ตอนที่ 492 - มาถึงเป่ยหัว

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.492 – มาถึงเป่ยหัว 

 

 

 

 

 

หลังลอยผ่านเมืองกวงหมิง ใช้เวลาอีกครึ่งค่อนวัน พวกเขาก็มาถึงเมืองเป่ยหัวในที่สุด แน่นอน ว่าเรือเหาะของฉินเฟิงไม่สามารถเข้าสู่เมืองเป่ยหัวได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเทียบท่าอยู่ด้านนอก ปล่อยให้ฉินเฟิงนำผู้ร่วมประลองเข้าสู่เป่ยหัว 

 

 

 

 

 

เมืองเป่ยหัวใหญ่มากกว่าที่คิด ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างเดินชมเมือง สามารถเห็นได้ว่าธุรกิจของที่นี่ เจริญรุ่งเรืองมาก 

 

 

 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น การสังเกตว่าเมืองเจริญจริงๆหรือไม่ ส่วนใหญ่ให้มองดูจากผู้คน เหล่ารุ่นเยาว์พบว่าตลอดเส้นทาง ตั้งแต่ทางเข้าเมืองมา พวกเขาแทบไม่เห็นการดำรงอยู่ดั่งเช่นเมืองเก่าหรือย่านสลัมเลย 

 

 

 

 

 

สิ่งนี้ช่วยพิสูจน์ได้ว่า ในเมืองเป่ยหัว ชาวเมืองมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เบื้องหลังกำแพงสูง ผู้คนมิได้ถูกกดขี่ข่มเหง 

 

 

 

 

 

เรื่องแบบนี้ ในยุคโลกาวินาศ ถือว่าน่าเหลือเชื่อมาก 

 

 

 

 

 

แต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ก็ใครกันเล่า ที่คิดให้ตัวตนทรงอำนาจเลเวล A อย่างซางฮันมาประจำการที่นี่ กฏเกณฑ์ของเมืองเลยเข้มงวดเป็นธรรมดา 

 

 

 

 

 

เนื่องจากงานประลองลูกรักของพระเจ้าทางตอนเหนือ ทั้งสิบหกรัฐได้ประกาศรายชื่อมาแล้ว พวกเขาจึงเดินทางไปเช็คอินโรงแรมที่ได้ถูกตระเตรียมเอาไว้ให้ 

 

 

 

 

 

“แจกจ่ายคีย์การ์ดห้อง และถ้าไม่ติดอะไร ก็แยกย้ายได้ พวกนายจะไปฝึกฝนหรือช็อปปิ้งก็ตามใจเลย” ฉินเฟิงมอบคีย์การ์ดห้องให้แก่จิ่นเฟย จิ่นเฟยแจกจ่ายให้ทุกคน 

 

 

 

 

 

รุ่นเยาว์ตระกูลหยางเร่งกล่าว “ท่านผู้การรัฐ พอดีพวกเราอยากออกไปซื้อของ จะเป็นไปได้ไหมถ้าคุณช่วยพาพวกเราไป เพราะผู้ใช้พลังที่นี่ต่างก็แข็งแกร่งกันทั้งนั้น” 

 

 

 

 

 

หากมีตัวตนทรงพลังคอยปกป้อง พวกรุ่นเยาว์คงเดินเตร่ได้อย่างสบายใจ 

 

 

 

 

 

แนวสายตาของฉินเฟิงกวาดลงบนร่างของอีกฝ่ายและกล่าว “แล้วทำไมนายไม่ให้คนในตระกูลไปด้วยล่ะ? ฉันไม่ใช่พี่เลี้ยงเด็ก!”  

 

 

 

 

 

นายน้อยตระกูลหยางหน้าแดงทันที 

 

 

 

 

 

อันที่จริงแล้ว เขาคิดอาศัยความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างตระกูลของตนกับฉินเฟิง ดังนั้นเอ่ยปากชวนเดินเที่ยวเล่น เพราะท้ายที่สุดแล้ว ที่นี่คือเมืองเป่ยหัว! 

