ตอนที่ 672 ความเที่ยงธรรม
เดิมนั้นมีผู้ใช้วิชาปกครองอสูรไม่มากอยู่แล้ว และยิ่งเป็นระดับราชัน
ยุทธ์ยิ่งหาได้ยากยิ่งขึ้นไปอีก ที่ตำหนักจารึกเทวะ มีอยู่เพียงหนึ่ง
เดียวเท่านั้น
ตอนนี้ ผู้ใช้วิชาปกครองอสูรถูกสังหารโดยจอมราชันดวงดาวอสูร
มันหมายความถึงตำหนักจารึกเทวะไม่ต่างอะไรกับ ‘ไก่เหยียบขี้ไก่
ไม่ฝ่อ’ จนพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้มากมายเพียงนี้
ทันทีเมื่อครึ่งเซียนจากตำหนักจารึกเทวะได้ทราบข่าว ร่างกายของ
เขาถึงกับแทบซวนเซ
เวลานี้ ราชันยุทธ์ผู้ซึ่งใช้วิชาปกครองอสูรได้ตายจาก ทั้งยังสูญเสีย
ยันต์ราชันทำลายเขตแดนอันหาได้ยากมากล้ำไปจำนวนหนึ่ง สำหรับ
เขาแล้ว มันคือความสูญเสียครั้งใหญ่!
ครึ่งเซียนจากขั้วอำนาจอื่นย่อมยินดี กระนั้นพวกเขาไม่เผยออกทาง
สีหน้า มีแต่เปาเฉิงโฉ่วที่เผยยิ้มเด่นชัดที่ใบหน้า
“ดังคำกล่าว คิดลักขโมยไก่แต่กลับต้องเสียข้าว!” เปาเฉิงโฉ่วกล่าวคำ
“พวกเจ้านครเซียนยุทธภัณฑ์อย่าได้ใจไปนัก อย่าได้ลืมว่าฉินหยุน
ตกตายไปแล้ว!” ครึ่งเซียนจากตำหนักจารึกเทวะตะโกนกราดเกรี้ยว
“มันผู้นั้น ฉินหยุนผู้ซึ่งครอบครองจารึกวิญญาณอัคคีคลั่ง ทั้งยังมี
พรสวรรค์ทางวิถีจารึกสูงล้ำ ตอนนี้มันตายตกไปเป็นที่แน่นอนแล้ว
ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เปาเฉิงโฉ่วและคณะพลันต้องเผยสีหน้าโศกศัลย์กันออกมา
ฉู่ปินอวี้กล่าวคำอย่างโกรธแค้น “ทั้งหมดนั่นไม่ใช่เพราะเจ้าหรือ?
เป็นตัวบัดซบเช่นเจ้าที่คิดจัดการฉินหยุนครั้งแล้วครั้งเล่า หากเจ้าไม่
อัญเชิญดวงดาวอสูรนั่นมาเล่า? มันจะทำให้มีผู้คนต้องตายมากมาย
เพียงนี้เลยหรือ กระทั่งตัวตนอันล้ำค่าอย่างผู้ใช้วิชาปกครองอสูร
ขอบเขตราชันยุทธ์ยังตกตาย มันไม่ต่างอะไรกับโยนก้อนหินร่วง
หล่นกระทบหน้าตนเอง!”
“ไม่ว่าจะด้วยอะไร ข้าก็ต้องให้ฉินหยุนมันตาย! เป็นเพราะมันสังหาร
ศิษย์ร่างเซียนพวกเราไปถึงสาม ข้าย่อมไม่ปล่อยให้มันได้มีชีวิตรอด!
กระทั่งว่าพวกเราเสียหายหนักหนา ตราบเท่าที่ฉินหยุนตาย ก็ถือว่า
ยังได้กำไร!” ครึ่งเซียนจากตำหนักจารึกเทวะตะโกนดังตอบโต้
“หนึ่งในสามศิษย์ร่างเซียนเป็นข้า เจี้ยนหนันหู่ผู้นี้ที่ลงมือสังหาร!”
