ตอนที่ 490

The Divine Nine Dragon Cauldron

เมื่อถึงช่วงเวลาสุดท้าย แสงทมิฬส่องประกาย เกราะของเขาปรากฏขึ้นมา

 

แกร๊ง—

 

พลังเนตรปะทะอย่างจัง เสียงตกกระทบดังพร้อมกับประกายไฟ พลังเนตรปะทะเข้ากับเกราะราชาศิลานิรันดร์! ซือหยูเบี่ยงตัวไปด้านข้าง พลังเนตรแฉลบไปอีกทาง

 

“หา?”

 

โจวฉีหมิงขมวดคิ้ว

 

เขาไม่คิดว่าซือหยูจะป้องกันวิชาเนตรของเขาได้! แม้ว่าวิชาเนตรจะไม่ใช่ไพ่ตายของเขาแต่มันก็ยังเป็นการโจมตีที่ทรงพลัง…มันใกล้เคียงกับระดับของขอบเขตภูติอย่างมาก แม้แต่จางซื่อเหลียนที่เป็นกึ่งภูติก็ตกไปอยู่ในสภาพอันน่าเวทนาเพราะกระบวนท่านี้ แต่คนที่เป็นแค่ราชามนุษย์กลับป้องกันการโจมตีของเขาได้!

 

“ฮื่ม! มีสมบัติติดตัวเยอะดีนี่!”

 

โจวฉีหมิงพูดถากถาง จิตสังหารฉาบดวงตาอย่างเข้มข้น

 

หมิงเฟยแปลกใจ

 

“ชุดเกราะนั่น…ข้าอยากได้!”

 

โจวฉีหมิงพูดเบาๆ

 

“เจ้าคิดว่าข้าโง่เรอะ? ระดับของเกราะนั่นมันสูงมาก!”

 

ทั้งสองรู้ในทันทีว่าคุณภาพของชุดเกราะนั้นอยู่ในระดับที่สูงมาก ไป่ฉีที่ได้ยินยืนมองจากด้านข้าง เขาถอนหายใจแรง เกราะราชาศิลานิรันดร์มันคือของของเขา!

 

เขาละสายตาเตรียมจะปกป้องซือหยู แต่ภาพเขียนในอกของเอากลับสั่นเบาๆ คำสั่งอันน่าตกใจจากชายแก่ดังจากในดวงวิญญาณ

 

“สมบัติวิญญาณระดับสูงที่เสียหายรึ? ไป่ฉี นำเกราะนั่นมาเดี๋ยวนี้แล้วฆ่ามันซะ! เจ้าเด็กนั่นมันอันตรายมาก!”

 

ไป่ฉีใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม! นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาต้องจู่โจมซือหยูหรอกรึ? ชีวิตของเขาถูกชี้ชะตาจากชายแก่ผู้นี้ เขาจะขัดคำสั่งได้อย่างไร? เขาไม่เต็มใจอย่างมากเมื่อมองดูซือหยู เอาแอบรู้สึกเสียดาย ดูจากพลังของซือหยูมาถึงตอนนี้ เขาคือคนที่ดีที่สุดที่จะมีโอกาสสังหารชายแก่ โดยเฉพาะเมื่อเขาใช้วิชาที่ทำให้วิญญาณออกมาจากร่างกายได้!

 

แต่ชายแก่ในภาพเขียนก็ให้คำสั่งเขามาแล้ว ไป่ฉีทำได้แค่ทำตาม! เขาถอนหายใจด้วยควมหงุดหงิด เขามองซือหยูด้วยจิตสังหาร

 

ฟึ่บ ฟึ่บ–

 

หมิงเฟยกับไป่ฉีบินไปทางซือหยู…พวกเขาตรงไปยังเกราะราชาศิลานิรันดร์!

 

โจวฉีหมิงที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นแววตาดุร้าย เขาเข้าจู่โจมซือหยูด้วยความเร็วที่มากกว่าอีกสองคน

 

“ส่งเกราะนั่นมาให้ข้า!”

