ตอนที่ 494 - ภารกิจเสร็จสิ้น

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.494 – ภารกิจเสร็จสิ้น 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงปกติแล้วไม่ค่อยสนใจเรื่องที่มืด แต่เขาต้องมีตะเกียงชิ้นนี้ เนื่องจากมันจำเป็นต่อการบันทึกผลงาน ที่ใช้แลกเปลี่ยนเป็นแต้มสงคราม อีกอย่าง ถ้าตัดสินใจไม่ซื้อมัน คงจะแปลกเกินไป เขาไม่ต้องการดึงดูดความสนใจของคนอื่น ดังนั้นขอซื้อมา 2 ตะเกียง 

 

 

 

 

 

ชุ่ยหยางกับหลิวเยว่เองก็ซื้อมันเช่นกัน 

 

 

 

 

 

หลังจากจ่ายเงินฝ่ายละ 100 ล้าน ตามลำดับ หยางเป่ยก็เปิดประตูหน้า 

 

 

 

 

 

ประตูนี้ถูกออกแบบมาเพื่อผนึกสัตว์ร้ายไว้ด้านใน การเปิดมันในแต่ละครั้ง ใช่ว่าสามารถทำได้ในทันที ทุกครั้งที่ใช้งาน จำเป็นต้องระดมพลังงานธาตุมืดลงไปเสียก่อน เพื่อไม่ให้พวกสัตว์ร้ายจับสังเกตได้ จากนั้นค่อยปล่อยให้ผู้มาเยือนเข้าสู่ภายใน 

 

 

 

 

 

แน่นอน หากบังเอิญมีสัตว์ร้ายอยู่ใกล้กับประตู บุคคลที่เข้าไป จะรอด หรือพบเจอกับความตาย ก็ขึ้นอยู่กับโชคแล้ว 

 

 

 

 

 

เพราะก่อนมา ทุกคนย่อมตระหนักดี ถึงอันตรายของหุบเหวตอนเหนือ 

 

 

 

 

 

ทั้งสี่ก้าวเข้าไปพร้อมกัน แสงสว่างรอบตัวสลัวลงทันใด 

 

 

 

 

 

มีเฉพาะตะเกียงสำริด ที่เปล่งแสงเล็กน้อยออกมา ให้ความสว่างโดยรอบ 

 

 

 

 

 

ทว่าความมืดสลัวเหล่านี้ สำหรับฉินเฟิง มันไม่มีผลต่อเขาอย่างสิ้นเชิง 

 

 

 

 

 

เมื่อแนวสายตาเริ่มปรับสภาพ ก็สามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบได้อย่างชัดเจน 

 

 

 

 

 

มันคือหุบเขาที่ทอดยาวไร้ที่สิ้นุสด ไม่มีต้นไม้สูง กระทั่งพื้นดินยังเป็นสีดำ ไม่มีหญ้าสักต้นเดียว จากเบื้องหลังของฉินเฟิง เป็นกำแพงยักษ์ที่ทอดยาวออกไป ปิดกั้นพื้นที่แห่งนี้เอาไว้ 

 

 

 

 

 

กำแพงยักษ์ทั้งหมดอยู่ในระนาบเดียวกัน และด้านบนสุดของกำแพงยักษ์ จะมีการกางโล่พลังงานที่มักจะปรากฏเฉพาะในพื้นที่อยู่อาศัยระดับเมืองขึ้นไปเท่านั้น ทว่าโล่นี้ มีบทบาทการใช้งานแตกต่างจากในที่อื่นๆ มันใช้ในการปิดกั้นจากภายในสู่ภายนอก มิใช่จากภายนอกสู่ภายใน  

 

 

 

 

 

อีกทั้งแสงของโล่พลังงานยังเป็นสีดำสนิท ราวกับว่าโลกทั้งใบจมอยู่ในความมืดมิด 

 

 

 

 

 

เอี๊ยด … 

 

 

 

 

 

ปัง! 