เจี้ยนหนันหู่กล่าวเสียงดัง “หรือจะเป็นว่าหัวที่ข้าโยนไปเมื่อสักพัก
นั้นไม่ใช่ศิษย์ร่างเซียน?”
“เจ้า…”
ครึ่งเซียนจากตำหนักจารึกเทวะรู้สึกโกรธเกรี้ยวจนถึงขั้นพูดไม่ออก
หากไม่ใช่เพราะเจี้ยนสือเทียนคุ้มกันที่ตรงนี้ เขาคงคว้าคอเจี้ยนหนัน
หู่พร้อมบีบให้แหลกเละเป็นแน่แท้แล้ว
“ว่าอะไร? เหตุใดไม่ส่งศิษย์ที่แข็งแกร่งออกมาอีกเล่า! ให้ข้าได้
สังหารพวกมันเพิ่มอีกสักคน! เหตุใดฉินหยุนสังหารศิษย์ร่างเซียน
ได้สอง แต่ข้ากลับได้เพียงหนึ่ง? ให้ข้าได้สังหารศิษย์ร่างเซียนสัก
สามคน เช่นนั้นจะได้ก้าวเหนือล้ำกว่าฉินหยุน!” เจี้ยนหนันหู่กล่าว
คำเสียงเย็น “ข้าต้องการเหนือกว่าฉินหยุน!”
“เจี้ยนสือเทียน ดูแลหลานชายเจ้าให้ดี!” ครึ่งเซียนจากตำหนักจารึก
เทวะกล่าว “หากมันยังกล้าพูดกล่าวคำใดอีก อย่าได้หาว่าข้าไร้
มารยาท!”
“คงเป็นเจ้าดูแลคนของเจ้าดีเลิศกระมัง พวกศิษย์ครึ่งเซียนเหล่านั้น
ต่างอหังการอวดดี! โดยเฉพาะหลู่หลิงเทียน มันผู้นั้นที่ถูกฉินหยุน
สังหาร กระทั่งคิดข่มขืนบุตรหลานตระกูลเจี้ยนของข้า!”
เจี้ยนสือเทียนย่อมมีโทสะต่อเรื่องนี้ “หากมันผู้นั้นยังไม่ตาย ข้าย่อม
ไม่มีทางให้พวกเจ้าคนใดได้รอดพ้นกลับไป!”
ทันใดนี้เอง ชายวัยกลางคนพลันกล่าวเสียงเบา “ผู้อาวุโส ผู้ใช้วิชา
ปกครองอสูรซึ่งพวกเราส่งไปต่างตายหมดสิ้น อย่างนั้นแล้ว… พวก
เราจะยังทำลายม่านพลังต่อหรือไม่ขอรับ?”
“ทำต่อ! กระทั่งว่าจอมราชันดวงดาวอสูรตายแล้ว ข้าก็ยังคิดอยาก
สับร่างมันเป็นชิ้นด้วยตนเอง!”
ชั่วเวลานี้ ครึ่งเซียนของตำหนักจารึกเทวะได้กราดเกรี้ยวอย่างถึง
ที่สุด เขามีแต่ต้องระบายโทสะภายในสู่จอมราชันดวงดาวอสูรแล้ว
เจี้ยนสือเทียนเข้ามาใกล้เปาเฉิงโฉ่วพร้อมกล่าวเสียงเบา “ลงมือกัน
เถอะ บางทีฉินหยุนอาจยังมีชีวิตอยู่ หากพวกเราเข้าไปได้เร็ว นั่น
หมายถึงมันยังมีโอกาสเป็นไปได้!”
เปาเฉิงโฉ่วพยักหน้ารับ
หลังจากนั้น ตำหนักเซียนดาบ นครเซียนยุทธภัณฑ์ วิมานเซียนปีศาจ
เกาะจันทราปีศาจ รวมถึงหานเฝิงหู่และครึ่งเซียนชุดสีเทา ต่างร่วมกัน
โจมตีม่านพลัง
การกระทำนี้ทำเอาครึ่งเซียนของตำหนักจารึกเทวะยิ่งกราดเกรี้ยว
ก่อนหน้านี้เขาร้องขอให้ช่วยเหลือทำลายม่านพลัง กระนั้นกลับไม่มี
ผู้ใดตอบสนอง
แต่แล้วตอนนี้ เพื่อช่วยเหลือฉินหยุนที่อาจยังมีโอกาส พวกเขากลับ
ร่วมใจกันโหมโจมตี
“ฉินหยุนมันตายไปแล้ว อย่าได้ฝันลมแล้ง!” ครึ่งเซียนจากตำหนัก
จารึกเทวะเอ่ยคำเสียงเย็น
เจี้ยนหนันหู่คิดไม่ต่างกันเท่าใดนัก แม้เขาไม่คิดให้ฉินหยุนตาย
กระนั้นเขาก็เชื่อว่าสมควรเป็นดังนั้น เพราะเขาคือผู้ที่ได้เห็นถึง
ความแข็งแกร่งของจอมราชันดวงดาวอสูรกับตาตนเอง
หลังจากจอมราชันดวงดาวอสูรสังหารผู้ใช้วิชาปกครองอสูร มันจึง
กลืนกินร่างอีกฝ่ายเข้าไป ก่อนร่างนั้นจะส่งต่อไปยังหัวใจอีกทีหนึ่ง
ฉินหยุนและเชี่ยวเย่ว์หลานอยู่ที่ภายในหัวใจ พวกเขาจึงได้รับแก่น
เต๋าอีกฝ่ายมาครอง
“วิญญาณยุทธ์ในแก่นเต๋านี้ค่อนข้างพิเศษนัก มันเป็นสีขาวบริสุทธ์ิ!”
เชี่ยวเย่ว์หลานกล่าว
“ใช่ สงสัยนักว่าเป็นวิญญาณยุทธ์ใด!” ฉินหยุนเร่งรีบใช้เคล็ดวิชาขัด
เกลาวิญญาณ ทำการแยกวิญญาณยุทธ์ภายในออกมา
ดังที่คาด วิญญาณยุทธ์นี้เป็นสีขาวบริสุทธ์ิ
“เสี่ยวหยุน ลองผสานรวมกับมันดู!” เชี่ยวเย่ว์หลานหัวเราะ “หาก
วิญญาณยุทธ์นี้มีความสามารถที่พิเศษ ข้าจะได้คัดลอกมันไว้!”
“ได้!”
ฉินหยุนเร่งรีบผสานรวมวิญญาณยุทธ์สีขาวเข้าสู่แก่นเต๋าตะวันทมิฬ
ของตนเอง
ไม่นานจากนั้น วิญญาณยุทธ์สีขาวจึงถูกวิญญาณยุทธ์ตะวันทมิฬ
กลืนกินโดยสมบูรณ์
วิญญาณยุทธ์ตะวันทมิฬสามารถกลืนกินวิญญาณยุทธ์สีขาวได้สำเร็จ
กระนั้นวิญญาณยุทธ์ตะวันทมิฬก็ยังคงเป็นสีดำ
หลิงหยุนเอ๋อคือวิญญาณเต๋าของตะวันทมิฬ ดังนั้นนางย่อมสัมผัสได้
ทันทีว่าฉินหยุนได้รับความสามารถใดจากวิญญาณยุทธ์ที่เพิ่งกลืนกิน
“นี่… หรือจะเป็นวิญญาณยุทธ์แห่งความเที่ยงธรรม?” หลิงหยุนเอ๋อ
เผยอาการประหลาดใจ
“ว่าอะไร? นามของวิญญาณยุทธ์นี้แปลกเกินไปแล้ว!” ฉินหยุนมึน
งงไปวูบ เขาจึงถาม “วิญญาณยุทธ์นี้มีความสามารถพิเศษอะไร?”
“ความสามารถของมัน คือการปลดปล่อยพลังแห่งความเที่ยงธรรม
มันสามารถเอาไว้สะกดข่มเหล่าวิญญาณร้ายได้”
“มันเป็นพลังงานพิเศษที่เอาไว้ใช้เพื่อสู้กับเหล่าวิญญาณร้าย! ให้
เปรียบเทียบ วิญญาณร้ายคือหญ้าแห้ง และพลังแห่งความเที่ยงธรรม
คือไฟ เพียงโยนสะเก็ดไฟ มันก็พร้อมที่จะลุกโชนโชติช่วง!”
“สำหรับความพิเศษจำเพาะ มันขึ้นอยู่กับผู้ใช้! โดยสรุป เมื่อเจ้าปลด
ปล่อยพลังของวิญญาณยุทธ์นี้ออกมา เจ้าจะสามารถรับมือกับวิญญาณ
ร้ายด้วยพลังอำนาจทำลายล้างสูงส่ง นอกจากนี้แล้ว วิญญาณร้าย
เหล่านั้นยังไม่อาจแทรกซึมสิงสู่กายเจ้า”
หลิงหยุนเอ๋ออธิบายไปพลางตื่นเต้นยินดี
ฉินหยุนเร่งรีบบอกเรื่องนี้ต่อไปยังเชี่ยวเย่ว์หลาน
เชี่ยวเย่ว์หลานพอได้ทราบ นางตื่นตระหนกพร้อมกล่าวคำออก
“เสี่ยวหยุน ปลดปล่อยพลังเต๋าเที่ยงธรรมออกมาสักจำนวนหนึ่ง ให้
ข้าลองดูว่าสามารถคัดลอกมันไว้ได้หรือไม่!”
ฉินหยุนใช้วิญญาณยุทธ์ตะวันทมิฬ สัมผัสถึงวิญญาณยุทธ์เที่ยงธรรม
และบังคับเอาพลังงานสีขาวบริสุทธ์ิหย่อมหนึ่งออกมา
เชี่ยวเย่ว์หลานยื่นมือเข้าสัมผัสพร้อมเกาะกุมมือฉินหยุนเอาไว้
“สำเร็จ!”
เชี่ยวเย่ว์หลานใช้ความพยายามระดับหนึ่ง จึงสามารถปลดปล่อย
พลังงานสีขาวบริสุทธ์ิเช่นเดียวกันนี้ออกมาได้
“เย่ว์หลาน เจ้าเหนือล้ำกว่าเย่ว์เหม่ยมากนัก ถึงขั้นสามารถคัดลอก
ความสามารถเฉพาะตัวของผู้อื่นได้โดยตรง” ฉินหยุนยิ้มกล่าวคำ
“เสี่ยวหยุน คงถึงเวลาที่พวกเราต้องออกไปกันแล้ว!” เชี่ยวเย่ว์หลาน
หัวเราะพร้อมสัมผัสที่ใบหน้าฉินหยุน
“อืม!”
ฉินหยุนดึงเชี่ยวเย่ว์หลานร่วมทาง ใช้ความสามารถเทวะทะลุทะลวง
ออกพ้นจากร่างของจอมราชันดวงดาวอสูร
เมื่อออกมาได้แล้ว ฉินหยุนยังคงถือแกนกลางดวงดาวเอาไว้ จาก
ภายนอก เขาสามารถควบคุมจอมราชันดวงดาวอสูรได้ผ่านแกนกลาง
ดวงดาว
ครืน!
เสียงดังสนั่นบังเกิดต่อเนื่องจากฟากฟ้า
“ม่านพลังกำลังจะแตกออก!” เชี่ยวเย่ว์หลานกล่าว ฉินหยุนเร่งรีบ
เก็บค้อนเทวะเก้าตะวัน พร้อมนำร่างจอมราชันดวงดาวอสูรเก็บไว้
ในไข่มุกเม็ดที่สองของวิญญาณเทวะเก้าตะวัน
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ม่านพลังเมื่อแตกสลาย คลื่นพลังงานรุนแรงจึงระเบิดเป็นหมู่เมฆ
เมฆพลังงานนับไม่ถ้วนได้เข้าปะทะกันและกัน เกิดขึ้นเป็นเสียงดัง
กึกก้อง เสียงฟ้าร้องและสายฟ้าพลันสว่างไสวฟาดลงสู่เบื้องล่างนับ
ครั้งไม่ถ้วน
ภายในม่านพลัง ยังคงมีศิษย์อยู่อีกจำนวนหนึ่ง
หลังจากได้เห็นม่านพลังพังทลาย พวกเขาจึงเร่งรีบบินขึ้นสูง
ฉินหยุนและเชี่ยวเย่ว์หลานติดตามกลุ่มศิษย์เหล่านี้เร่งรีบบินขึ้น
ท้องฟ้า
บรรดาผู้อาวุโสของแต่ละขั้วอำนาจที่เพิ่งทำลายม่านพลังได้ พวกเขา
ย่อมสัมผัสถึงศิษย์กลุ่มหนึ่งที่บินกลับขึ้นมา
“เป็นออร่าของฉินหยุน!” ฉู่ปินอวี้ตะโกนยินดี “ฉินหยุนยังไม่ตาย!”