 

ทั้งสามที่มีพลังระดับขอบเขตภูติเข้าจู่โจมซือหยูพร้อมกัน!

 

ยู่จางที่อยู่ใกล้ออกไปตื่นตระหนก เหตุการณ์ที่แย่ที่สุดกำลังเกิดขึ้น กึ่งภูติสามคนที่มีแก้วพลังชีวิตสามดวงจู่โจมใส่ซือหยูพร้อมกัน! แม้ลำดับห้าธาตุเมฆาแห้งเหือดจะถูกใช้จนหมดสิ้น เขาก็ไม่มีหวังที่จะป้องกันตัวเองจากทั้งสามคนได้เลย!

 

ในขณะนั้น ซือหยูใจเย็นอย่างประหลาด เขาไม่ได้แสดงความหวาดกลัวออกมาเลย เขามองไป่ฉีด้วยความแปลกใจเล็กน้อยแต่สีหน้าของเขาก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม เขาหัวเราะเบาๆ

 

“ย่อมได้…”

 

“ขอข้าดูพลังของกึ่งภูติอย่างพวกเจ้าหน่อย!”

 

ซือหยูหายใจเข้าลึกและรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล เขาอาจจะรับมือกับคนคนเดียวได้ แต่ตรงหน้าเขามีกึ่งภูติอยู่ถึงสามคน แรงกดดันนั้นมากจนเขาหายใจไม่ออก พิษภัยที่กำลังจะคร่าชีวิตกำลังคืบคลานเข้ามาหาเขา มีโอกาสอย่างมากที่เขาจะตายที่นี่! แต่เมื่อเขากำลังจะโจมตี ทั้งสามที่พุ่งเข้ามาก็หยุดไป พวกเขามองขอบนภาด้วยความเคร่งเครียด

 

มียอดฝีมือสองคนบินเข้ามาด้วยความเร็วสูง! หนึ่งในนั้นคือหญิงสาวอายุยี่สิบปี นางนั้นดูไม่เหมือนผู้ใด ส่วนอีกคนคือหญิงสาวที่อายุประมาณสิบแปด นางบินตามหญิงสาวอีกคนเข้ามา

 

แววตาไป่ฉีกับหมิงเฟยมองนางด้วยความเคร่งเครียด ในแววตานั้นยังมีควากมลัวอยู่ด้วย! โจวฉีหมิงสีหน้าหม่นหมอง เมื่อเขาพบกับคนที่กำลังมา แม้แต่เขาที่แข็งแกร่งอย่างมากก็ตัวสั่น เขามิอาจเชื่อในสิ่งที่เห็น

 

“ลู่จือยี่แห่งตำหนักเมฆาม่วง…”

 

“จ้าวเทวะผู้ยิ่งใหญ่! นางมาที่ตำหนักเทพสวรรค์ได้ยังไง?”

 

เขาร้องเสียงหลงด้วยความกลัว!

 

อะไรนะ? จ้าวเทวะงั้นรึ? ไป่ฉีกับหมิงเฟยใจสั่นสะท้าน มีเพียงเหล่าจ้าวเทวะเท่านั้นที่จะถูกคนในขอบเขตภูติแหงนหน้ามอง กระโ๗มเทพสวรรค์คือสถานที่ฝึกฝนสำหรับคนในขอบเขตอำมฤต แต่จ้าวเทวะที่เหนือกว่าขอบเขตภูติกลับปรากฏตัวที่นี่!

 

ซือหยูใจเต้นแรง จ้าวเทวะงั้นรึ? หรือว่าจะเป็นผู้เฒ่าลู่ที่หวูอู๋ยี่พูดถึง?

 

ทุกคนที่นี่…ที่กำลังจะต่อสู้เอาชีวิตกัน…หยุดการเคลื่อนไหว พวกเขาละสายตาไปหาจ้าวเทวะ แต่ลู่จือยี่ก็ไม่ได้มองใครสักคนเมื่อนางมาถึง นางกลับขมวดคิ้วเมื่อมองพื้นที่รอบๆและเห็นว่ามีเลือดเนื้อกระจัดกระจายเต็มไปหมด ต่อมานางก็มองโจวฉีหมิงและคนที่อยู่กับเขาด้วยความไม่พอใจ

 

“เวทยักย้ายห้าภูติรึ?”

