“ข้าซีอวิ๋น สหายตัวน้อยทั้งสองเคยพบฝูเฟิงจริงหรือ” บุรุษที่เอ่ยถามดูแล้วอายุไม่ถึงยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี คิ้วรูปดาบเฉียงเข้าไปในจอนผม ท่าทางสง่าผ่าเผย
เยี่ยเทียนหยวนสบตากับเขาก็ไม่ได้ระแวงมากเกินไป เอ่ยอย่างราบเรียบดุจปกติว่า “ภรรยาข้าน้อยเคยพบ”
ซีอวิ๋นเจินจุนถึงได้มองไปที่มั่วชิงเฉิน พลางมองใบหน้าของนางด้วยท่าทีมีความคิด
มั่วชิงเฉินคารวะอย่างมีมารยาทแล้วเอ่ยว่า “อนุชนเคยพบท่านฝูเฟิงเจินจวินจริงๆ ทว่าสิ่งที่พบเป็นเพียงแค่เสี้ยววิญญาณเท่านั้น และได้รับมอบหมายให้นำกระดูกของเขาและภรรยาเวินหนิงกลับมาส่งที่สำนัก”
ซีอวิ๋นเจินจุนมีสีหน้าราบเรียบ ฉับพลันนั้นท่าทางก็ผ่อนคลายลง แล้วสะบัดมือเล็กน้อย
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตแผ่ลมปราณอันน่าอึดอัดออกมานอกร่าง โชคดีที่พวกมั่วชิงเฉินทั้งสองอยู่กับเจ้าปีศาจมาหลายปี และยังอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่เป็นมิตร แม้แรงกดเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อพวกนาง แต่เมื่อเทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดคนอื่นๆ กลับได้รับผลกระทบน้อยกว่ามาก
เช่นนี้ พวกนางจึงแค่หน้าซีดเผือด และไม่มีความผิดปกติอื่น
ซีอวิ๋นเจินจุนมองแล้วใจเต้น เอ่ยอย่างถอมตนว่า “ขอประทานอภัย เป็นข้าที่เสียกิริยา สหายตัวน้อยทั้งสองมีความสามารถ หากข้ามองไม่เห็นผิดละก็ พวกเจ้าในยามนี้น่าจะอายุไม่ถึงห้าร้อยปีสินะ”
“ท่านพูดเกินไปแล้ว” เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยอย่างราบเรียบ
ไม่โต้แย้ง เห็นได้ชัดว่ายอมรับคำพูดของซีอวิ๋นเจินจุนโดยดุษณี
ซีอวิ๋นเจินจุนมองทั้งสองคนสูงขึ้นหลายส่วน พลันมองไปที่มั่วชิงเฉินแล้วเอ่ยว่า “กระดูกของพวกเขา สหายตัวน้อยพกมาด้วยหรือไม่”
มั่วชิงเฉินเงยหน้า สะบัดแขนเสื้อ ตรงหน้ามีโครงกระดูกของฝูเฟิงเจินจวินและกายเนื้อของเวินหนิงปรากฏขึ้น
ซีอวิ๋นเจินจุนสาวเท้ายาวๆ เดินมาคุกเข่าลง มองโครงกระดูกของฝูเฟิงเจินจวิน จากนั้นก็จ้องเขม็งไปที่กายเนื้อของเวินหนิงด้วยความใจลอย
เนิ่นนานเสียงแหบแห้งจึงดังขึ้น “สหายตัวน้อยอธิบายเรื่องราวให้ละเอียดได้หรือไม่”
มั่วชิงเฉินบอกเล่าเรื่องราวรอบหนึ่ง
ซีอวิ๋นเจินจุนฟังแล้วเงียบขรึมไปชั่วครู่ ยื่นมือออกไปลูบใบหน้าที่ถูกทำลายของเวินหนิง จากนั้นก็โบกมือ เก็บโครงกระดูกนั้นไป แววตาที่มองมั่วชิงเฉินแตกต่างจากก่อนหน้านี้
มั่วชิงเฉินพลันลังเล แต่กลับไม่รู้ว่าเจินจุนผู้นี้กำลังคิดอะไรอยู่ แค่คาดเดาว่าความสัมพันธ์ของเขาและเวินหนิงน่าจะลึกซึ้งไม่ธรรมดา
“ข้า…เป็นพี่ชายของเวินหนิง” ซีอวิ๋นเจินจุนเอ่ยมาถึงตรงนี้ ก็มองลึกไปในแววตาของมั่วชิงเฉินแวบหนึ่ง “ชิงเฉินได้คันฉ่องสุกสกาวสมประสงค์ของเวินหนิงมาหรือไม่”
