“ก่อนหน้านี้เหล่าสหายเคยพบสองสามีภรรยาฉางอวี้หรือ” หลังจากเงียบขรึมไปชั่วครู่ เยี่ยเทียนหยวนพลันเอ่ยปากถาม
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายใบหน้าเหลืองดุจเทียนไขเอ่ยว่า “ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดในจงหลางมีไม่น้อย แม้ว่าสองสามีภรรยาฉางอวี้จะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลาย ชื่อเสียงเกรียงไกร แต่พรรคหลิงเซียวอยู่ห่างไกลจากพรรคของพวกเรามาก ในอดีตมีการสมาคมกัน หากจะบอกว่าเคยพบกลับไม่เคย”
“เหล่าสหายมีภาพเหมือนของสองสามีภรรยาฉางอวี้หรือ ให้พวกเราสองสามีภรรยาดูได้หรือไม่” เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยอย่างราบเรียบ
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายสีหน้าเหลืองเหมือนเทียนไขมองผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายอีกคนที่หน้าขาวไร้หนวดแวบหนึ่ง
ผู้บำเพ็ญเพียรผู้นั้นเอ่ยว่า “ข้ามีภาพเหมือนของทั้งสอง แต่ยามนี้พลังปราณถูกรัดเอาไว้ จึงเอาออกมาไม่ได้”
เยี่ยเทียนหยวนดีดนิ้ว เชือกที่รัดผู้บำเพ็ญเพียรผู้นั้นอยู่พลันคลายออกเล็กน้อย
ผู้บำเพ็ญเพียรผู้นั้นสะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีเขียวมรกตสายหนึ่งบินออกมา ระลอกคลื่นเงาลำแสงปรากฏขึ้นกลางอากาศ เผยหน้าตาของผู้บำเพ็ญเพียรบุรุษหนึ่งสตรีหนึ่งออกมา
มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนมองภาพเหมือนกลางอากาศ สีหน้าแปลกประหลาดยิ่งขึ้น
แม้ว่าบุรุษและสตรีผู้นั้นจะอยู่ในระดับก่อกำเนิดขั้นปลายเหมือนกัน แต่ไม่ว่าหน้าตาหรือเสื้อผ้าก็แตกต่างกับทั้งสองเป็นอย่างมาก คนเหล่านี้ตาเป็นอะไร คาดไม่ถึงว่าจะจำคนผิด!
เงาภาพเหมือนกลางอากาศปรากฏออกมา ทุกคนพลันรู้สึกวิงเวียน กะพริบตาปริบๆ พลันตกตะลึง แล้วถลึงตาใส่พวกมั่วชิงเฉินพร้อมเอ่ยว่า “เอ๋ เหตุใดถึงไม่ถูก!”
มั่วชิงเฉินเบะปาก “คำนี้ควรจะเป็นพวกเราที่ต้องถามพวกเจ้า”
ความเงียบปรากฏขึ้น ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายสวมชุดสีดำเอ่ยขึ้น “แย่แล้ว พวกเราติดกับแล้ว!”
พลันหันหน้าดำคล้ำเครียดไปหาพวกมั่วชิงเฉินทั้งสอง “สหายทั้งสอง เมื่อครู่เข้าใจผิดจริงๆ ปล่อยพวกเรากลับไปได้หรือไม่ มิเช่นนั้นสำนักพวกเราคงจะถูกทำลาย”
เยี่ยเทียนหยวนมองเขาอย่างราบเรียบ แล้วเอ่ยเสียงนิ่งว่า “เพียงเอ่ยว่าเข้าใจผิดมาคำหนึ่ง ไม่ใช่เหตุผลที่ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป”
“เจ้า…” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่ใจร้อนคนหนึ่งร้องตะโกนออกมา สายตาเย็นชาของเยี่ยเทียนหยวนมองไป ชั่วขณะนั้นพลันเสียงสั่นระริก
มั่วชิงเฉินฉีกลอบยิ้มอยู่ด้านข้าง พูดถึงเรื่องการแสร้งตีหน้าหลอกผู้อื่น ศิษย์พี่นั้นเชี่ยวชาญมาก