 

วิธีที่ภูติสองคนเสนอในการใช้เวทยักย้ายคือเวทยักย้ายห้าภูติ นางมองหมิงเฟยกับไป่ฉีด้วยความเฉยเมย

 

“ข้าไม่คิดเลยว่าภูติสองตนจะมาถึงกระโจมเทพสวรรค์ได้”

 

นางเปิดโปงตัวตนของทั้งสองในทันที นางแทบจะไม่มองหมิงเฟย แต่นางก็มองไป่ฉีเป็นเวลานาน สุดท้าย นางเหลือบมองโจวฉีหมิง

 

“เจ้าคือโจวฉีหมิงใช่หรือไม่? โจวฉีหมิงจากตำหนักชิงวิญญาณน่ะ?”

 

นางถาม

 

“อืม…เจ้าได้เห็นศิษย์จากตำหนักเมฆาม่วงที่ชื่อหวูอู๋ยี่หรือไม่?”

 

โจวฉีหมิงตัวสั่นจากแรงกดดันมหาศาล เขาตอบอย่างเป็นกังวล

 

“ข้าไม่เคยเห็นศิษย์จากตำหนักท่านเลย!”

 

“นางไม่ได้มาที่นี่หรอกรึ?”

 

ลู่จือยี่เลิกคิ้ว ดูเหมือนว่านางกำลังจะคิดถึงอะไรบางอย่าง

 

“อู๋ยี่น่าจะกำลังมีปัญหา”

 

ในตอนนั้น คนที่อยู่ข้างหลังนางสีหน้าเปลี่ยนไป

 

“ท่านผู้เฒ่า เราจะทำยังไงกันดี? ถ้าไม่มีศิษย์น้องอู๋ยี่ แผนของท่านจะไม่ช้าลงรึ?”

 

ลู่จือยี่เลิกคิ้ว นางพูดเบาๆกับตัวเองก่อนจะมองเห็นซือหยู ยู่จาง และจางซื่อเหลียนที่อีกด้าน นางมองผ่านจางซื่อเหลียนอย่างวรวดเร็วและมองยู่จางอยู่ครู่สั้นๆ แต่เมื่อนางมองซือหยู ดวงตาของนางมีข้อสงสัยบางอย่าง ดูเหมือนนางจะพบพลังที่ไม่มีใครจากซือหยู

 

ซือหยูใจเต้นแรง! หรือว่านางจะตรวจพบหวูอู๋ยี่? มุกวิญญาณเก้าหยกนั้นอยู่ต่างมิติโดยสิ้นเชิง ระดับการรับรู้ของผู้หญิงคนนี้นั้นเหนือชั้นอย่างไม่น่าเชื่อถ้านางสัมผัสได้ถึงหวูอู๋ยี่!

 

ผ่านไปนาน ลู่จือยี่ส่ายหน้าราวกับคิดได้ว่านางพลาดอะไรไป นางมองยู่จางอีกครั้ง

 

“เจ้า ตามข้ามา”

 

ยู่จางแปลกใจที่จ้าวเทวะเรียกนาง! นี่เป็นสิ่งที่มิอาจเกิดขึ้นไดก้ในตำหนักศีลหวนคืน นางไม่ได้เป็นศิษย์นอกเสียด้วยซ้ำ เหล่าจ้าวเทวะในสำนักไม่แม้แต่จะเหลียวมองนาง ไม่ต้องพูดถึงการเรียกให้นางทำเรื่องสำคัญเลย

 

แต่ความรู้สึกไม่สบายใจก็เอ่อล้นออกมาจากภายใน ในตอนนี้นางเป็นข้ารับใช้ของซือหยู นางจะไปโดยไร้การยินยอมจากซือหยูได้รึ?