความว่าบริษัทของเราจะยิ่งใหญ่และก้าวไปสู่จุดสูงสุดของโลกได้ยังไงละคะ และโรงงานหยกจะใช้ชื่อว่า ‘เป่าหยู’ ตอนนี้ คุณสามารถจัดการเรื่องสำคัญต่างๆได้เลยนะคะ ฉันจะโอนเงินทุนเริ่มต้นสามร้อยล้านเข้าบัญชีของคุณก่อนก็แล้วกัน เอาไว้ ฉันจะคอยติดต่อกับคุณบ่อยๆนะคะ”

“ถ้าอย่างงั้นผมจะไปจัดการเรื่องพื้นฐานก่อนนะครับ อ้อ แล้วเรื่องแหล่งที่มาของหยกล่ะครับ? บริษัทใหม่จะต้องมีหยกที่ดีที่สุดเก็บไว้เป็นสมบัติบ้างนะครับ” กู่หมิงยังมีความกังวลเรื่องหยกมากที่สุด

“คุณไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องหยกหรอกค่ะ ตอนนี้ให้คุณไปจดทะเบียนบริษัทก่อน ส่วนฉันจะเตรียมทุกอย่างให้พร้อมภายใน 2-3 วันนี้เองค่ะ” เนื่องจากว่ามู่หรงเสวี่ยมีหยกที่เพิ่งซื้อมา โดยหยกทั้งหมดนี้เป็นหยกเกรดดีที่สุดเช่นกัน นอกจากนี้ หยกที่เธอครอบครองก็เพียงพอที่จะเป็นสมบัติของบริษัทแล้ว อีกอย่างเธอมีความสามารถด้านการมองเห็นดังนั้นเธอจึงไม่กังวลเรื่องหยกเลยสักนิด

หลังจากที่โน้มน้าวกู่หมิงสำเร็จ แถมยังมีเวลาให้ มู่หรงเสวี่ยได้แต่ทอดถอนใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยบริษัทของเธอก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างและใกล้จะเปิดในไม่ช้า ในที่สุดอาชีพการงานของเธอก็จะเริ่มต้นขึ้นสักที นี่มันมากกว่าที่คิดเอาไว้มาก

เสี่ยวเข่อลี่รู้ปริศนาลับในชีวิตที่แล้ว ส่วนมู่หรงเสวี่ยได้ตายจากไปก่อนที่จะได้รู้ แต่ร่องรอยที่ได้รู้มาก็เพียงพอที่จะทำให้เธอประหลาดใจได้ ตอนนี้เธอมาไกลมากพอและพร้อมสู้กับเธอแล้ว ดังนั้นเธอจึงต้องเร่งมือสักหน่อยแล้ว