 

 

 

 

 

ประตูปิดลง พลังงานโดยรอบแผ่กระจายออกไป นับร้อยเมตร ดึงดูดความสนใจของสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่นอนอยู่บนพื้น 

 

 

 

 

 

สัตว์ร้ายเหล่านี้มีรูปลักษณ์น่าขยะแขยง แต่ละตัวยาวประมาณ 2.5 เมตร ผิวหนังเปียกชื้นไปด้วยของเหลว ดวงตาเล็กขนาดเท่าเม็ดถั่ว แต่ครอบครองฟันที่แหลมคมเกินจริง แขนขาคลานอยู่กับพื้น หลังโก่งงอ  

 

 

 

 

 

สัตว์ร้ายขยับจมูกฟุตฟิต สักพักวิ่งมายังทิศทางของฉินเฟิง 

 

 

 

 

 

“มีเสียงอะไรบางอย่าง นายน้อยโปรดระวัง” หลิวเยว่ร้องเตือน ขณะเดียวกัน ก็เหลือบมองไปทางฉินเฟิง ในแววตาเผยร่องรอยของการดูถูก เฝ้ามองฉินเฟิงก้าวไปข้างหน้า 

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ ทั้งเนื้อตัวของฉินเฟิงกลับยังดูผ่อนคลาย 

 

 

 

 

 

“เห็นชัดไหม?” ฉินเฟิงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เพราะสถานที่แห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด ทั้งยังมีผลกระทบจากในการบดบังสายตาจากพลังงานอยู่บ้าง 

 

 

 

 

 

“อื้ม เห็นอยู่แล้ว” ไป๋หลีพยักหน้า เธอเป็นสัตว์ยักษ์มิติ ดังนั้นการบดบังนี้ ไม่อาจปิดกั้นสัมผัสรับรู้ของเธอได้ 

 

 

 

 

 

ทว่าระหว่างที่ทั้งสองสนทนา เหล่าสัตว์ร้ายก็วิ่งเกือบเข้าถึงตัวแล้ว! 

 

 

 

 

 

มันประชิดมาถึงระยะ 30 เมตร การปรากฏตัวของมัน ทำเอาชุ่ยหยางตกใจ จนเผลอตัว 

 

 

 

 

 

“อ๊า!” ชุ่ยหยางร้องอุทาน หลิวเยว่ชะงักงัน ก้าวสะอึกมาหยุดเบื้องหน้าชุ่ยหยางทันที เตรียมปัดป้องการโจมตี 

 

 

 

 

 

ขณะเดียวกัน แส้สีเงินพลันปรากฏขึ้นในมือไป๋หลี มันถูกสะบัดออกไป 

 

 

 

 

 

เพี๊ยะ! 

 

 

 

 

 

แส้ฟาดลงบนร่างของสัตว์ร้าย เนื้อหนังปริแตกทันที จากนั้น แส้ราวกับมีชีวิต ม้วนเป็นวง พันรอบศีรษะของศัตรู รัดจนตึงและ– 

 

 

 

 

 

–ฉัวะ! 

 

 

 

 

 

กระชากหัวของมันหลุดออกมาทันที เลือดสาดกระจายลงพื้น เจิ่งนองเป็นแอ่ง เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผืนดิน แต่หลังจากนั้นไม่นาน สีแดงบนพื้นก็ถูกเปลี่ยนเป็นสีดำอีกครั้ง 

 

 

 

 

 

ชุ่ยหยางกับหลิวเยว่ ตะลึงกับสิ่งที่เห็น 

 

 

 

 

 

พวกเขาไม่คิดเลย ว่าสัตว์ร้ายเลเวล C ที่ทรงพลัง จะจบชีวิตลงอย่างง่ายดายเช่นนี้ นับแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน ใช้เวลาแค่ไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น 

 

 

 

 

 

ทว่ายังไม่หมด ท่ามกลางความมืดมิด สัตว์ร้ายเริ่มปรากฏกายออกมามากขึ้น! 

