ตอนที่ 493 - หุบเหวทางตอนเหนือ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.493 – หุบเหวทางตอนเหนือ 

 

 

 

 

 

“ที่แท้ก็เป็นนายน้อยชุ่ยหยาง โปรดรอสักครู่ ทางเราจะรีบจัดการให้คุณทันที” 

 

 

 

 

 

สกุลชุ่ย สำหรับเมืองเป่ยหัวแล้ว ค่อนข้างพิเศษเป็นอย่างมาก 

 

 

 

 

 

เดิมที พวกเขาเจิดจรัสราวกับดวงอาทิตย์ เนื่องจากมีตัวตนทรงอำนาจอย่างผู้ใช้พลังเลเวล A –ราชาอัคคีชุ่ยเหลียน 

 

 

 

 

 

ในชีวิตก่อนของฉินเฟิง ทุกคนในตระกูลล้วนโดดเด่น เปี่ยมไปด้วยเกียรติยศสูงสุด 

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครคาดคิดเลย ว่าจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ราชาอัคคีชุ่ยเหลียนจบชีวิตลง ส่งผลให้ตระกูลนี้ จากแต่เดิมเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองเป่ยหัว ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม 

 

 

 

 

 

แน่นอน ตระกูลชุ่ยยังคงมีบรรพชนเลเวล A อายุร้อยกว่าปีอยู่อีก ซึ่งนับเป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่ง เลยยังคงรักษาตำแหน่งของพวกเขาในเมืองหัวเป่ยเอาไว้ได้ 

 

 

 

 

 

ด้วยเหตุนี้ แม้เลเวล A คนหนึ่งจะเสียชีวิตลง แต่ภายในเมืองเป่ยหัว คนอย่างชุ่ยหยางก็ไม่ใช่คนที่เจ้าหน้าที่ธรรมดาๆจะสามารถล่วงเกินได้ 

 

 

 

 

 

“นายน้อยต้องการคนเพิ่มหรือไม่?” ผู้ใช้พลังเลเวล B ที่คอยติดตามชุ่ยหยาง มีชื่อว่าหลิวเยว่เอ่ยถามออกมา คราวนี้ทางตระกูลส่งตัวเขามาเป็นพิเศษเพื่อปกป้องชุ่ยหยางในการทำภารกิจรับรองตราเลเวล C 

 

 

 

 

 

“ไม่จำเป็น พวกเราไม่ได้ลงไปลึก แค่ตามสองคนนั่นไป” ชุ่ยหยางโบกมือและกล่าว  

 

 

 

 

 

“รับทราบ นายน้อยเชิญขึ้นรถ กระผมจะพาออกเมือง” 

 

 

 

 

 

ทั้งสองนั่งรถศึกล่องเวหา ใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงถึงพ้นอาณาเขตเมือง และออกสู่ภายนอก จากนั้นก็เปลี่ยนไปนั่งฮอลศึก 

 

 

 

 

 

เดิมทีพวกเขาคิดว่ามันคงง่ายที่จะไล่ทันฉินเฟิง แต่ไม่นึกฝันเลย ว่าแม้จะเห็นเงาอยู่ไกลๆ แต่ก็ยังไม่อาจไล่ตามได้ทัน ดูเหมือนว่าพวกฉินเฟิงจะครอบครองเครื่องจักรแรงม้าสูง ชุ่ยหยางเลยทำได้แค่ขับตามจากข้างหลังเท่านั้น 

 

 

 

 

 

อันที่จริงรถสายฟ้าสีเงินและฮอลศึกเมฆครามของฉินเฟิง ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งซื้อมา แต่เนื่องจากมันได้รับการปรังปรุงโดยโกวก๋วน สับเปลี่ยนเครื่องยนต์และอุปกรณ์ล่องเวหาใหม่ น่ากลัวว่าความเร็วของรถศึกและฮอลศึกในตอนนี้ มันอาจเทียบได้เลยกับรุ่นตัวท็อปในปัจจุบัน 

 

 

 

 

 

ภายในเมฆคราม ฉินเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะเขารับรู้ได้ว่ามีบางคนกำลังไล่ตามเขามา 

 

 

 

 

 

