ในขณะที่พลังในกระแสเลือกของลูเซียนกำลังเข้าไปหล่อเลี้ยงดวงจิตของเขาอย่างลึกล้ำ ผิวหนังของเขาก็เริ่มซีดเผือดและเหี่ยวแห้ง ราวกับมัมมี่โบราณที่ฝังอยู่ในสุสานมานานหลายปี หรือไม่ก็ต้นพอปลาร์ที่พยายามมีชีวิตรอดท่ามกลางทะเลทราย
ขาของลูเซียนสั่นเทา กล้ามเนื้อเริ่มอ่อนแรง และชีพจรของเขาก็เริ่มเต้นช้าลง ทว่า ดวงจิตแสนสดชื่นของเขาพลันลอยขึ้นไปในอากาศและมองลงมายังร่างกายอันเหี่ยวแห้ง
ความรู้สึกแปลกประหลาดนี้จู่โจมเข้าใส่ลูเซียนอย่างฉับพลันเสียจนเขารู้สึกราวกับเข้ามาอยู่ในโลกแห่งฌาน
ตอนที่ลูเซียนคิดว่าเขากำลังจะตายนั้นคือตอนที่พลังของพรถูกสูบไปเพื่อการเจริญเติบโตของดวงจิต พลังแปลกปลอมสายหนึ่งแทรกเข้ามาภายในร่างเขาผ่านทางคมเขี้ยวของไรน์ แล้วพัฒนาการมากมายในดวงจิตของลูเซียนก็พลันหยุดลง พลังของพรในปริมาณที่เหลืออยู่เล็กน้อยก็ถูกกระตุ้นโดยพลังแปลกปลอมนั้น จึงเริ่มฟื้นฟูเส้นเลือดของลูเซียนอย่างรวดเร็วทันใด
ผิวหนังที่ซีดเซียวของลูเซียนเริ่มกลับมามีสีสัน และเริ่มดูเต่งตึงสุขภาพดีอีกครั้ง ในกล้ามเนื้อของเขาบังเกิดการระเบิดของพลัง และแม้ว่าชีพจรของเขาจะยังเต้นช้าอยู่ มันกลับมั่นคงหนักแน่นดี สำหรับสมองของลูเซียนนั้น ตอนนี้มันทำงานได้เร็วยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อนเสียอีก
ไรน์ผละห่างจากลำคอของลูเซียน ทิ้งไว้เพียงความเจ็บแปลบบนนั้น
ตอนนี้ร่างกายของไรน์ดูจะโปร่งแสงขึ้นเล็กน้อย และความเหนื่อยล้าก็ปรากฏขึ้นในดวงตาสีเงิน ทว่ารอยยิ้มของเขายังคงเจิดจ้าและสง่างาม “สุภาพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ไม่เคยตระหนี่กับการจ่ายค่าตอบแทนหรอก”
ตอนนี้ร่างกายลูเซียนกลับมาขยับได้ดังเดิมแล้ว หลังจากที่เขาสำรวจตัวเอง เขาก็ต้องประหลาดใจ “ดวงจิตของข้า…พลังของมันเพิ่มขึ้นจนเทียบเท่านักเวทระดับสี่แล้ว พละกำลังทางกายก็เลื่อนขึ้นไปเท่าอัศวินขั้นสอง… เป็นอะไรไหมขอรับ ท่านไรน์”
เมื่อเห็นว่าไรน์เซถอยหลังไปเล็กน้อยและปีกอันใหญ่โตของเขาก็เริ่มหดลง ลูเซียนจึงรีบถาม
ไรน์แย้มยิ้ม “มีพิธีกรรมเวทมนตร์มากมายที่จะช่วยเพิ่มพูนพลังให้กับดวงจิตและพลังจิตของผู้คน และนักเวทโบราณก็ชอบวิธีการนี้เหลือเกิน แต่มันมีปัญหาอยู่สองอย่าง หนึ่งคือนักเวทน้อยคนนักที่มีเงินพอจ่ายค่าทำพิธีกรรมเหล่านี้ และถ้าเทียบกันแล้ว ค่าใช้จ่ายของน้ำยาเวทมนตร์นั้นน้อยกว่ามาก ดังนั้นนักเวทผู้ที่ต้องการพิธีกรรมเหล่านี้จริงๆ คือพวกที่ถ้าไม่ยากลำบากในการพัฒนาตนเองก็จำเป็นจะต้องบรรลุเป้าหมายที่สูงขึ้นภายในเวลาจำกัด”