 

 

 

 

 

ไป๋หลีสะบัดแส้ในมือ สัตว์ร้ายหลายตัวถูกทรมาณและสังหารทีละตัว  

 

 

 

 

 

นอกจากนี้ ฉินเฟิงและไป๋หลีไม่คิดหยุดฝีเท้า ทั้งสองยังคงก้าวลึกลงไปข้างใน ท่าทีราวกับกำลังเดินเล่นในสวน ไม่ตึงเครียดหรือตื่นตัวแม้แต่น้อย 

 

 

 

 

 

ชุ่ยหยางกับหลิวเยว่ไม่รู้คิดอะไร ตัดสินใจตามทั้งคู่ไป ทางฉินเฟิงก็ไม่คิดหยุดพวกเขา แต่ก็ไม่ช่วยป้องกันเช่นกัน 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงเดินเฉย ไม่คิดทำอะไร ระหว่างทาง สัตว์ร้ายยิ่งมายิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ โดยปกติแล้ว หากเป็นผู้ใช้พลังเลเวล C มาที่นี่ พวกเขาจะใช้วิธีเดินเลาะไปตามขอบกำแพง คอยเก็บศัตรูทีละตัวเท่านั้น 

 

 

 

 

 

แต่ปัจจุบัน ทีมฉินเฟิงกลับมุ่งหน้าเป็นเส้นตรง เดินมาตามทางไหล่เขา และเส้นทางก็เริ่มลาดเอียงลงเล็กน้อย บ่งบอกว่ากำลังลงลึกสู่ใต้หุบเหว 

 

 

 

 

 

“เอ่อ .. ผู้หญิงคนนี้ แข็งแกร่งถึงขนาดนี้ได้ยังไง” ชุ่ยหยางเฝ้ามองการเคลื่อนไหวทุกท่วงท่าและการกระทำของไป๋หลี เริ่มเปรียบเทียบกับตนเองว่าหากเป็นเขา คงทำไม่ได้แบบนี้ 

 

 

 

 

 

ในขณะที่ใบหน้าของหลิวเยว่เริ่มแดงปลั่ง เดิมเขาแทบอดทนรอไม่ไหวที่จะเข้ามาในพื้นที่แห่งนี้เพื่อสั่งสอนฉินเฟิง ก่อนหน้านี้เขายังหัวเราะฉินเฟิงกับไป๋หลีอยู่เลย แต่ตอนนี้ ไป๋หลีแค่สะบัดมือทีเดียว ก็สามารถกำจัดสัตว์ร้ายเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย 

 

 

 

 

 

ยังไม่พอ เพิ่งเข้ามาที่นี่ได้แค่ 30 นาทีเท่านั้น แต่จำนวนสัตว์ร้ายที่ไป๋หลีสังหาร ได้มาถึง 50 ตัวแล้ว! 

 

 

 

 

 

“ภารกิจของฉันเสร็จเรียบร้อย” ไป๋หลีกล่าว ขณะเดียวกันก็ปิดบันทึกวิดีโอในอุปกรณ์สื่อสาร 

 

 

 

 

 

“อ่าฮะ” ฉินเฟิงพยักหน้า ในที่สุดก็หันกลับมามองชุ่ยหยางกับหลิวเยว่ “แล้วพวกนายสองคน ไม่คิดจะทำภารกิจรึไง? ยังมัวรออะไรอยู่” 

 

 

 

 

 

ชุ่ยหยางไม่คิดหยอกล้อไป๋หลีอีกแล้วในตอนนี้ อีกฝ่ายสามารถสังหารสัตว์ร้ายเลเวล C ระดับสามัญได้อย่างง่ายดาย ชุ่ยหยางเกิดข้อสงสัย ว่าไป๋หลีอาจไม่ใช่ผู้ใช้พลังเลเวล C ก็ได้ 

 

 

 

 

 

‘ผู้หญิงคนนี้จะต้องเก็บงำความแข็งแกร่งเอาไว้แน่ๆ เธอมีพลังมากอยู่แล้ว และน่าจะมาทดสอบการรับรองทีหลัง กลยุทธ์ของเธอช่างร้ายกาจ ไม่ควรเข้าไปยุ่ง ไม่ควรอย่างยิ่ง!’ 

 

 

 

 

 

ผู้หญิงแบบนี้ ชุ่ยหยางสมควรเลี่ยงอยู่ห่างๆ เพราะท้ายที่สุดแล้ว หากฝ่ายหญิงแข็งแกร่งเกินไป แล้วยังไปล่อหน้าล่อตา ชุ่ยหยางอาจถูกเธอตบเอาได้ง่ายๆ! 