เป็นเพราะมั่วชิงเฉินเป็นอนุชนของเวินหนิง นั่นก็คืออนุชนของซีอวิ๋นเจินจุน คำที่ใช้เรียกมั่วชิงเฉินย่อมแตกต่างไป
มั่วชิงเฉินไม่ได้ลังเล นำคันฉ่องสุกสกาวสมประสงค์ออกมาส่งให้ “อยู่ที่นี่เจ้าค่ะ”
หากเป็นสมบัติที่ได้มาจากถ้ำพำนักธรรมดาๆ ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องไม่ยอมมอบให้ แต่นางเป็นอนุชนของเวินหนิง ซีอวิ๋นเจินจุนเอ่ยปาก ก็ไม่อยากให้สมบัติชิ้นหนึ่งทำให้เขาลำบากใจ
เห็นมั่วชิงเฉินโปร่งใสเช่นนี้ แววตาของซีอวิ๋นเจินจุนก็มีแววอบอุ่นเพิ่มขึ้น กวาดตามองคันฉ่องสุกสกาวสมประสงค์แวบหนึ่งแต่ไม่ได้ยื่นมือออกมารับ แค่ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “ชิงเฉินไม่รู้อะไร คันฉ่องสุกสกาวสมประสงค์นี้ บางทีอาจจะเป็นส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาของสำนักฉางซู่ในยามนี้!”
“อนุชนไม่เข้าใจความหมายของผู้อาวุโส” มั่วชิงเฉินก้มหน้าลงมองคันฉ่องสมบัติในมือแวบหนึ่ง
ซีอวิ๋นเจินจุนเดินไปข้างหน้าหลายก้าว ยืนอยู่ตรงหน้าต่าง จ้องมองไปยังด้านนอกแล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าเพิ่งมาถึงจงหลาง ยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่รู้ ตั้งแต่ที่อาณาเขตเซียนถือกำเนิดขึ้น สำนักฉางซู่ก็ตกอยู่ในอันตราย”
“ท่านเจินจุน ในทวีปแห่งเทพของพวกเรา สองร้อยกว่าปีก่อนก็มีแดนวิญญาณสวรรค์ปรากฏขึ้นหลายแห่ง ทุกฝ่ายต่างล้วนไปสำรวจลึกในดินแดนสวรรค์ ยามนี้ยังนับว่ามั่นคง” เยี่ยเทียนหยวนเอ่ย
ซีอวิ๋นเจินจุนฉีกยิ้ม แล้วถึงได้เอ่ยว่า “อาณาเขตเซียนถือกำเนิดบนพื้นที่ของสำนักฉางซู่ แต่กลับถูกพรรคอื่นฉวยโอกาส พวกเขาอยากสำรวจอาณาเขตเซียน แต่ไม่มีกุญแจเปิดอาณาเขตเซียน จึงมั่นใจว่าสำนักฉางซู่ปิดบังความลับเอาไว้ ถึงได้เกาะแกะไม่ยอมเลิกรา แต่ความจริงแล้วสำนักฉางซู่ไม่มีกุญแจที่ใช้เปิดอาณาเขตเซียน ไม่เช่นนั้นคงไม่เป็นฝ่ายถูกกระทำเช่นนี้ ถูกผู้บำเพ็ญเพียรจากฝ่ายต่างๆ ล้อมโจมตี”
“ความหมายของเจินจวินคือ คันฉ่องสุกสกาวสมประสงค์นี้เป็นกุญแจในการเปิดอาณาเขตเซียนหรือ” ชั่วขณะนั้น มั่วชิงเฉินพลันรู้สึกว่าคันฉ่องสมบัติในมือร้อนฉ่า
ซีอวิ๋นเจินจุนนั่งลง แสดงออกให้ทั้งสองคนนั่งลงด้วยแล้วเอ่ยว่า “ยามที่อาณาเขตเซียนถือกำเนิดขึ้น สำนักฉางซู่กุมกุญแจไว้ส่วนหนึ่งจริงๆ แต่กลับขาดคาถาเซียนในการเปิดอาณาเขตเซียน คันฉ่องสุกสกาวสมประสงค์คือสมบัติอาคมที่ตระกูลเวินของสำนักฉางซู่สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ สามารถกักเก็บความทรงจำได้ เป็นสิ่งที่ใช้ผนึกรวมความคิดสุดหวงแหนที่คนรุ่นก่อนทิ้งเอาไว้ อาณาเขตเซียนนี้เป็นแดนซ่อนตัวของเซียนหน้าตางดงาม ใช้คันฉ่องสุกสกาวสมประสงค์ทดลองสืบค้นดู ไม่แน่ว่าอาจจะตามหาคาถาเซียนที่ใช้เปิดอาณาเขตเซียนได้ หลายปีก่อนพวกเราก็คาดเดาเช่นนี้ แต่แค่เวินหนิงหายไป เจินจวินระดับถอดดวงจิตในพรรคก็ไปไหนไม่ได้ จึงส่งลูกศิษย์ระดับก่อกำเนิดสองคนออกไปที่ทวีปแห่งเทพ แต่กลับไม่ได้อะไรกลับมา”