ด้วยรู้ว่าลูเซียนกำลังคิดอะไรอยู่ ไรน์จึงอธิบายเพิ่ม “ปัญหาอย่างที่สองก็คือพิธีกรรมเหล่านี้มีผลข้างเคียงหลายอย่าง ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากเครื่องบูชาและของใช้ในพิธีกรรม บางคนยังอาจพบเจอกับอุปสรรคหลังจากนี้เพราะขาดความเข้าใจในเวทมนตร์ ผลข้างเคียงไม่สามารถกำจัดไปได้ในเร็ววัน นักเวทผู้นั้นจำเป็นจะต้องพึ่งพาพิธีกรรมใกล้เคียงกันนี้อีกเรื่อยๆ ซึ่งจะนำไปสู่นิสัยที่บิดเบี้ยว แต่เจ้า ลูเซียน เจ้าไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น เพราะว่านี่คือค่าตอบแทนที่ข้าจ่ายให้ล่วงหน้า เครื่องบูชาที่พิธีกรรมนี้เพิ่งกลืนกินไปคือเลือดที่แท้จริงของข้า และสิ่งที่หล่อเลี้ยงดวงจิตของเจ้าก็คือพลังของพร ดังนั้นมันจึงไม่มีผลข้างเคียงใดๆ อีกอย่าง เพราะพรของเจ้าคือ ‘แสงจันทร์’ มันจึงไม่มีปัญหาอะไรกับพลังของแวมไพร์”
ลูเซียนฟังคำพูดของไรน์อย่างตั้งใจพลางพยักหน้าหงึกหงัก
“แม้ว่าพละกำลังของเจ้าจะพัฒนาขึ้นด้วยก็จริง แต่อัศวินที่จะพัฒนาไปให้ไกลกว่านี้ได้ขึ้นอยู่กับเจตจำนงอันยิ่งใหญ่ เว้นแต่ว่าเจ้าอยากจะเลิกสนใจอาร์คานาศาสตร์ แล้วหันไปจดจ่อกับการเป็นอัศวินแทนน่ะนะ มันจึงมิมีทางเป็นไปได้เลยที่เจ้าจะกลายเป็นอัศวินหลวง แน่นอน เจ้าเองก็สามารถทำอย่างที่นักเวทส่วนใหญ่จะทำเพื่อให้ได้ร่างกายที่แข็งแกร่งแต่น่าขนลุกและมีชีวิตยืนยาวได้… เจ้าก็รู้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงเริ่มใช้มนุษย์ในการพัฒนาพรที่แตกต่าง สำหรับเจ้า ผู้ชนะรางวัล ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’ องค์ความรู้ทั้งเวทมนตร์และอาร์คานาน่าจะไม่ใช่ปัญหาอะไร”
ในที่สุดลูเซียนก็โล่งอก หลังจากนี้ไม่กี่สัปดาห์ ตอนที่ลูเซียนสามารถปรับตัวเข้ากับพลังจิตที่เพิ่งแข็งแกร่งขึ้นได้ดีกว่านี้ เขาจะลองทะลายขีดจำกัดแล้วเลื่อนขึ้นเป็นนักเวทระดับสี่ ซึ่งหมายความว่ามันเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้สองปี
“ท่านไรน์ขอรับ เมื่อข้ากลายเป็นนักเวทระดับสูง ข้าจะไปเปิดใช้งานอุปกรณ์ที่ท่านทิ้งเอาไว้ แต่ว่า มันอยู่ที่ไหนเช่นนั้นหรือขอรับ” ลูเซียนถาม
ไรน์ชี้ไปที่ลำคอลูเซียนแล้วตอบ “ข้าได้ทิ้งสัญลักษณ์ไว้บนคอเจ้าแล้ว เพื่อที่ข้าจะใช้มันเป็นสื่อกลางฉายภาพจำลองของข้าเข้าไปในความฝันและคุยกับเจ้าได้ แน่นอนว่าย่อมขึ้นอยู่กับว่าเจ้าอนุญาตหรือไม่ แล้วก็ เจ้าสามารถติดต่อย้อนกลับหาข้าได้ผ่านทางสัญลักษณ์นี้เช่นกัน”
ลูเซียนรีบใช้พลังจิตตรวจสอบลำคอของตนเอง เป็นอย่างที่ไรน์ว่า บนนั้นมีสัญลักษณ์รูปพระจันทร์เสี้ยว คล้ายกับปานแต่กำเนิดที่ไม่โดดเด่นเตะตา
“ข้าบอกได้เลยว่าท่านไม่อยากให้ข้ารู้รายละเอียดมากเกินไปจริงๆ ท่านไรน์” ลูเซียนยิ้มกริ่ม
“หากเจ้าอยากจะรู้ให้มากกว่านี้จริงๆ จงไปที่ห้องสมุดอาร์คานาของสภาแล้วหาตำราที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของศาสนจักร อ่านพวกมันให้ดี แล้วเจ้าอาจค้นพบบางอย่างที่น่าสนใจ ความลับที่น่าตกตะลึงอาจซ่อนอยู่ในสิ่งของที่ธรรมดามากที่สุดก็ได้” ไรน์ส่งยิ้มให้ จากนั้นเขาก็ทาบมือขวาบนอกของตนแล้วเอ่ยขอตัว “หลังจากเสร็จพิธี ข้าก็เหนื่อยเกินกว่าจะคงสภาพภาพฉายนี้แล้ว ตอนนี้ข้าคงต้องไปก่อน”