 

 

 

 

 

ทว่า ที่ชุ่ยหยางกลัวน่ะมีแค่ไป๋หลีเท่านั้น แต่ฉินเฟิง เขาไม่ได้กลัวซักหน่อย! 

 

 

 

 

 

“ทำไม? นายมีปัญหารึไง ก็ถนนมันมีเส้นเดียว ฉันแค่เดินตามมา ฉันจะไปที่ไหน ทำไมนายต้องสนด้วย” 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงพยักหน้า “ฉันไม่สนว่านายจะไปที่ไหนจริงๆ แต่ถ้านายยังเดินลึกลงมายิ่งกว่านี้ น่ากลัวว่านายจะไม่สามารถออกไปได้” 

 

 

 

 

 

“นี่แกหมายความว่ายังไง? คิดจะข่มขู่นายน้อยงั้นหรือ? คิดจะฆ่าเขา ต้องข้ามศพฉันไปก่อน!” หลิวเยว่ระเบิดแรงกดดันของตัวตนทรงพลังออกมา 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงยิ้มบาง “ก็แค่เตือนด้วยความหวังดี แต่ในเมื่อไม่เห็นคุณค่า งั้นฉันไม่สนใจแล้ว” 

 

 

 

 

 

ขณะกล่าว ในมือของฉินเฟิงปรากฏมีดเล่มหนึ่งขึ้นทันใด 

 

 

 

 

 

–มีดกษัตริย์คราม! 

 

 

 

 

 

ช่วงเวลานั้นเอง แสงสีม่วงแดงพลันลุกโชน ต่อมา ฉินเฟิงวาดใบมีดเฉือนขึ้นเบื้องบน ลำแสงพรั่งพราวทะยาน กระจายออกไปทันที 

 

 

 

 

 

ฉากนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงในระยะแค่ 30 เมตร แต่เกรงว่ากระทั่งสัตว์ร้ายในระยะ 300 เมตรก็ยังมองเห็นมัน 

 

 

 

 

 

ชุ่ยหยางตื่นตะลึง อ้าปากค้างกับฉากนี้โดยสมบูรณ์ 

 

 

 

 

 

“นี่นายบ้าไปแล้ว? อยากตายงั้นหรอ!” 

 

 

 

 

 

“นายน้อย รีบหนีเร็ว ไม่มีเวลามัวพูดไร้สาระกับคนแบบนี้แล้ว” 

 

 

 

 

 

หลิวเยว่คว้าไหล่ของชุ่ยหยาง ย่ำเท้าส่งแรงลงกับพื้น ระเบิดความเร็ว พุ่งถอยกลับไป 

 

 

 

 

 

“เอ๋? แต่ว่า … ” ชุ่ยหยางหันไปมองไป๋หลี เขาคิดจะพาไป๋หลีกลับมาด้วย ทว่ากลับเห็นแค่เพียงภายใต้แสงจรัสที่ฉินเฟิงปลดปล่อยออกมา มันมีสัตว์ร้ายสามัญกว่าหลายร้อยตัว กำลังโถมเข้าหาฉินเฟิง 

 

 

 

 

 

ใบหน้าของชุ่ยหยางกลายเป็นซีดขาวทันที มิกล้าเอ่ยคำใดอีก 

 

 

 

 

 

ทำได้เพียงหันหัวมองไปยังทิศทางของฉินเฟิง ต่อมา สิ่งที่เห็นก็ทำให้เขาแทบหยุดหายใจ 

 

 

 

 

 

แม้พบเผชิญกับศัตรูตรงหน้า แต่ฉินเฟิงกลับไม่ชักฝีเท้าถอย มีเพียงสองมือขยับไหว วาดคมมีดเข้าตัดสังหาร 

 

 

 

 

 

“มีดเปลวเพลิง!” 

 

 

 

 

 

ลำแสงสีแดงม่วงสาดปะทุ ยืดขยายออก สะบั้นร่างของสัตว์ร้ายเหล่านั้น ผ่ามันออกเป็นสองซีกทันที 

 

 

 

 

 

และด้วยแสงไสวที่เขาทำ มันก็ยิ่งทำให้สัตว์ร้ายสังเกตเห็น กรูกันเข้ามาปิดล้อมมากขึ้นเรื่อยๆ