“เช่นนั้นเหตุใดเจินจุนถึงไม่รับคันฉ่องสุกสกาวสมประสงค์ไป” ได้ยินว่าคันฉ่องสุกสกาวสมประสงค์สำคัญเช่นนี้ มั่วชิงเฉินก็ไม่คิดจะฝืนเก็บเอาไว้
นี่เป็นเผือกร้อนที่ไม่อาจเก็บของร้อนเอาไว้ในมือได้!
ซีอวิ๋นเจินจุนมองมั่วชิงเฉินพลางอมยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเป็นอนุชนของเวินหนิง มีต้นกำเนิดมาจากสำนักฉางซู่ ในเมื่อได้คันฉ่องสุกสกาวสมประสงค์ไป และยังฝึกฝนแล้ว ข้าจะรับมาได้อย่างไร แต่แค่ต้องรบกวนเจ้าให้ตามข้าไปที่ที่ราบลุ่มหลิงเฮ่อ ดูว่าจะใช้คันฉ่องสุกสกาวสมประสงค์ค้นหาคาถาเปิดอาณาเขตเซียนได้หรือไม่”
สิ้นเสียงฉับพลันนั้นก็หน้าเปลี่ยนสี สะบัดแขนเสื้อประตูเปิดออก ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายหน้าสีเหลืองพุ่งเข้ามา
“ท่านเจินจุน แย่แล้ว สองสามีภรรยาฉางอวี้นำตะขอเหนือลิขิตฟ้ามารวมตัวกับพรรคหลิงเซียว ยามนี้ทางนั้นมีฟางล่าเจินจุนเป็นผู้นำ กับหลิงเฮ่อเจินจุนจากพรรคหลิงเซียวและกู่เยี่ยนเจินจุนจากพรรคตี้มู่ นำทัพผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดร้อยกว่าคนเข้าโจมตี เจินจุนทั้งสองของพรรคเราและเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องกำลังจะต้านทานเอาไว้ไม่อยู่แล้ว!”
ซีอวิ๋นเจินจุนยืนขึ้น แล้วเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “พวกเจ้าขวางสองสามีภรรยาฉางอวี้เอาไว้ไม่ได้ สถานการณ์เช่นนี้ย่อมต้องเกิดขึ้น ไปรายงานพวกช่านหรานเจินจุน เปิดค่ายกลป้องกันด้านสุดท้าย จะต้องยืนหยัดให้ได้สามวัน หากสามวันผ่านไปยามพระอาทิตย์ตกดินที่ราบลุ่มหลิงเฮ่อยังไม่มีการเคลื่อนไหว…ก็เปิดค่ายกลสังหารทันที!”
“อะไรนะ!” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายหน้าสีเหลืองร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง
เมื่อค่ายกลสังหารถูกเปิดใช้งาน อาณาบริเวณในสำนักฉางซู่รวมทั้งหุบเขาข่งเชวี่ยจะติดอยู่ในค่ายกลสังหาร โจมตีทุกอย่างโดยไม่แบ่งแยกว่าผู้ใดคือมิตรหรือศัตรู และจะโจมตีไปเรื่อยๆ อย่างไม่ยอมหยุดพัก กล่าวได้ว่าเป็นวิธีการเผาหยกดั่งหิน[1]
“หากสำนักฉางซู่ล่มสลาย จะปล่อยให้ศัตรูที่อาบโลหิตคนของสำนักข้ารอดไปได้อย่างไร” ซีอวิ๋นเจินจุนเอ่ยอย่างเย็นชา
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายหน้าสีเหลืองคารวะ แล้วเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม “ทำตามรับสั่งของผู้อาวุโสสูงสุดเจ้าสำนัก!”