ทันทีที่เขาเอ่ยจบประโยค ร่างกายของไรน์ก็กลายเป็นค้างคาวดำจำนวนนับไม่ถ้วน พวกมันบินไปทั่วทุกทิศทาง และหายลับไป
‘โลกแห่งวิญญาณ’ กลับมาสู่โลกแห่งความเงียบงันและไร้สีสันอีกครั้ง
“อย่างกับนกพิราบที่บินขึ้นจากจัตุรัสเลย แต่แค่พวกนั้นเป็นค้างคาว” ลูเซียนยิ้มพลางพึมพำ แต่กลับไร้ซึ่งสุ้มเสียง
หลังจากมองไปรอบๆ ห้องโถง ลูเซียนก็มองไปทางร่างของอีวานอฟสกี เขานับเป็นศัตรูที่ต่อกรได้ยาก และพรของเขาก็เป็นปัญหาต่อนักเวทอย่างแท้จริง หากไม่ใช่เพราะลูเซียนมีอุปกรณ์เวทมนตร์ติดตัวอยู่มากมายและข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาต่างอยู่ในระดับเดียวกัน ลูเซียนก็อาจเป็นผู้ที่จำต้องหนีเอาชีวิตรอดก็เป็นได้
ลูเซียนโชคดีมากที่อีวานอฟสกีลดความระวังตัวลงหลังจากเข้ามาใน ‘โลกแห่งวิญญาณ’ อย่างไรเสีย มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะสังหารอัศวินนักบุญที่มีความรวดเร็วและคล่องแคล่ว
ชุดเกราะทั้งหมดของอีวานอฟสกีเสียหายไม่เหลือชิ้นดี ดังนั้นลูเซียนจึงหยิบมาเพียงไม่กี่ชิ้น บางทีพวกมันอาจนำไปใช้เป็นวัตถุดิบการแปรธาตุได้ในอนาคต
อีวานอฟสกีไม่ได้สวมแหวน สร้อยคอ เครื่องราง หรือเข็มขัดอะไรทั้งนั้น นั่นก็เพราะพรของเขาเป็นชนิดพิเศษ เขาจึงมีเพียงดาบหนักและถุงมือสีเทาเงินคู่หนึ่ง
‘ล้างบาง ดาบหนักพลังศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างขึ้นเพื่อชำระล้างเหล่านักเวท เป็นดาบหนักระดับสามขั้นสูง (ต้องถือด้วยสองมือ) ก่อนจะเลื่อนขึ้นเป็นระดับสูง เวทมนตร์ป้องกันของผู้ใช้สามารถพัฒนาขึ้นหนึ่งระดับ ทุกครั้งที่โจมตีโดนเป้าหมาย พลังโจมตีทางกายภาพจะเพิ่มขึ้นสองเท่าเพราะพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ติดมา’
‘ถุงมือยักษ์กินคน คนเราพึ่งพาได้แต่พลังเท่านั้น! ระดับห้าขั้นกลาง พลังของผู้ใช้สามารถพัฒนาขึ้นเทียบเท่าระดับหัวหน้าเผ่ายักษ์กินคน ซึ่งเท่ากับอัศวินหลวง ระดับห้าโดยประมาณ’
แม้ว่าทั้งสองอย่างนี้จะค่อนข้างเสียหายเพราะแก๊สพิษ แต่ลูเซียนมั่นใจว่าเขาซ่อมพวกมันได้
หลังจากเก็บของทั้งสองอย่างไว้ในกระเป๋ามิติ เขาก็ตัดสินใจจะมอบดาบเล่มนี้ให้ลีโอและเก็บถุงมือไว้กับตัว
ลูเซียนยังค้นเสื้อผ้าอีวานอฟสกีและพยายามดูว่าเขาจะค้นพบอะไรอีกบ้างเกี่ยวกับอีวานอฟสกี แต่ความพยายามของเขากลับสูญเปล่า อีวานอฟสกีระวังตัวแจ นอกเหนือจากถุงเงินเล็กๆ แล้ว ลูเซียนก็ไม่พบอะไรเลย
