ใน ‘โลกแห่งวิญญาณ’ ลูเซียนหยุดความคิดทั้งหมดในหัวและคิดจะไปหาห้องสักห้องในภาพฉายจำลองของปราสาทเพื่อพักผ่อน เขาวางแผนว่าจะไปเจอกับลีโอ ณ จุดที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ เมื่อเรื่องทั้งหมดนี้ลงตัว

เท่าที่ลูเซียนประมาณการณ์ดูแล้ว คงต้องรอไปอีกประมาณสามถึงสี่วัน ลีโอกับเขาตกลงว่าจะไปพบกันในหนึ่งสัปดาห์ให้หลัง ดังนั้นเขาจึงมีเวลาเหลือเฟือ เขาสามารถใช้เวลานี้เรียนรู้วิธีควบคุมพลังจิตที่เพิ่งเติบโตขึ้น

ลูเซียนรู้สึกโชคดีที่ไม่เจอกับพวกผีดิบในนี้ เพราะที่แห่งนี้ยิ่งเข้าไปลึกมากเท่าใด ก็ยิ่งอันตรายมากเท่านั้น ตอนนี้ลูเซียนเป็นเพียงนักเวทระดับกลาง และเขาก็รู้ขีดกำจัดของตนดี

ในตอนที่ลูเซียนกำลังจะก้าวขึ้นบันไดนั้นเอง ปราสาททั้งหลังก็เริ่มสั่นสะเทือนรุนแรง เหมือนกับเรือในมหาสมุทรที่พบเจอกับพายุลูกใหญ่

จากนั้น ปราสาทก็แตกกระจายเป็นเงาชิ้นเล็กชิ้นน้อยจำนวนนับไม่ถ้วน ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น เงาทั้งหมดก็หายวับไป

ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป ลูเซียนไม่สามารถร่ายคาถาบทใดได้เพื่อปกป้องตนเอง ฉับพลันนั้นเขาก็พบว่าตนเองอยู่ภายในป่า และเขาก็สัมผัสได้ถึงไอความตายจากโลกนี้

เขาสับสันมึนงง

ในตอนนั้นเอง สัญลักษณ์รูปหยดน้ำตาสีขาวบนมือซ้ายของลูเซียนก็ทำให้เขาสดชื่นขึ้นเหมือนกับสายลมโชย สายลมนั้นปลอบประโลมลูเซียนอย่างยิ่งท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่หวาดหวั่นนี้

ลูเซียนอารมณ์ดีขึ้น รู้สึกโชคดีที่ได้รับพรมาจากวิญญาณเด็กสาว แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็มองไปรอบๆ และตระหนักว่าเขาอยู่ทางทิศตะวันตกของเหมืองในเมืองยูรัล เขาพึมพำกับตนเองเสียงแผ่ว “นี่คงจะเป็นภาพสะท้อนโลกของคนเป็นที่แท้จริง…”

จากความรู้ที่ลูเซียนมีเกี่ยวกับ ‘โลกแห่งวิญญาณ’ สิ่งไม่มีชีวิตในโลกคนเป็น อย่างตึกอาคาร สามารถสะท้อนภาพออกมาแบบผิดๆ ได้ในที่แห่งนี้ เช่น อาคารที่อยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองอาจไปโผล่อยู่ทางตอนเหนือของโลกลึกลับแห่งนี้ ทว่า ความผิดพลาดมักจะไม่เกินขอบเขตมากเกินไป อย่างภายในเมืองหรือหมู่บ้านเดียวกัน ถึงกระนั้น ข้อเท็จจริงที่ว่าลูเซียนได้เข้ามาทางช่องทางเข้าในเหมืองแต่กลับไปโผล่ที่ปราสาทเถาวัลย์แห้งโดยตรงนั้นอยู่เหนือความคาดหมายของเขา อย่างไรเสีย ทั้งสองที่ก็อยู่ห่างไกลกันมาก

ตอนนี้ หลังจากได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวปราสาท ลูเซียนจึงตระหนักว่าเป็นพลังของไรน์ที่ลากภาพฉายของปราสาทมายังจุดนี้ หลังไรน์จากไป โลกจึงกลับคืนสู่สภาพเดิม

ความจริงแล้วมันก็นับเป็นเรื่องดี ลูเซียนไม่จำเป็นจะต้องกังวลว่าคนอื่นๆ อาจมาพบหลักฐานว่าเขาคือผู้ที่สังหารอีวานอฟกี

“แต่เดี๋ยวสิ!”