 

 

 

 

 

แต่เห็นได้ชัดว่าฉินเฟิงไม่มีความคิดจะเดินจูงเด็ก และนายน้อยตระกูลหยางคนนี้ ถือดีในตระกูลของตัวเองมากเกินไป แม้ความสัมพันธ์ของแต่ละฝ่ายจะดี แต่ฉินเฟิงชื่นชมในความคิดของตระกูลหยางเท่านั้น 

 

 

 

 

 

“แยกย้ายได้” ฉินเฟิงกล่าว 

 

 

 

 

 

เหล่ารุ่นเยาว์มองไปทางฉินเฟิงอย่างหวาดระแวง จากนั้นโค้งคำนับและถอยห่างไป 

 

 

 

 

 

จิ่นเฟยกล่าวอย่างนอบน้อม “ท่านประธาน ถ้างั้นฉันขอตัว” 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงพยักหน้า 

 

 

 

 

 

“ฉินเฟิง ฉันก็จะไปแล้ว” โจวฮ่าวกล่าว 

 

 

 

 

 

“ส่วนฉันต้องพาไป๋หลีไปตึกรับรองผู้ใช้พลัง ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น อย่าลืมโทรรายงานฉัน” ฉินเฟิงปฏิบัติต่อโจวฮ่าวแตกต่างจากคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด 

 

 

 

 

 

“เพ้ย! มันจะมีอะไรเกิดขึ้นได้ยังไงวะเพื่อน ฉันจะใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ที่สุด ถึงห้องก็เข้าไปฝึกต่อในสุสานเทพสงครามทันที ไม่มีเวลาเล่นเหมือนเจ้าเด็กพวกนั้นหรอก” โจวฮ่าวส่ายหัว “นายไปเถอะ ฉันลาล่ะ” 

 

 

 

 

 

โจวฮ่าวไม่คิดกล่าวมากความ เพราะเมื่อเทียบกับฉินเฟิงแล้ว อีกฝ่ายมีงานเยอะมาก ยังต้องคอยจัดการธุรกิจของกลุ่มทุกวัน  

 

 

 

 

 

แต่เด็กก็ยังคือเด็ก โจวฮ่าวไม่จากไปทันที เขาเข้าไปร่วมวงสนทนากับเหล่าอัจฉริยะ เพราะยากนักที่คนเก่งๆรุ่นราวคราวเดียวจะมารวมตัวกัน 

 

 

 

 

 

แต่หลังจากสนทนาไปสักพักหนึ่ง โจวฮ่าวก็พบว่าเขาคุยกันไม่ค่อยถูกคอกับคนอื่นๆ 

 

 

 

 

 

อัจฉริยะเหล่านี้ จริงอยู่ที่อายุยังน้อย มีพรสวรรค์ในการฝึกฝน แต่ส่วนใหญ่พวกเขามีแค่ความรู้ทางทฤษฏี และแทบไม่เคยได้ออกไปภายนอก 

 

 

 

 

 

ในขณะที่โจวฮ่าวต่างออกไป เขาไม่เพียงได้รับอิทธิพลจากฉินเฟิง แต่ยังออกไปรบข้างนอกเสมอ เพื่อกระตุ้นศักยภาพของตนเอง มีแค่ช่วงเวลาที่ฉินเฟิงไม่อยู่เท่านั้น ที่เขาต้องเข้ามาจัดการบางสิ่งบางอย่างของสถานชุมชนแทน 

 

 

 

 

 

สามารถกล่าวได้ว่าโจวฮ่าวคือคนที่ทรงพลังอย่างแท้จริง เมื่อก้าวเข้าสู่วงสนทนา เขาก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี 

 

 

 

 

 

แต่เมื่อยิ่งคุยก็ยิ่งพบว่า สิ่งที่รุ่นเยาว์พวกนี้ทำ ก็แค่พยายามฝึกฝนให้ดีที่สุดในที่ปลอดภัย เพื่อรีดเร้นพรสวรรค์ของตัวเองออกมา แม้วิธีแบบนี้จะได้ผล แต่โจวฮ่าวไม่เห็นด้วย 

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม การสนทนาในครั้งนี้ ยังทำให้โจวฮ่าวได้รับความรู้เพิ่มเติม ว่าทรัพยากรที่เขาได้รับ เมื่อเทียบกับคนอื่นๆแล้วมันเหนือกว่ามากจริงๆ 

 

 

 

 

 

ในอดีต แม้ฉินเฟิงจะไม่แข็งแกร่งเท่ากับในตอนนี้ แต่ทรัพยากรที่เขามอบให้แก่โจวฮ่าว กระทั่งรุ่นเยาว์จากตระกูลชั้นสูงยังเทียบเขาไม่ได้ ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องผลึกชีพจรธรณีเมื่อไม่นานมานี้ 

 

 

 

 

 

“คงมีแต่ต้องแข็งแกร่งเท่านั้น ฉันถึงจะสามารถก้าวตามฉินเฟิงได้ทัน ฉันจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง จะต้องตัดผ่านสู่เลเวล D ภายในหนึ่งเดือนให้จงได้!” 