หลังจากจัดการกับศพ ลูเซียนก็จ้องมองไปทางปราสาทสีขาวดำแล้วเขาก็เริ่มนึกสงสัยขึ้นมา ใครกันคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังอีวานอฟสกี คนผู้นั้นรู้อะไรเกี่ยวกับโลกนี้หรือไม่ แล้วในนี้มีสิ่งมีชีวิตที่เฉลียวฉลาดอื่นๆ อาศัยอยู่หรือไม่… ความลับของเหล่าเทพเจ้าคืออะไรกัน อะไรคือฝ่ายอมตะของโลกใบนี้ โลกที่หลักฟิสิกส์และเคมีคล้ายคลึงกับความรู้ในโลกที่ลูเซียนจากมาอย่างยิ่ง…
…
ในโลกคนเป็น ปราสาทเถาวัลย์แห้ง
“พระคาร์ดินัลเนียฟสกี ต้องขออภัยที่รบกวนท่านและเหล่าผู้พิทักษ์ราตรี…” เคานต์วิตต์กล่าว ท่าทางเต็มไปด้วยพละกำลังและความมีชีวิตชีวา “ได้โปรดจับตัวนิโคนอฟมาให้ได้ด้วย”
ด้วยมีอุปกรณ์เวทมนตร์และคาถาแปลกประหลาดมากมาย นิโคนอฟจึงสามารถหลบหนีไปได้ตอนที่เคานต์วิตต์แบ่งสมาธิไปทำการสังหารคาร์ลีนา
แม้ว่านิโคนอฟจะรู้ดีว่าเคานต์วิตต์เพียงฝืนสังขารร่างกายเพื่อกลับมาสู่ช่วงที่พลังของเขาอยู่ในจุดสูงสุดเป็นการชั่วคราว หากว่าเขาทำให้การต่อสู้ยืดเยื้อ เป็นไปได้มากว่าเขาอาจสังหารเคานต์วิตต์ได้ แต่ทางโบสถ์ได้รับสารแล้วในตอนนั้น เขาจึงถอนตัวจากไปในทันที
พระคาร์ดินัลผู้สวมเสื้อแดงดูท่าทางซื่อตรงและมีจิตเมตตา ดวงตาสีฟ้าของท่านมองมาทางเคานต์วิตต์แล้วกล่าวตอบ “ข้าต้องขออภัยสำหรับความผิดพลาดของข้าด้วยขอรับ ท่านเคานต์วิตต์ ที่ข้าไม่ทราบว่า… คำสาปเป็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความเจ็บป่วยของท่าน”
“ในเมื่อพวกมันอาจหาญกระทำการเช่นนี้ พวกมันย่อมมั่นใจว่าจะปิดซ่อนคำสาปไว้ได้ หาใช่ความผิดของท่านหรอก พระคาร์ดินัล” เคานต์วิตต์แย้มยิ้ม จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไป “ว่าแต่ว่า พระคาร์ดินัล ข้าได้ส่งความประสงค์เกี่ยวกับผู้สืบทอดของข้าไปให้ฝ่าบาทอย่างปลอดภัยแล้วโดยใช้วิธีการลับของข้า ข้าเป็นอัศวินของฝ่าบาท และข้าเชื่อว่าคงไม่มีวิธีการใดจะดีไปกว่าการให้ฝ่าบาทคัดเลือกผู้สืบทอดให้กับข้าอีกแล้ว”
เนียฟสกีพยักหน้าแล้วส่งยิ้มให้ “เป็นการตัดสินใจที่เหมาะสมขอรับ ท่านเคานต์วิตต์ ฝ่าบาทย่อมทราบดีถึงความตั้งใจของท่านและคัดเลือกผู้สืบทอดที่ดีที่สุดให้กับท่านเป็นแน่ ข้ามั่นใจว่าผู้ได้รับเลือกจะต้องโดดเด่นยอดเยี่ยมเหมือนกับท่านอย่างแน่นอน เอาล่ะ ตอนนี้ข้าคงต้องขอตัวกลับไปที่โบสถ์ก่อนนะขอรับ”
“ส่งพระคาร์ดินัลเนียฟสกีด้วย” เคานต์วิตต์กล่าวกับอัศวินที่ยืนอยู่ข้างกาย
ขณะเฝ้ามองพระคาร์ดินัลเนียฟสกีเดินออกไปจากโถงทางเดิน อยู่ๆ เคานต์วิตต์ก็ถอยหลังไปสองสามก้าวเพราะความเหนื่อยล้ารุนแรง ในขณะเดียวกันนั้น รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้าเขา
เมื่อพระคาร์ดินัลเสื้อคลุมแดงออกมาจากปราสาทพร้อมกับบาทหลวงและบิชอปหลายคน เนียฟสกีก็เงยหน้าขึ้นพลางยกมือขวาขึ้นทำสัญลักษณ์กางเขนตรงหน้าอกท่ามกลางแสงสว่างยามเช้าตรู่
แนวตั้งของกางเขนนั้นสั้นกว่าแนวนอน
………………………..