ความคิดหนึ่งพลันแล่นวูบเข้ามาในสมองลูเซียนและเขาก็รีบวิ่งตรงไปยังช่องทางออกใกล้ๆ นั้น

หากว่าอีวานอฟสกีรู้ถึงการมีอยู่ของ ‘โลกแห่งวิญญาณ’ และทางเข้า แล้วคนที่ทำงานให้เขาหรือร่วมมือกับเขาอย่างนิโคนอฟ นักเวทระดับสูงผู้นั้นล่ะ เขารู้วิธีเข้ามาในโลกนี้หรือไม่ หากว่านิโคนอฟเองก็เลือกที่จะเข้ามาซ่อนตัวใน ‘โลกแห่งวิญญาณ’ และเห็นร่องรอยการต่อสู้ระหว่างลูเซียนกับอีวานอฟสกี เขาย่อมรู้ได้ทันทีว่าศัตรูของพวกเขาเองก็อยู่ที่นี่! ความลับของโลกนี้อาจจะถูกเปิดเผยได้!

สำหรับคนอื่นๆ ที่อยู่ฝ่ายเดียวกับอีวานอฟสกีและนิโคนอฟ และสำหรับคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังพวกเขา ความจริงที่ว่ามีคนนอกกลุ่มรู้ถึงการมีอยู่ของ ‘โลกแห่งวิญญาณ’ อาจเป็นภัยสำหรับพวกเขามากกว่าข้อเท็จจริงที่ว่าแผนการของพวกเขาเกี่ยวกับเคานต์วิตต์ได้ล้มเหลวไปแล้ว หากว่าพวกนั้นได้รับรู้เรื่องนี้ พวกเขาคงทำทุกวิถีทางเพื่อสังหารลูเซียน ทั้งค้นหาไปรอบๆ ทางเข้าอย่างรอบคอบ และอาจจะติดตั้งกับดักเอาไว้เลยด้วย

ถ้าหากลูเซียนอยากหาทางออกอื่น เขาก็จำเป็นจะต้องเข้าไปใน ‘โลกแห่งวิญญาณ’ ลึกยิ่งขึ้น และนั่นเป็นไปได้มากว่า เขาอาจเจอกับผีดิบที่มีระดับน่าหวาดหวั่น!

ด้วยเหตุนี้ ลูเซียนจำต้องเสี่ยงออกไปกำจัดหลักฐานทั้งหมดที่สุดปลายทางของเหมือง แล้วจากนั้นก็หาที่ซ่อนตัวอื่น

แต่ก่อนจะกลับออกไป ลูเซียนก็ใช้ ‘มงกุฎสุริยัน’ ของเขาสัมผัสดูอีกฝั่งหนึ่งของทางเข้าเพื่อความรอบคอบ เมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ นั้น ลูเซียนจึงเรียกใช้ ‘โล่เพลิงทรงอำนาจ’ ซึ่งเป็นโอกาสสุดท้ายที่เขาจะเรียกใช้ได้ในวันนี้ แล้วออกมายังสุดปลายทางอุโมงค์เหมืองอีกครั้งผ่านทาง ‘ม่าน’ หนาหนักกั้นระหว่างช่องทางเข้า

ที่นี่ไม่มีลม พิษจึงยังลอยอ้อยอิ่งอยู่ที่เดิม ก้อนหิน แมลง และหนูต่างกลายเป็นซากจากการกัดกร่อน

หลังจากร่ายเวท ‘สลายควัน’ ไม่กี่ครั้งอย่างง่ายดายด้วยการใช้พลังจิตที่แข็งแกร่งขึ้น ในที่สุดแก๊สพิษก็ไม่หลงเหลืออยู่ในอากาศ จากนั้นลูเซียนก็เริ่มจัดการกับซากศพแมลงและหนู เช่นเดียวกับหินที่ผุกร่อนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีผู้ใดบอกได้ว่าที่นี่เคยเกิดการต่อสู้รุนแรงขึ้น