“ที่รัก จะเอาอย่างไรกับทั้งสองคนนั้นดี อยากให้เชือดทิ้งเลยไหม?” ไป๋หลีเอ่ยถาม 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงส่ายหัว “ไม่จำเป็น อย่าไม่สนใจเขา อยากตามก็ให้ตามมา” 

 

 

 

 

 

“อื้ม ตกลงตามนั้น เพราะพวกเขาเหมือนจะไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร” 

 

 

 

 

 

“ไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่อยากรู้อยากเห็น และกำลังน้ำลายสอในความงดงามของเธอ” ฉินเฟิงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ 

 

 

 

 

 

ระหว่างเมฆครามลอยลำอยู่ในอากาศ ถือว่าปลอดภัยชั่วคราว ต้องทราบนะว่า รอบบริเวณเมืองเป่้ยหัว ไม่ว่าจะทั้งทางบกหรืออากาศ ได้รับการเก็บกวาดจนเกลี้ยงแล้ว แต่หากเกิดเรื่องขึ้นล่ะก็ มันจะน่าสะพรึงกลัวมาก 

 

 

 

 

 

เพราะท้ายที่สุดแล้ว รอบๆนี้เต็มไปด้วยรอยแยกขนาดใหญ่ พวกมันมีจำนวนมากเกินไป จึงมิใช่สิ่งที่อุปกรณ์รักษาเสถียรภาพมิติธรรมดาๆจะรักษาความมั่นคงได้อีกต่อไป 

 

 

 

 

 

เมฆครามบินเหนือน่านฟ้านานกว่า 20 นาที จากในมุมสูง ในตำแหน่งที่ไกลออกไป สามารถมองเห็นแพงยักษ์ที่สูงกว่า 100 เมตร 

 

 

 

 

 

และสีของกำแพงนี้ มันดำสนิท 

 

 

 

 

 

“มาถึงแล้ว” 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงกล่าวพลางบังคับเมฆครามลดระดับลง 

 

 

 

 

 

หุบเหวทางตอนเหนือ ปรากฏขึ้นท่ามกลางหุบเขา เป็นรอยแยกมิติขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่หลายร้อยเมตร 

 

 

 

 

 

และจวบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่มีมนุษย์คนไหนค้นพบศิลามิติที่สามารถผนึกสถานที่แห่งนี้ได้ 

 

 

 

 

 

ดังนั้น พวกเขาเลยต้องใช้วิธีอื่นแทน 

 

 

 

 

 

ตัดสินใจปิดกั้นสภาพแวดล้อมโดยรอบของรอยแยกมิตินี้อย่างสิ้นเชิง ลงมือกระทั่งขุดย้ายภูเขาถมทะเล ก่อตั้งเป็นกำแพงสูงอันน่ายำเกรง ปิดล้อมพื้นที่ ที่ทำแบบนี้ ก็เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ร้ายจากรอยแยกมิติ เล็ดลอดออกมา 

 

 

 

 

 

เหล่าสัตว์ร้ายจากรอยแยกนี้ ไม่ใช่เผ่าพันธ์ทรงภูมิปัญญา ดังนั้น แม้จะมีรอยแยกมิติขนาดใหญ่เกิดขึ้นก็ตาม แต่หลังจากเข้าสู่มิติของโลก เมื่อพวกมันพบว่าพื้นที่ใช้สอยของที่นี่มีจำกัด ทรัพยากรไม่เพียงพอ ก็กลับไปยังโลกเดิม 

 

 

 

 

 

ด้วยวิธีนี้ ส่งผลให้สามารถสยบหุบเหวทางตอนเหนือมาได้เป็นเวลากว่า 30 ปีเต็ม 

 

 

 

 

 

บนกำแพงยักษ์สีดำ แผ่กลิ่นอายจางๆของรูนมืดนับไม่ถ้วน เจ้าสิ่งนี้เองที่บดบังสัตว์ร้ายต่างมิติ มิให้รับรู้ถึงสถานการณ์นอกกำแพง ถูกปกปิดเอาไว้เป็นอย่างดี 

 

 

 

 

 

ทางเข้าและออกมีเพียงประตูบานหน้าบานเดียวเท่านั้น และมันได้รับการพิทักษ์โดยทีมทหารชั้นยอด และหัวหน้าที่คอยปกป้องประตูนี้ เป็นถึงเลเวล B 