เอ่ยจบก็กลายเป็นลำแสงสายหนึ่งบินจากไป
ซีอวิ๋นเจินจุนมองมั่วชิงเฉินแวบหนึ่ง “พวกเจ้าตามข้ามา”
เอ่ยจบก็สะบัดแขนเสื้อ เมฆเข้ามารองรับทั้งสองคนพาไปยังจุดที่ไกลออกไป
“ศิษย์น้อง เกรงว่าพวกเราคงต้องอยู่ในความวุ่นวายแล้ว” เยี่ยเทียนหยวนส่งเสียงมาอย่างเงียบๆ
มั่วชิงเฉินตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ “เกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่แค่เรื่องมาถึงยามนี้ ก็ไม่อาจถอนตัวได้ ศิษย์พี่ ข้ามีกระสวยผสมปราณที่เป็นสมบัติโบราณอยู่ เป็นสมบัติในการหลบหนี หากถึงสามวันแล้วคันฉ่องสุกสกาวสมประสงค์ยังไม่อาจค้นหาคาถาเซียนได้ เช่นนั้นพวกเราก็ต้องใช้สมบัติชิ้นนี้หนีแล้ว”
“อืม อาศัยวิญญาณอัคคี พวกเราก็พอหลบหนีได้ ศิษย์น้องวางใจ ไม่ว่าอย่างไร ศิษย์พี่ก็จะไม่ปล่อยให้เจ้าเป็นอะไรแน่”
มั่วชิงเฉินคว้าแขนของเยี่ยเทียนหยวนเอาไว้ “ไม่ว่าจะเป็นอะไรหรือไม่ ขอแค่พวกเราอยู่ด้วยกันก็พอแล้ว หากท่านเอาแต่คุ้มครองข้า ตนเองกลับตกอยู่ในอันตราย วันข้างหน้าข้าจะไม่ออกไปหาประสบการณ์ร่วมกับท่านอีก”
เยี่ยเทียนหยวนกุมแขนมั่วชิงเฉินเอาไว้แน่น ไม่ส่งเสียงใดๆ
ซีอวิ๋นเจินจุนพาทั้งสองคนบินไปด้วยรวดเร็วมาก ทัศนียภาพรอบด้านแฉลบผ่านไป หลังจากผ่านไปสองชั่วยามถึงได้ลดความเร็วลง น้ำในมหาสมุทรที่ไร้ขอบเขตพลันมีเงาร่างคนปรากฏขึ้นสามคน
ไกลออกไปเป็นผืนน้ำ มีเกาะที่ถูกม่านหมอกปกคลุมเอาไว้จนแยกแยะไม่ชัดเจน จุดเล็กๆ สีขาวจำนวนมากขยับขึ้นและลง มองไม่เห็นว่าคือสิ่งใดกันแน่
ซีอวิ๋นเจินจุนชี้นิ้ว “ที่นั่นคือที่ราบลุ่มหลิงเฮ่อ พวกเราไปกันเถิด!”