 

 

 

 

 

… 

 

 

 

 

 

ระหว่างโจวฮ่าวตั้งใจฝึกฝน ทางฝั่งฉินเฟิงก็มิได้อยู่เฉย เขาได้รับตำแหน่งผู้การรัฐแล้ว ดังนั้นไม่จำเป็นต้องทดสอบเลเวล C ได้รับตราไปเลยโดยตรง อย่างไรก็ตาม ไป๋หลีมิได้ตราพร้อมกับเขา 

 

 

 

 

 

ดังนั้น เมื่อเดินทางมาถึงเมืองเป่ยหัว เลยแวะเวียนมาทำการทดสอบ 

 

 

 

 

 

หลังเริ่มทดสอบหลายอย่าง ไป๋หลีสามารถผ่านมันไปได้อย่างรวดเร็ว และเตรียมรับภารกิจล่าขั้นสุดท้าย 

 

 

 

 

 

“มีรอยแยกมิติที่ถูกทางเราปิดกั้นเอาไว้อยู่ห้าแห่งรอบเมืองเป่ยหัว คุณสามารถเลือกภารกิจล่าจากหนึ่งในรอยแยกเหล่านี้ จำนวนที่ต้องล่าคือสัตว์ร้ายเลเวล C ระดับสามัญ 50 ตัว หรือนายพลสัตว์ร้ายเพียง 1 ตัว” 

 

 

 

 

 

เมื่อผู้ใช้พลังก้าวไปถึงระดับสูง จำนวนล่าจากภารกิจที่พวกเขาได้รับก็จะยิ่งน้อยลง เนื่องจากสัตว์ร้ายเลเวล C ครอบครองความแข็งแกร่งที่น่าหวาดกลัวมาก 

 

 

 

 

 

“ที่รัก ฉันควรเลือกรอยแยกอันไหนดี?” ไป๋หลีหันไปมองฉินเฟิง 

 

 

 

 

 

“ทำไมไม่ลองไปที่หุบเหวทางตอนเหนือล่ะ” ตำแหน่งนี้คือหนึ่งในจุดที่มีสัตว์ร้ายทรงพลังที่สุด 

 

 

 

 

 

“โอเค งั้นฉันเลือกหุบเหวทางเหนือ!” ไป๋หลีกล่าวกับเจ้าหน้าที่บริการ 

 

 

 

 

 

เจ้าหน้าที่ขมวดคิ้วและกล่าว “คุณผู้หญิง หุบเหวทางตอนเหนืออันตรายมาก ฉันคิดว่าคุณควรเปลี่ยนไปที่อื่นจะดีกว่า” 

 

 

 

 

 

ไป๋หลีส่ายหัวและกล่าว “ที่ไหนก็ไม่ต่างกัน” 

 

 

 

 

 

“นี่ … ” 

 

 

 

 

 

เห็นได้ชัดว่าเจ้าหน้าที่รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เขาไม่อยากเห็นไป๋หลีเอาชีวิตไปทิ้งอย่างเปล่าประโยชน์ 

 

 

 

 

 

ในเวลานั้นเอง ผู้ใช้พลังเบื้องหลังฉินเฟิงก็เอ่ยขึ้นทันใด “พวกคุณรู้เรื่องของหุบเหวทางตอนเหนือรึเปล่า? นั่นคือสถานที่ที่น่ากลัวที่สุดในเป่ยหัว มันถูกปิดกั้นพื้นที่เอาไว้เมื่อ 30 ก่อนภายใต้การนำของอดีตผู้นำ” 

 

 

 

 

 