ภายในไม่ถึงสิบนาที งานของลูเซียนก็เกือบเสร็จสิ้นแล้ว หากว่าคนที่เข้ามาไม่ได้ตรวจสอบให้ดี ก็จะสังเกตเห็นอะไรได้ยากมาก และเมื่อเวลาผ่านไป ก็จะไม่มีผู้ใดระบุร่องรอยทั้งหลายในที่นี้ได้อีก เว้นแต่ว่าคนผู้นั้นจะใช้เวท ‘ย้อนคืนสภาพ’ เวทมนตร์ระดับเก้าโดยตรง

หลังจากตรวจสอบรอบๆ นี้อีกครั้ง ลูเซียนก็ร่ายคาถา ‘ล่องหน’ และพร้อมที่จะไปจากที่แห่งนี้แล้ว

แต่ในตอนที่เขาเพิ่งจะก้าวไปได้ไม่กี่ก้าว ฉับพลันนั้น ลูเซียนก็สัมผัสได้ว่านิโนอฟได้มาถึงที่แห่งนี้แล้วตามคาด!

อาจเป็นเพราะนิโคนอฟไม่คาดคิดว่าจะมีใครอื่นอยู่ที่นี่ หรือเขาอาจมั่นใจจนเกินไป แต่ลูเซียนก็โชคดีที่รู้ตัวได้ทันเวลา จึงมีเวลามากพอจะซ่อนตัว

ลูเซียนรีบควบคุมสนามแรงพลังจิตของตนแล้วมองไปรอบๆ เขารู้ว่าตัวเองไม่สามารถหลบซ่อนอยู่ในมุมได้เหมือนคราก่อน นิโคนอฟเป็นถึงนักเวทระดับสูงเชียวนะ!

สนามแรงพลังจิตของนักเวทระดับสูงนั้นแน่นหนาและแข็งแกร่งอย่างมาก ซึ่งมันสามารถสัมผัสได้ถึงสิ่งมีชีวิตทุกชนิดภายในพื้นที่นั้นๆ และภายในช่องทางแคบๆ นี้ มีเพียง ‘เวทล่องหนชั้นยอด’ เวทมนตร์ระดับสี่เท่านั้นที่จะปิดซ่อนได้อย่างดี

ดังนั้นลูเซียนจึงไม่ลังเลที่จะกลับเข้าไปใน ‘โลกแห่งวิญญาณ’ อีกครั้ง

ดำ ขาว และเทา พุ่มหญ้าและต้นไม้ดูราวกับทำมาจากปูน ลูเซียนออกวิ่งอย่างรวดเร็วไปบนพื้นที่โล่ง เร็วเสียจนมีเงาทึบทึมไล่ตามเขามาเป็นสาย เป้าหมายของเขาคือทุ่งราบ เพราะว่าที่นั่นเขามีโอกาสจะได้เจอกับผีดิบมากกว่า

ครั้งนี้ ลูเซียนไม่คิดจะหลบเลี่ยงเหล่าผีดิบ แต่พยายามจะหาพวกมันด้วยจุดประสงค์บางประการ เขาใช้ลูกแก้วคริสตัลและเวท ‘ดวงดาวมาสเกลีน’ ไปพร้อมๆ กัน เมื่อแสงจากลูกแก้วและดวงดาวส่องกระทบกันและแตกกระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย โชคของลูเซียนก็เพิ่มขึ้นทันที

ลูเซียนไม่ได้เชื่อเรื่องโชคชะตา คราวนี้เขาต้องการจะลงมือก่อนและพยายามเอาชีวิตรอดในที่แห่งนี้อย่างสุดความสามารถ! แต่แม้ว่าเขาจะถูกลิขิตว่าต้องตายอยู่ที่นี่ ลูเซียนก็ยังอยากจะต่อสู้เพื่อตัวเองจนถึงวินาทีสุดท้าย

ในโลกแสนโกลาหลนี้ ลูเซียนสามารถมาถึงทุ่งราบได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ ที่นั่น เขามองเห็นกลุ่มผีกินศพหลายกลุ่ม รูปลักษณ์ที่เนื้อหนังเน่าเปื่อยและมีชิ้นเนื้อห้อยออกมา ในสายตาลูเซียนนั้นช่างดูคุ้นตายิ่ง

และครั้งนี้ ลูเซียนก็รู้สึกโชคดีที่เขาได้มาเจอเหล่าผีกินศพ

เหล่าผีกินศพสูดอากาศและก็พบลูเซียน สิ่งมีชีวิต! ทันใดนั้น พวกมันก็เริ่มคุ้มคลั่ง มุ่งหน้ามาหาลูเซียน!