หลายผู้คนต่างได้เห็นฉินหยุนบินออกมาพ้นจากกลุ่มเมฆสีดำหนาแน่น
เจี้ยนหนันหู่แทบไม่อาจเชื่อสายตาตนเองยามได้เห็นฉินหยุน
ผู้คนจากนครเซียนยุทธภัณฑ์ต่างตะโกนโห่ร้องยินดีกันคนแล้วคนเล่า
สีหน้าของครึ่งเซียนจากตำหนักจารึกเทวะกลับกลายเป็นอัปลักษณ์
ราวกับเขาเพิ่งกลืนกินสิ่งปฏิกูลร้ายแรงเข้าไป
เขาสร้างปัญหาไว้มากมาย ทั้งอัญเชิญดวงดาวอสูร กระทั่งส่งศิษย์
ร่างเซียนไปเพื่อจัดการฉินหยุน
กระนั้นตอนนี้ ศิษย์ร่างเซียนของตำหนักจารึกเทวะที่ส่งเข้าไปต่าง
ตายหมดสิ้น ผู้ใช้วิชาปกครองอสูรจำนวนหนึ่งก็ตายเช่นกัน แต่แล้ว
ฉินหยุน เขากลับยังอยู่ดีมีสุข
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกสิ่งอย่างที่ตำหนักจารึกเทวะทุ่มเทไปเพื่อจัดการ
ฉินหยุนจึงล้มเหลวหมดสิ้น เป็นพวกเขาเสียหายแต่เพียงฝ่ายเดียว
“ฉินหยุน เจ้าถึงขั้นไม่ตาย นี่ออกจะบ้าบอสิ้นดีเกินไปแล้ว!” เจี้ยน
หนันหู่เร่งรีบเข้ามากล่าวถาม
“เจ้าบอกข้าไม่ใช่หรือว่าห้ามตาย? และไม่ใช่เจ้าหรือที่บอกว่าจะ
เอาชนะข้า?” ฉินหยุนหัวเราะดัง “เจี้ยนหนันหู่ บุคคลหน้าโง่เช่นเจ้า
ยังมีชีวิตรอด แล้วข้าจะตายตกได้อย่างไรกัน?”
“ว่าอะไร ข้าหรือหน้าโง่? วาจาที่บัดซบยิ่งนัก!” เจี้ยนหนันหู่ที่ได้ฟัง
จึงมีโทสะ “ได้ ถือว่าข้าคิดค้างที่เจ้าช่วยเอาไว้ ครั้งนี้ข้าจะไม่ราวีเจ้า
ก็แล้วกัน!”
“ฉินหยุน เหตุใดเจ้าจึงไม่ตาย?” ครึ่งเซียนจากตำหนักจารึกเทวะ
ตะโกนเสียงดังมาแต่ไกล
เปาเฉิงโฉ่วและคณะเข้าถึงข้างกายฉินหยุนเพื่อคุ้มกัน
“เพราะ… เพราะข้ามีความสามารถหลบหนีอันสูงส่ง!” ฉินหยุน
หัวเราะกล่าว “อันที่จริง ข้าต้องขอบคุณตาเฒ่าที่ถือแส้หางม้าผู้นั้น
เดิมข้าถูกจอมราชันดวงดาวอสูรกลืนกินเข้าไป ทว่าตาเฒ่านั่นกลับ
ต่อสู้กับจอมราชันดวงดาวอสูร เป็นผลให้มันสำรอกเอาข้าออกมา
จากร่าง!”