พายุพัดมา ระลอกคลื่นสีเขียวมรกตขยับเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆ บินเข้ามาใกล้เกาะ จนมองเห็นจุดสีขาวนั้นชัดเจน นั่นก็คือนกกระสาโบยบินไปมา
มองทัศนียภาพของสำนักเซียนแห่งนี้ จะมีผู้ใดคิดถึงว่าสำนักฉางซู่จะตกอยู่ในความเป็นตาย
ซีอวิ๋นเจินจุนพาทั้งสองร่อนลงมา ยืนอยู่บนเกาะ ทำให้นกกระสาวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนตกใจ
ซีอวิ๋นเจินจุนกลับมีสีหน้าราบเรียบ หันมาเอ่ยกับมั่วชิงเฉิน “ชิงเฉิน เริ่มเถิด”
มั่วชิงเฉินพยักหน้า ฉับพลันนั้นในหัวพลันมีคาถาปรากฏขึ้น อดที่จะมองไปทางซีอวิ๋นเจินจุนไม่ได้
ซีอวิ๋นเจินจุนเอ่ยอย่างราบเรียบ “นี่คือคาถาใช้คันฉ่องสุกสกาวสมประสงค์ แม้ว่าในอดีตเวินหนิงจะได้คันฉ่องสุกสกาวมาจากท่านอาหญิง แต่ด้วยความรักที่มีต่อนาง ท่านอาหญิงไม่ได้เอ่ยถึงคาถาท่อนนี้ เดิมก็คิดจะรอให้นางมีพลังยุทธ์เพียงพอก่อน คิดไม่ถึงว่านางกลับโกรธจนออกจากสำนัก คันฉ่องสุกสกาวนี้มีพลังยิ่งใหญ่ ชิงเฉินเจ้าจำเอาไว้ วันข้างหน้าใช้ให้น้อยหน่อยจะดีที่สุด”
“อนุชนจะจำเอาไว้” มั่วชิงเฉินเอ่ยจบ ก็จดจำคาถาท่อนนี้ ควบคุมคันฉ่องสุกสกาวให้บินไปกลางอากาศอย่างช้าๆ
คันฉ่องสุกสกาวมีผิวราบเรียบ เมื่อแสงอาทิตย์กระทบลงมาก็มีลำแสงเจิดจ้าสาดออกมา เข้าที่ใบหน้าของทั้งสาม ทุกคนต่างมองสบตากันเงียบๆ โดยไม่ปริปาก
วันเวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปทีละนิดๆ วันเวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน
เยี่ยเทียนหยวนขยับมือ วิญญาณอัคคีปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ ดูเหมือนจะบินแต่ก็ไม่ได้บิน
ลำแสงวิญญาณสว่างวาบ ยันต์วิเศษสายหนึ่งลอยอยู่ตรงหน้ามั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินหันไปด้วยความตกตะลึง “ท่านเจินจุน นี่คือ”
ซีอวิ๋นเจินจุนเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม “นี่คือยันต์ลี้ธรณีหมื่นลี้ อย่าล่าช้า พวกเจ้าทั้งสองรีบไปเถิด”
“เจินจุน…” มั่วชิงเฉินพลันตกตะลึง
เดิมนางคิดว่าซีอวิ๋นเจินจุนจะไม่ได้สนใจความปลอดภัยของทั้งสอง ที่แท้ก็คิดผิด
“ยังจะตะลึงอะไรอีก!” ซีอวิ๋นเจินจุนแค่นเสียงอย่างเย็นชา มองทั้งสองแวบหนึ่ง หันกายไป เงาแผ่นหลังสง่างามอย่างบอกไม่ถูก “ยามที่พระอาทิตย์ตกดิน ก็จะเปิดค่ายกลสังหาร ถึงยามนั้นอยากไปก็ไปไม่ได้แล้ว พวกเจ้ารีบหนีไปเถิด หากมีโอกาสก็ได้พบตี้กุยเจินจุนจากสำนักฉางซู่ที่ออกไปหาประสบการณ์นอกสำนักนานแล้ว ก็เอาคัมภีร์ม้วนนี้มอบให้เขา หาก หากภายในร้อยปีไม่พบตี้กุยเจินจุน ก็ขอให้พวกเจ้ามาที่เกาะหนานหวนสักครั้ง ที่นั่นเป็นแหล่งกบดานของลูกศิษย์ชั้นยอดของสำนักฉางซู่ ข้าขอให้พวกเจ้าดูแลให้หน่อย เพื่อรักษาดวงไฟดวงสุดท้ายของสำนักฉางซู่เอาไว้…”
ยังไม่ทันเอ่ยจบ ก็ได้ยินมั่วชิงเฉินเอ่ยว่า “ท่านเจินจุน ท่านดู!”
ซีอวิ๋นเจินจุนเงยหน้าขึ้น พบคันฉ่องสุกสกาวสมประสงค์ที่อยู่กลางอากาศมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ตัวอักษรค่อยๆ ปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ มองเห็นคำว่า ‘ใหญ่’ อยู่รางๆ
จากนั้น อักษรตัวที่สองก็ปรากฏขึ้น
ในยามนั้นเองท้องฟ้าก็สั่นสะเทือน ผืนน้ำเกิดระลอกคลื่นขึ้น
กลิ่นอายสังหารอันยากจะอธิบายได้กระโจนเข้ามา ซีอวิ๋นเจินจุนพลันร้องตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว “นี่มันเรื่องอะไรกัน คาดไม่ถึงว่าจะเปิดใช้ค่ายกลสังหารแล้ว!”
[1] เผาหยกดั่งหิน หมายถึง นำหยกที่เป็นของสูงค่าไปเผารวมกับหินที่เป็นของด้อยค่า