ตอนนั้นเอง ลูเซียนร่ายคาถาอย่างเงียบงัน แล้วกลิ่นของเขาก็พลันเปลี่ยนไป ร่างกายถูกโอบล้อมด้วยกลิ่นเหม็นโฉ่ของซากศพ และผิวหนังของเขาก็เริ่มเน่าเปื่อย ไม่นาน ลูเซียนก็เปลี่ยนตัวเองเป็นผีกินศพที่น่าขยะแขยง!

นี่คือเวทมนตร์พิเศษระดับสองจากสภาเวทมนตร์ ‘ผีดิบแปลงกาย!’

เวทบทนี้คิดค้นขึ้นโดยยึดหลักจากมนตราโบราณสองบท นั่นคือ ‘มรณะปกปิด’ และ ‘ผีดิบอำพราง’

ผีกินศพไร้สมองรู้สึกสับสนมึนงงอย่างยิ่ง หลังจากเหลียวมองไปรอบๆ พวกมันก็ยอมรับในที่สุดว่า จู่ๆ พวกมันก็มีเพื่อนใหม่

หัวหน้าฝูงผีกินศพเปล่งเสียงคำรามอย่างเงียบงัน เพื่อสั่งให้ลูเซียนเข้ามาอยู่ในแถว

ไม่นานหลังจาที่ลูเซียนเข้ามารวมกลุ่มกับผีกินศพและเดินไปเดินมาอย่างไร้จุดหมาย เขาก็มองเห็นเงาร่างร่างหนึ่งบินผ่านไปบนท้องนภาสีเทา ชายผู้นั้นสวมชุดคลุมเวทมนตร์สีดำ เป็นนิโคนอฟนั่นเอง

เห็นได้ชัดว่า นิโคนอฟไม่สนใจบรรดาผีกินศพเลยสักนิด เขาไม่แม้แต่จะเหลือบลงมามองพวกมันเลยด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงใช้พลังจิตเพื่อตรวจสอบมันอย่างระแวดระวัง

ลูเซียนค่อนข้างประหม่าขณะเดินไปมาท่ามกลางผีกินศพตัวจริง หลังจากแน่ใจว่านิโคนอฟจากไปแล้วจริงๆ เขาก็ลอบถอนหายใจภายในใจ

ดูเหมือนว่านิโคนอฟจะไม่คิดว่าศัตรูของเขาจะมาอยู่ที่นี่เลยสักนิด

แต่เพื่อให้แน่ใจ ลูเซียนจึงยังเดินไปมากับพวกผีกินศพอีกสักพัก หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เงาร่างที่สวมเสื้อคลุมตัวโคร่งสีดำที่มีลวดลายซับซ้อนมากมายก็บินข้ามท้องฟ้าไป รังสีที่เงาร่างนั้นแผ่ออกมาคือความตายที่แท้จริง!

เงาร่างนั้นเองก็เมินเฉยต่อผีกินศพที่สามารถพบเจอได้ทั่วทุกมุมในโลกนี้

ดูจากทิศทางแล้ว ลูเซียนนึกสงสัยว่าเงาร่างนั้นกำลังไล่ตามนิโคนอฟอยู่หรือไม่ เขาไม่แน่ใจว่าเงาร่างนั้นเป็นผีดิบที่มีสติปัญญาหรือเปล่า

หลังจากนั้นครู่ใหญ่ ลูเซียนก็เริ่มรู้สึกเบื่อ แต่ในตอนที่เขากำลังจะจากไปหาทางออก เขาก็มองเห็นเงาร่างอีกหนึ่งร่างบินข้ามท้องฟ้าไปอีกครั้ง

คราวนี้ ลูเซียนตกตะลึงจนนิ่งงัน เพราะว่าเงาร่างนั้นสวมเสื้อคลุมที่หมายถึงตำแหน่งพระคาร์ดินัล!

แม้ว่าลูเซียนจะไม่เห็นสีที่แท้จริงของเสื้อคลุม แต่เขาก็มั่นใจอย่างยิ่งว่ามันเป็นรูปแบบและทรงที่เหมือนกันเป๊ะ!

……………………