เยี่ยเทียนหยวนเม้มปาก จ้องเขม็งไปยังทุกคนแล้วเอ่ยว่า “หากเมื่อครู่พวกเราสองสามีภรรยามีกำลังไม่พอ เวลานี้คงไม่มีโอกาสได้ฟังพวกเจ้าอธิบายว่าเข้าใจผิด ไม่ได้รับบาดเจ็บ ไม่ใช่เพราะพวกเจ้าคิดว่าพวกเราเป็นยอดฝีมือ ทุกท่านล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด เหตุผลเหล่านี้ไม่ต้องให้ข้าสั่งสอนกระมัง”
มองสีหน้ายากจะโต้แย้งของเยี่ยเทียนหยวน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายหน้าเหลืองเหมือนเทียนไขก็ถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยว่า “จากที่สหายกล่าว เรื่องนี้ควรจะจัดการอย่างไร”
“อย่างแรก เหล่าสหายต้องบอกให้ชัดเจน เหตุใดถึงเข้าใจพวกเราผิด อย่างที่สองบอกพวกเรามาว่าสำนักฉางซู่อยู่ที่ใด ยามนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร ยิ่งละเอียดเท่าไหร่ก็ยิ่งดี อย่างที่สามอาณาเขตเซียนคืออะไร อย่างที่สี่…” เอ่ยมาถึงตรงนี้ เยี่ยเทียนหยวนก็กวาดตามองทุกคนแวบหนึ่ง กุมมือของมั่วชิงเฉินเอาไว้ “เหล่าสหายต้องควักเงิน สมบัติอาคม โอสถวิเศษ ศิลาวิญญาณ และวัตถุดิบต่างๆ ออกมาปลอบขวัญภรรยาข้า”
มั่วชิงเฉินและทุกคน ล้วนมองเยี่ยเทียนหยวนด้วยสีหน้าดำคล้ำ
แน่นอนว่าสายตาของทุกคนถูกมองข้ามโดยอัตโนมัติ ดังนั้นสายตาจึงตกมาที่มั่วชิงเฉิน เยี่ยเทียนหยวนหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อย แล้วถ่ายทอดเสียงมาอย่างเงียบๆ ว่า “ศิษย์น้อง เจ้าไม่ได้คิดว่าศิษย์พี่ทำเช่นนี้เกินไปหน่อยกระมัง”
“ไม่ ข้ากำลังคิดว่า ศิษย์พี่แย่งคำพูดของข้าต่างหาก…”
เยี่ยเทียนหยวนได้รับคำสนับสนุนของมั่วชิงเฉิน ก็ปั้นหน้าใส่ทุกคน ดูแล้วเป็นเคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม…
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายหน้าเหลืองมีสีหน้าลำบากใจเมื่อถูกบังคับ เอ่ยอย่างใจดีสู้เสือว่า “เรื่องแรกที่สหายเอ่ยถึง พวกเราไม่รู้จริงๆ หากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกัน ก็คงไม่ติดกับดัก ทว่าพรรคหลิงเซียวมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตคนหนึ่งที่ไม่อาจคาดเดาความสามารถได้ เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาลวงตา เป็นฝีมือของเขาหรือไม่ก็ไม่รู้ ส่วนเรื่องที่สอง…”
เอ่ยมาถึงตรงนี้ก็มองสหายร่วมสำนัก
ทุกคนพลันพยักหน้าให้เขาน้อยๆ ใช้สายตาแสดงความคิดของตนเอง
มาถึงขั้นนี้แล้ว ก็พูดตามตรงเถิด
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายหน้าเหลืองมองพวกมั่วชิงเฉินด้วยแววตาประหลาดพร้อมเอ่ยว่า “ไม่ปิดบัง พวกเรา…เป็นศิษย์ของสำนักฉางซู่…”
“พวกเจ้านะหรือ” มั่วชิงเฉินเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