 

 

 

 

 

เมฆครามร่อนลงจอด คนเหล่านั้นกวาดตามองเพียงสั้นๆ  

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงกับไป๋หลีลงจากฮอลศึก จากนั้นหยิบตราผู้ใช้พลังเลเวล C ในตำแหน่งผู้การรัฐขึ้นมาติดบนอก และเดินไปที่ประตู 

 

 

 

 

 

“เข้ารับการทดสอบเลเวล C” 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงเปิดปาก จากนั้นก็ให้ไป๋หลีแสดงภารกิจที่ได้รับ 

 

 

 

 

 

“มีแค่พวกคุณสองคน?” ทหารขมวดคิ้วเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ไว้ใจในความแข็งแกร่งของฉินเฟิงและไป๋หลี 

 

 

 

 

 

“แค่สองคนก็พอแล้ว” ฉินเฟิงกล่าวตามตรง 

 

 

 

 

 

เหล่าทหารพอได้ยินคำตอบของฉินเฟิง บางคนก็เกือบหลุดหัวเราะออกมา แต่พวกเขาคร้านจะใส่ใจ 

 

 

 

 

 

“มีทีมหนึ่งเพิ่งเข้าไป ช่วยอดใจรอก่อน สามารถเข้าไปได้ครั้งละ 10 คน” 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงไม่ปฏิเสธ แค่ยืนรออย่างเงียบๆ หลังจากนั้นไม่นาน ชุ่ยหยางก็มาถึง 

 

 

 

 

 

ฝั่งชุ่ยหยางมีเพียง 2 คนเท่านั้น เดิมถือว่าไม่เพียงพอ แต่เห็นได้ชัดว่าผู้ใช้พลังเลเวล B ที่คอยเฝ้าประตู รู้จักชุ่ยหยาง และลูกน้องของตระกูลชุ่ยคนนี้ดี 

 

 

 

 

 

“สวัสดีนายน้อยชุ่ย , สวัสดีมิสเตอร์หลิว” 

 

 

 

 

 

“สวัสดีคุณหยางเป่ย” 

 

 

 

 

 

“นี่นายน้อยก็มาทดสอบตราเลเวล C ด้วยงั้นหรือ?” ในหัวใจของหยางเป่ยเกิดข้อสงสัย เหตุใดต้องมาทดสอบในเขตหุบเหวทางตอนเหนือของพวกเขา สภาพแวดล้อมที่นี่อันตรายขนาดไหน พวกเขาไม่รู้กันเลยหรือ? มันอาจตายได้เลยนะ 

 

 

 

 

 

“ใช่” หลิวเยว่กล่าว ขณะเดียวกัน ชุ่ยหยางก็หันไปสนทนากับฉินเฟิงกับไป๋หลี คราวนี้เมื่อมีหลิวเยว่อยู่ข้างกาย ชุ่ยหยางรู้สึกมั่นใจยิ่งขึ้น 

 

 

 

 

 

“สหาย นี่คงจะเป็นพรหมลิขิต” ชุ่ยหยางกล่าวด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงไม่คิดให้ความสนใจกับไอ้นายน้อยจากตระกูลร่ำรวยคนนี้ ต้องไม่ลืมนะว่า อีกฝ่ายรู้จักกับผู้ใช้พลังเลเวล B ที่เฝ้าประตู คนๆนี้คงมีสถานะบางอย่างในเมืองเป่ยหัว 

 

 

 

 

 

“มันเป็นพรหมลิขิตหรือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น นายรู้ตัวดีแก่ใจ” ฉินเฟิงตอบกลับอย่างไม่แยแส 

 

 

 

 

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า ฉันก็แค่ไม่อยากเห็นนายกับเธอเข้าไปตายตั้งแต่อายุยังน้อย อ้อ อีกอย่างฉันสามารถพาพวกนายเข้าไปได้นะ สนใจไหม? ฉันมีผู้ใช้พลังเลเวล B มาด้วย นี่น่าจะช่วยลดอันตรายลงได้” 

 

 

 

 

 

“ไม่จำเป็น” 

 

 

 

 

 

“อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธแบบนั้น ฉันอยากขอความเห็นจากน้องสาวคนงามบ้าง ฉันยังไม่รู้จักชื่อของเธอเลย!” 

 

 

 

 

 

แต่ช่างน่าสงสาร ที่ไป๋หลีไม่มีท่าทีคิดตอบคำถามของชุ่ยหยางเลย 

 

 

 

 

 

ทหารเลเวล B เริ่มเกิดความรู้สึกอึดอัด สีหน้าของหลิวเยว่เองก็กลายเป็นน่าเกลียดเล็กน้อย เขาเปิดปาก “อย่าทำเป็นเงียบ นายน้อยของฉันเจตนาดีจะช่วยพวกคุณ แม้จะไม่เห็นคุณค่าก็ตาม แต่อย่างน้อยสมควรเอ่ยชื่อทักทาย แบบนี้มันเสียมารยาท” 

 

 

 

 

 

ใบหน้าของฉินเฟิงกลายเป็นเย็นชา “ด้วยความแข็งแกร่งของคุณ ไม่คุ้มค่ากับมารยาทของผม” 

 

 

 

 

 

หน้าผากหลิวเยว่ขมวดเป็นริ้ว “เมื่อกี้ว่าอะไรนะ?” 

 

 

 

 

 

เป็นแค่เลเวล C กล้ามาอวดดีต่อหน้าเขา หลิวเยว่คาดไม่ถึงจริงๆ 

 

 

 

 

 

หยางเป่ยเมื่อเห็นสถานการณ์ไม่เข้าท่า ทั้งยังไม่ต้องการให้คนพวกนี้มามีปัญหากันหน้าประตู เพราะที่นี่มีโดรนสังเกตการณ์คอยสอดส่องอยู่ ไหนจะตราบนหน้าอกของฉินเฟิงที่เป็นสัญลักษณ์ของผู้ว่าการอีก หากเขาตายจริงๆ คงเป็นเรื่องยุ่งยากที่จะอธิบายกับทางพันธมิตรมนุษย์ให้เข้าใจ 

 

 

 

 

 

“เอาล่ะๆ พอทั้งคู่เลย เห็นแก่หน้าของชุ่ยหยาง ฉันจะเปิดประตูให้ล่วงหน้าเป็นอย่างไร? พวกคุณทั้งสี่คนเข้าไปก่อนแล้วค่อยคุยกัน” 

 

 

 

 

 

เมื่อเข้าไปยังหุบเหวทางตอนเหนือ เกิดความขัดแย้งใดๆ ก็สามารถลงมือแก้มันได้ด้วยตัวเอง! 

 

 

 

 

 

“ดีเลย!” ดวงตาของหลิวเยว่ทอประกายสังหาร ในทางตรงกันข้าม ชุ่ยหยางไม่คิดทำอะไร ก็แค่เจอผู้หญิงสวยๆ แล้วอยากทำความรู้จักสักเล็กน้อยก็เท่านั้นเอง แต่ตอนนี้บรรยากาศดันกลายเป็นน่าอึดอัดซะแล้ว 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงไม่ปฏิเสธ ขอแค่อนุญาติให้เขาเข้าไปได้ก็พอ 

 

 

 

 

 

หยางเป่ยหยิบของบางสิ่ง ที่มีลักษณะคล้ายตะเกียงสำริดโบราณขนาดเท่าสี่ฝ่ามือออกมา เอ่ยปากกล่าว “ไม่มีแสงสว่างภายในหุบเหวตอนเหนือ หรือต่อให้มีมันก็มืดเกินไป แต่อุปกรณ์รูนชิ้นนี้ สามารถให้แสงสว่างแก่บริเวณรอบๆได้ถึง 30 เมตร ทั้งยังมีผลเล็กน้อยในการช่วยขับไล่สัตว์ร้าย นี่เพื่อความปลอดภัยของคุณ และให้แสงสว่างพอที่จะบันทึกวิดีโอได้ คุณสามารถลงทะเบียนแต้มสงครามกับฉัน และใช้มันแลกเปลี่ยนทรัพยากรได้ แต่หากต้องการเจ้าสิ่งนี้ จะต้องจ่าย 50 ล้าน ลองตัดสินใจดู”