ระหว่างกล่าว ฉินเฟิงกับไป๋หลีก็หันหลังกลับไปมองอีกฝ่าย 

 

 

 

 

 

ดวงตาของผู้ใช้พลังคนนั้นสว่างไสวขึ้นทันใด มิอาจละไปจากไป๋หลี ก่อนหน้านี้มองเพียงแผ่นหลัง เขาก็รู้สึกว่าไป๋หลีช่างงดงาม ทว่าเมื่อได้เผชิญหน้าตรงๆ กลับสร้างความประทับใจไม่รู้ลืม เมื่อเธอหันมา เขาพบว่าเธองดงามอย่างไม่น่าเชื่อ 

 

 

 

 

 

ไม่ว่าจะเป็นผมหรือดวงตาก็ล้วนเป็นสีเงิน เดิมเขาสงสัยว่าผ่านการย้อมมารึเปล่า แต่หลังจากฝึกฝนเทคนิคกำลังภายในบางอย่าง มันก็มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้ร่างกายเกิดความเปลี่ยนแปลงอยู่เหมือนกัน 

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเพราะเหตุใด แต่ความงามอันน่าแปลกประหลาดนี้ ช่างชวนให้ผู้คนตกตะลึง 

 

 

 

 

 

“ที่นั่นมีกระทั่งสัตว์ร้ายเลเวล B อาศัยอยู่ และบางตัวเป็นถึงจักรพรรดิสัตว์ร้าย ไม่ควรเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไป มีโอกาสตายสูงมาก ฉะนั้นระวังตัวเอาไว้ดีกว่า” ชายคนนั้นได้สติ รีบยกหัวข้อขึ้นสนทนา 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว จากนั้นนำไป๋หลีมาหลบอยู่เบื้องหลัง 

 

 

 

 

 

“อ้อ ขอบคุณที่ช่วยเตือน แต่พวกเราตัดสินใจแล้วว่าจะไปที่นั่น” ขณะกล่าว ฉินเฟิงก็มอบการ์ดให้ไป๋หลีรับภารกิจ  

 

 

 

 

 

ไป๋หลีหันไปพูดกับเจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้พลังที่กล่าวแทรกยังคงไม่ยินยอมให้ทำเช่นนั้น “ทำไมนายถึงเป็นคนแบบนี้? นายกำลังจะปล่อยให้เธอไปตาย ทำแบบนี้นายจะได้รับประโยชน์อะไร? เธอเป็นแฟนนายไม่ใช่หรอ อย่าบอกนะว่านายจงใจ รอเธอตายแล้วฮุบสมบัติไปใช่ไหม! เจ้าคนชั่วร้าย!” 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงถูกก่อกวนด้วยเรื่องขบขันของอีกฝ่าย เริ่มรู้สึกไม่พอใจ “ถ้านายมีแฟนสวยแบบนี้ นายจะยอมปล่อยให้เธอไปตายไหม?” 

 

 

 

 

 

ชายคนนั้นเหลียวมองแผ่นหลังของไป๋หลี กระทั่งแผ่นหลังยังให้ความรู้สึกเจริญตา งดงามราวกับภาพวาดที่เคลื่อนไหวได้ 

 

 

 

 

 

“ต้องไม่ยอม!” 

 

 

 

 

 

“งั้นก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก เพราะฉันก็ไม่ยอมเหมือนกัน” ฉินเฟิงกล่าว 

 

 

 

 

 

“เรียบร้อย พวกเราไปกันเถอะ” ไป๋หลีกล่าว ส่งยิ้มให้ฉินเฟิง 

 

 

 

 

 

“อืม” 

 

 

 

 

 

ทั้งสองทำราวกับไม่มีผู้ใดอยู่รอบข้าง ควงแขนเดินจากไป ผู้ใช้พลังราวกับต้องมนต์ ติดตรึงอยู่กับรอยยิ้มอันน่าหลงใหลของไป๋หลี รู้สึกตัวอีกที ไป๋หลีกับฉินเฟิงก็หายไปแล้ว 

 

 

 

 

 

“บ้าจริง! ฉันก็จะไปที่หุบเหวทางตอนเหนือด้วย!” ผู้ใช้พลังวางการ์ดที่ได้รับการอนุมัติแล้วลงบนโต๊ะทำงานของเจ้าหน้าที่