“ใช่แล้ว” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดหน้าเหลืองหัวเราะอย่างขมขื่น “ไม่ทราบว่าทั้งสองท่านมาสำนักฉางซู่เพราะเหตุใด คิดดูแล้วทั้งสองท่านคงเป็นผู้ที่มาจากนอกมหาสมุทรสินะ สำนักของพวกข้ากำลังยุ่งเลย หากมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์หรือหาสหาย ทั้งสองท่านก็จากไปเสียเถิด”
สำนักฉางซู่เป็นสำนักที่เฟื่องฟูที่สุดในจงหลาง ความรู้ครอบจักรวาล เปิดกว้างไร้ชอบเขต การเปิดม่านสนทนาวิถีพรตเป็นที่รุ่งเรืองมากในอดีต เป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรควรถามถึง
“มีผู้บำเพ็ญเพียรนอกมหาสมุทรมาจงหลางมากหรือ” มั่วชิงเฉินดูเหมือนจะเอ่ยถามอย่างสงบนิ่ง ในใจพลันรู้สึกตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญเพียงนี้ คนที่พบกลับเป็นผู้ที่อยู่สำนักเดียวกันกับฝูเฟิงเจินจวิน
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายหน้าเหลืองถอนหายใจออกมาเบาๆ “หลายปีก่อนหน้มีมากนัก ทว่าเมื่อสองร้อยกว่าปีก่อน อาณาเขตเซียนถือกำเนิดขึ้น ก็บังเอิญมาปรากฏขึ้นในสำนักฉางซู่ จึงดึงดูดผู้บำเพ็ญเพียรจากทั่วสารทิศ มามากมาย จงหลางจึงตกอยู่ในสงครามโกลาหล ผู้บำเพ็ญเพียรจากนอกมหาสมุทรจึงมาที่จงหลางน้อยลงมาก”
มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนพลันมองสบตากันแวบหนึ่ง
สองร้อยปีก่อนหรือ
ดูเหมือนว่ายามที่แดนสวรรค์มี่หลัวตูถือกำเนิด ก็คงเป็นยามนั้นกระมัง
หรือว่า อาณาเขตเซียนก็คือแดนวิญญาณสวรรค์เหมือนกับแดนสวรรค์มี่หลัวตู
ที่เทียนหยวน เป็นเพราะแดนสวรรค์มี่หลัวตูถือกำเนิด สงครามสามฝ่ายจึงสิ้นสุดลง ทั้งสามฝ่ายพรต มาร ปีศาจก็รักษาความสงบสุขและสำรวจลึกเข้าไปในดินแดนวิญญาณ ในจงหลางกลับเป็นเพราะอาณาเขตเซียนถือกำเนิดจึงตกอยู่ในสงคราม ช่างน่าถอนใจจริงๆ
“อาณาเขตเซียนคือแดนลับหรือ” เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยถาม
อาณาเขตเซียนคืออะไร ในจงหลางเรียกได้ว่าทุกคนต้องรู้ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายหน้าเหลืองย่อมไม่อาจปิดบังได้จึงเอ่ยว่า “ไม่ใช่แดนลับ เป็นอาณาเขตเซียนจริงๆ ทว่าไม่ใช่สิ่งที่ผู้บรรลุเซียนสู่สวรรค์หลงเหลือเอาไว้ แต่เป็นเซียนสันโดษสามคนทิ้งเอาไว้”
ครั้งนี้ พวกมั่วชิงเฉินทั้งสองถึงได้ตกตะลึงจริงๆ แล้ว
อาณาเขตเซียนนี้ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสิ่งที่เซียนสันโดษทิ้งเอาไว้!
ต้องเข้าใจว่าในทวีปแห่งเทพ ไม่ต้องพูดถึงเซียนสันโดษ ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตก็หาไม่ได้ พวกเขารู้ว่าเมื่อผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นบรรลุมาถึงระดับแยกวิญญาณ ก็จะทะยานเข้าสู่แดนวิญญาณ
เซียนสันโดษเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ล้มเหลวจากเคราะห์สวรรค์แล้วเปลี่ยนมาฝึกฝนจนประสบความสำเร็จ ในอดีตล้วนเป็นผู้ที่ไร้เทียมทานในแดนมนุษย์ ระดับของผู้บำเพ็ญเพียรในจงหลานเหนือกว่าทวีปแห่งเทพดังคาด คาดไม่ถึงว่าจะมีร่องรอยของเซียนสันโดษ
“สำนักฉางซู่มี่สี่ผู้ยิ่งใหญ่ แบ่งออกเป็น เวิน หลิ่ว เหอ จ้าว หนึ่งในนั้นตระกูลเวินมีบรรพชนผู้หนึ่ง นามว่าหนิงรุ่ย มีชื่อเสียงเรื่องรูปโฉม เป็นสตรีผู้งดงามหาที่เปรียบมิได้ แต่น่าเสียดายหนทางแห่งความรักของนางมีอุปสรรค มีบุพเพวาสนากับบุรุษสองคนที่มีภรรยาแล้ว ทั้งสามคนต่างพัวพันกันมาครึ่งชีวิต สุดท้ายก็เหนื่อยล้าจนทำให้การผ่านเคราะห์สวรรค์ล้มเหลว จนต้องกลายเป็นเซียนสันโดษอย่างช่วยมิได้ บุรุษสองคนนั้นก็เป็นคนที่ลุ่มหลงในรัก คาดไม่ถึงว่าจะทิ้งโอกาสบรรลุสู่สวรรค์ ยอมเปลี่ยนไปเป็นเซียนสันโดษอยู่ในแดนมนุษย์” ผู้บำเพ็ญเพียรหน้าเหลืองเอ่ยอย่างเชื่องช้า
จงหลางไม่เหมือนกับทวีปแห่งเทพที่การสืบทอดสาบสูญไป ตรงกันข้าม เคล็ดวิชาและวิชาลับๆ ต่างรวมทั้งเรื่องประหลาดในยุคโบราณต่างก็ถูกถ่ายทอดออกไป เดิมเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความลับอยู่แล้ว ยามนี้จึงเป็นเป็นเรื่องที่ทุกคนในอาณาเขตเซียนรู้หมดแล้ว
“ต่อมาล่ะ” มั่วชิงเฉินเป็นสตรี จึงอยากรู้กับเรื่องเช่นนี้เป็นอย่างมาก
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายหน้าเหลืองดูเหมือนว่าจะรู้สึกว่าสิ่งที่มั่วชิงเฉินถามเป็นเรื่องที่โง่เขลามาก จึงกวาดตามองหน้านางแวบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ต่อมาทั้งสามคนย่อมอยู่ด้วยกัน เป็นอิสระอยู่ในโลกมนุษย์ตั้งแต่นั้น”
มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก จนเกือบจะสำลัก
เช่นนี้ก็ได้หรือ ต้องโทษจิตใจของนาง คิดว่าบุรุษสองคนจะทำเรื่องเช่นการพลีชีพ เซียนหน้าตางดงามผู้นั้นต้องลำบากใจจนต้องอยากจะเอาตัวชนกับกำแพง
เยี่ยเทียนหยวนยิ่งตกตะลึงค้าง เอ่ยถามอย่างเหม่อลอย “สามคนหรือ” ถามไปพลางยื่นนิ้วสามนิ้วออกมายืนยันไปพลาง
มั่วชิงเฉินเห็นแล้วก็เอียงคอเงียบๆ ลูบเส้นเลือดสีเขียวที่ปูดออกมาที่ขมับ
ศิษย์พี่ เก็บสีหน้าของท่านหน่อยได้หรือไม่!
เราไม่อยากขายหน้าขนาดนั้น
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายหน้าเหลืองกระแอมไอออกมาสองครั้งแล้วถึงได้เอ่ยว่า “ทั้งสองท่าน ในจงหลาง ไม่ว่าบุรุษหรือสตรี ขอแค่มีพละกำลังและอีกฝ่ายยินยอม ก็สามารถแต่งงานได้หลายคนเป็นเรื่องปกติๆ แค่กๆ นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ…”
“เช่นนั้นเจ้าพูดมาตั้งนาน อะไรคือสิ่งสำคัญ” เยี่ยเทียนหยวนขมวดคิ้วแน่น สีหน้าไม่พอใจ
คิดในจว่า หากไม่สำคัญ เจ้าจะมาพูดจาซี้ซั้วต่อหน้าศิษย์น้องทำไมกัน!