“ไม่อย่างนั้น ข้าคงตายเป็นแน่แท้!”
ฉินหยุนจงใจกล่าวยั่วยุโทสะของครึ่งเซียนจากตำหนักจารึกเทวะ
“เจ้า… เจ้ามันสมควรตาย!” ครึ่งเซียนจากตำหนักจารึกเทวะมีโทสะ
จนถึงขั้นเกือบกระอักเลือดออกมา
“หากข้าสมควรตาย เช่นนั้นคงตายไปเรียบร้อยแล้ว!” ฉินหยุนหัวเราะ
รับ “สวรรค์คิดรับตัวผู้ใดไปย่อมต้องได้ ปุถุชนไม่อาจต่อต้านสวรรค์!”
สาเหตุว่าทำไมฉินหยุนจึงรอดชีวิต แท้จริงแล้วเป็นเพราะราชันยุทธ์
จากตำหนักจารึกเทวะ
เรื่องนี้ทำเอาหลายคนต้องหัวเราะอยู่ภายใน
ใบหน้าของผู้คนจากตำหนักจารึกเทวะฝ่ายที่คิดจัดการฉินหยุน ราว
กับเพิ่งกินสิ่งปฏิกูลเหม็นเน่าเข้าไป ใบหน้าพวกเขาแทบจะเขียน
กล่าวอักษรคำว่า “ขมขื่น” เอาไว้อย่างเด่นชัด
ครึ่งเซียนชุดสีเทาพลันกล่าวคำ “งานประลองยุทธ์รอบไม่เป็นทางการ
ถือว่าเป็นโมฆะ! พวกเราจะหารือถึงกระบวนการถัดไปในอีกหลาย
วันให้หลัง ดังนั้นโปรดอดใจรอรับฟังข่าวคราวจากพวกเรา!”
“พวกเราหวังว่ามันจะไม่มีเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นอีก!”
เปาเฉิงโฉ่วโล่งใจไม่น้อยยามได้เห็นฉินหยุนกลับมา เขาถึงขั้นยิ้ม
ออกจากใจจริง
ทางหนึ่ง เขาเป็นกังวลห่วงหาถึงฉินหยุน อีกทางหนึ่ง เขาเกรงว่าจะ
ถูกปิงชิงกล่าวโทษ
“กลับกันได้แล้ว!” เปาเฉิงโฉ่วตะโกนดัง
ก่อนฉินหยุนจากไป เขาหันมองทางกลุ่มศิษย์เกาะจันทราปีศาจ หนึ่ง
ในนั้นมีผู้สวมหน้ากาก เป็นเชี่ยวเย่ว์หลาน
ดวงตาของเชี่ยวเย่ว์หลานภายใต้หน้ากากเผยความยินดีตอบกลับมา
เป็นการบอกลาต่อเขา
เย่ว์ผูเฟิงกล่าว “แม้ข้าได้ประสบอันตรายมากมาย ทว่าผลการเก็บ
เกี่ยวการเดินทางครั้งนี้กล่าวได้ว่าวิเศษ หากไม่มีอันใดผิดพลาด ข้า
สมควรเข้าถึงขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับกลางได้ด้วยแก่นเต๋า
ดวงดาวที่ได้รับมา!”
“จริงด้วย! ตำหนักจารึกเทวะก็คล้ายจะทำอะไรดีเป็นบ้างเหมือนกัน!”
เจี้ยนรั่วหยานหัวเราะดัง
คำกล่าวเหล่านี้ ทำเอาสีหน้าของครึ่งเซียนตำหนักจารึกเทวะแทบบิด
เบี้ยวน่าเกลียดจนไม่อาจหาคำบรรยาย
เพราะศิษย์หลายต่อหลายคน หลังได้สังหารอสูรดวงดาวขนาดใหญ่
พวกเขาต่างรวบรวมแก่นเต๋าดวงดาวจำนวนหนึ่งมาครอง และตอนนี้
พวกเขารอดชีวิตมาได้ ดังนั้นย่อมจากไปพร้อมความยินดีอันท่วมท้น
ร่วมกับผู้อาวุโสของตนเอง