ถูกปราณความเย็นชาที่ระเบิดออกมาจากเยี่ยเทียนหยวนทำให้ตกตะลึง ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายหน้าเหลืองถึงได้นึกว่าตอนนี้ตนเป็นนักโทษ จึงรีบร้อนเอ่ยว่า “เรื่องนั้นแม้ว่าจะไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่มันเกี่ยวข้องกับอาณาเขตเซียน เซียนหน้าตางดงามและสามีทั้งสองคนเป็นอิสระอยู่ในยุทธภพ ต่อมาก็แอบซ่อนตัวไม่ออกมา ค่อยๆ ไร้ข่าวคราว จนกระทั่งอาณาเขตเซียนถือกำเนิดถึงได้รู้ว่า ที่ซ่อนตัวของพวกเขา คือที่ราบลุ่มหลิงเฮ่อของสำนักฉางซู่ในยามนี้ของพวกข้า และเป็นอาณาเขตเซียน”
มั่วชิงเฉินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ในเมื่ออาณาเขตเซียนถือกำเนิดที่สำนักฉางซู่ เหตุใดทุกคนถึงรู้ล่ะ”
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายหน้าขาวไร้หนวดได้ยินพลันหัวเราะอย่างเย็นชา “เมื่ออาณาเขตเซียนถือกำเนิด ก็ถูกผู้บำเพ็ญเพียรที่พรรคอื่นส่งมารู้เข้า และปราณของแดนมนุษย์ในยามนี้ก็ไม่อาจปิดบังลำแสงการถือกำเนิดของอาณาเขตเซียนได้ วันที่อาณาเขตเซียนถือกำเนิด ทัศนียภาพทั้งหมดก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ทุกคนล้วนมองเห็น”
เมื่อได้ยินคำนี้มั่วชิงเฉินกลับคิดถึงเรื่องหนึ่ง ว่ากันว่าในอดีตกาลผู้บำเพ็ญเพียรที่บรรลุขึ้นไปเป็นเซียนเหล่านั้น ยามที่บรรลุขึ้นไปทุกคนในยุทธภพล้วนมองเห็นได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด
คำถามอย่างที่สามที่เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยถึงได้รับคำตอบแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายหน้าเหลืองก็กัดฟัน แล้วถึงได้เอ่ยว่า “ของของพวกเรา ล้วนอยู่ในถุงเก็บของ ยามนี้พลังวิญญาณถูกรัดเอาไว้ ไม่อาจหยิบออกมาได้…”
มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนมองสบตากันแวบหนึ่งแล้วถอนหายใจ “ช่างเถิด พวกเจ้านำทางไป พาพวกเราไปที่สำนักฉางซู่เถิด”
เอ่ยจบก็กวักมือ เก็บเถาวัลย์วิญญาณที่รัดอยู่ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดกลุ่มหนึ่งได้รับอิสระ
เยี่ยเทียนหยวนเห็นเช่นนั้น ก็ปล่อยผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายสองคน
ทุกคนมีสีหน้าไม่เข้าใจ
มั่วชิงเฉินจึงเอ่ยตามตรงว่า “พวกเราสองสามีภรรยาได้รับคำสั่งมาจากฝูเฟิงเจินจวิน ให้นำสิ่งของกลับไป”
แต่กลับไม่ได้พูดออกไปว่านำเถ้ากระดูกกลับมา
เมื่อได้ยินคำพูดของมั่วชิงเฉิน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายสามคนก็หน้าเปลี่ยนสี เอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ฝูเฟิงเจินจวินหรือ”
ฝูเฟิงเจินจวินเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเมื่อพันปีก่อน ตอนนั้นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายทั้งสามคนบางคนก็ยังเด็กมาก บางคนก็ยังไม่เกิด แต่ชื่อเสียงของเขากลับเป็นที่รู้จัก
โดยเฉพาะเรื่องของเขากับเวินหนิงที่ทำให้ผู้คนซึ้งใจ ยิ่งทำให้ลูกศิษย์ในพรรคจดจำได้ขึ้นใจ
มีความสัมพันธ์ขั้นนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดจึงลดความรู้สึกระแวงพวกมั่วชิงเฉินทั้งสองลง และเข้าใจว่าสำนักฉางซู่ในยามนี้ถูกศัตรูล้อมไว้ทั้งสี่ด้าน ปฏิเสธไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงพาพวกเขากลับไปที่หุบเขาข่งเชวี่ย
หุบเขาข่งเชวี่ยจุดยุทธศาสตร์ของสำนักฉางซู่ หากถูกโจมตี ศัตรูก็จะสามารถบุกเข้ามาในที่ราบลุ่มหลิงเฮ่อได้
โชคดีที่สำนักฉางซู่เดิมก็เป็นสำนักที่ยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของจงหลาง ตระกูลเวิน หลิง เหอ จ้าว ทั้งสี่ล้วนมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตอยู่คนหนึ่ง ยามนี้มีทั้งสามท่านนั่งบัญชาการอยู่ที่หุบเขาข่งเชวี่ย คอยต้านทานผู้บำเพ็ญเพียรทั้งสี่ทิศ ถึงได้ยืนหยัดมาได้นานขนาดนี้
กลับมายังหุบเขาข่งเชวี่ยจากเส้นทางลับ ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ได้พบผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิต