ลูเซียนจ้องมองท้องฟ้าด้วยท่าทางที่ดูราวกับผีกินศพตัวจริง ก่อนที่เขาจะพึมพำกับตัวเองในใจด้วยความงุนงง ‘นั่นเป็นพระคาร์ดินัลเสื้อคลุมแดงจากศาสนจักรเหนือหรือใต้กันนะ ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ กำลังไล่ตามนิโคนอฟอยู่อย่างนั้นหรือ’
ความแตกต่างหลักๆ ระหว่างศาสนจักรเหนือและใต้คือความเข้าใจในหลักคำสอนและบทสวดมนต์บางอย่างที่ไม่ตรงกัน ศาสนจักรเหนือจะคิดเป็นการเฉพาะว่าสถานะพระสันตะปาปานั้นเป็น ‘กระบอกเสียงของพระเจ้าบนดินแดนแห่งสัจธรรม’ ดังนั้น หลังจากแยกตัวออกไป ศาสนจักรเหนือก็เรียกพระสันตะปาปาว่าสังฆราช และสังฆราชก็ไม่ควรเสพสุขกับตำแหน่งสูงส่งที่ได้รับการเคารพในฐานะกระบอกเสียงของพระเจ้า แต่เป็นเพียงหัวหน้าเหล่าพระคาร์ดินัลหลวงเท่านั้น สังฆราชจะสามารถปกครองศาสนจักรได้ผ่านทางพระคาร์ดินัลหลวง และมันก็เพียงเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ เพื่อพิสูจน์ถึงความชอบธรรมของฝ่ายตนเอง การเรียงลำดับสถานะของทั้งสองศาสนจักรจึงยังคงยึดตามของเดิม นั่นคือ พระคาร์ดินัลหลวง พระคาร์ดินัลเสื้อคลุมแดง จากนั้นก็เป็นบิช็อปและบาทหลวง นอกจากนี้ อาภรณ์ที่สวมและสัญลักษณ์ทางศาสนาของพวกเขา หรือก็คือไม้กางเขน นั้นจึงเหมือนกันในขั้นพื้นฐาน
ทันทีที่ลูเซียนเกิดคำถามเหล่านี้ขึ้นในใจ เขาก็ต้องเยาะหยันตนเองเงียบๆ ‘ไม่เอาน่า ลูเซียน นี่นายสับสนเพราะการต่อสู้เมื่อกี้หรือไง พระคาร์ดินัลเข้ามาทางช่องทางสุดปลายอุโมงค์เหมืองนะ เขาก็ต้องมาจากศาสนจักรเหนืออยู่แล้วสิ!’
ขณะเดียวกันนั้น ลูเซียนก็รู้แล้วว่าคนผู้นั้นคือใคร เพราะที่นี่มีพระคาร์ดินัลเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีพลังนี้และอาจล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของโลกนี้ เนียฟสกี พระคาร์ดินัลเสื้อคลุมแดงระดับเจ็ด…
ก็จริงอยู่ว่าเป็นไปได้ที่จะคิดว่าคนผู้นี้อาจเป็นพระคาร์ดินัลเสื้อคลุมแดงจากฝ่ายใต้ที่ลอบเข้ามาในเมืองยูรัลเพราะได้รับภารกิจสำคัญบางประการ แต่ว่า มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้เห็นพระคาร์ดินัลระดับนี้กระทำการอุกอาจอย่างการสวมเสื้อคลุมประจำตำแหน่งพระคาร์ดินัลและบินไปมา เมื่อดูจากความเกลียดชังระหว่างศาสนจักรเหนือและใต้
แล้วสมองลูเซียนก็เต็มไปด้วยความคิดใหม่ทั้งหลาย เขานึกสงสัยว่าพระคาร์ดินัลรู้ถึงการมีอยู่ของโลกนี้ได้อย่างไร เขารู้เรื่องนี้มานานแล้วหรือเปล่า หรือว่าเพิ่งจะค้นพบสถานที่นี้ตอนกำลังไล่ตามนิโคนอฟมากันแน่ ลูเซียนนึกหวังให้คำตอบเป็นอย่างหลัง แต่หากว่ามันเป็นอย่างแรกแล้วล่ะก็ ความสัมพันธ์ระหว่างพระคาร์ดินัลกับนิโคนอฟย่อมมีความซับซ้อนมากทีเดียว อย่างไรเสีย ความลับของ ‘โลกแห่งวิญญาณ’ ก็ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ เหมือนอย่างผักกำหล่ำที่ขายอยู่ในตลาด
ลูเซียนยังอยากรี้อกด้วยว่าผีดิบชนิดไหนกันที่เพิ่งบินข้ามท้องฟ้าไปเมื่อไม่นานมานี้
ความลับของ ‘โลกแห่งวิญญาณ’ ก็เป็นเหมือนกับการมีอยู่ของมัน เพราะทั้งสองอย่างนี้ต่างถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกหนา
ลูเซียนตัดสินใจออกไปจากที่นี่ในภายหลัง เพราะพระคาร์ดินัลอาจกลับมาเมื่อไหร่ก็ได้ และเขาอาจวางกับดักซับซ้อนเอาไว้รอบๆ ทางออกเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีผู้ใดตามเขามา หากลูเซียนรีบร้อนออกไปจากที่นี่ เขาอาจพาตนเองเข้าไปหาภัยร้ายแรง นอกจากนี้ อาจเป็นไปได้ว่าจะมีคนที่มีพลังระดับสูงตามมาอีกก็ได้
ความอดทนคือเรื่องดีเสมอสำหรับสถานการณ์ส่วนใหญ่
ลูเซียนโบกสะบัดแขนพลางเดินไปมาบนดินแดนรกร้างอย่างไร้จุดหมายเหมือนอย่างผีกินศพตัวอื่นๆ แสร้งทำเป็นกำลังมองหาศพขณะรอให้พระคาร์ดินัลกลับมา
ในเวลาเดียวกันนั้น ลูเซียนก็เปิดอ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ศาสนจักรที่เขาเก็บรวบรวมเอาไว้ แล้วพยายามค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนและหลังการแยกตัวของทั้งสองศาสนจักร
ขณะเผชิญกับการแยกตัว ทั้งศาสนจักรใต้และศาสนจักรเหนือต่างพยายามสร้างชื่อเสียงดีงามให้กับตนเองและนำความอับอายไปสู่อีกฝ่ายเพื่อทำลายบันทึกประวัติศาสตร์ทั้งหมดที่ตรงข้ามกับฝ่ายตน ลูเซียนรู้สึกขบขันเล็กน้อยกับข้อเท็จจริงที่ว่าทั้งสองฝ่ายต่างมีความเห็นที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเกี่ยวกับคนคนเดียวกัน เช่น ถ้าว่าตามศาสนจักรใต้แล้ว พระสันตะปาปาเกรกอรีที่หนึ่งคือผู้เปี่ยมล้นด้วยเมตตาและซื่อสัตย์ศรัทธาอย่างยิ่ง ในขณะที่อีวานส์ พระสังฆราชคนแรกกลับถูกวาดภาพว่าเป็นจอมโกหกหลอกลวงที่โลภมากและเสื่อมทราม
แต่เมื่อว่ากันตามฝ่ายศาสนจักรเหนือ อีวานส์ พระสังฆราชคนแรกคือผู้ที่ซื่อสัตย์ศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้าอย่างที่สุด และเพื่อที่จะป้องกันโลกใบนี้จากการถูกพระสันตะปาปาหลอกลวง อีวานส์จึงเลือกที่จะลุกขึ้นสู้อย่างกล้าหาญ ในขณะที่พวกเขาประณามเกรกอรีที่หนึ่ง พระสันตะปาปาผู้นำศาสนา ‘นักบุญแห่งความจริง’ มาสู่ช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรืองมั่งคั่ง เป็นตัวการหลักของความเสื่อมทราม เป็นผู้ที่คอยขโมยเกียรติยศของพระเจ้าไป และสมควรได้รับการชำระล้างก่อนผู้ใดทั้งหมด
แม้ว่าสภาเวทมนตร์จะเก็บรวบรวมสำเนาบันทึกประวัติศาสตร์ทั้งหลายจากช่วงเวลานั้นเอาไว้และพยายามเป็นกลางเมื่อเป็นเรื่องของการทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ มันก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษหรือมีค่ามากมายในบันทึกดาษดื่นเหล่านี้ เว้นก็แต่เรื่องฉาวโฉ่ของเหล่าบุคคลสำคัญจากศาสนจักร
ส่วนหนึ่งของหนังสือที่ลูเซียนอ่านอยู่นี้บันทึกการเปิดการประชุมทางศาสนศาสตร์สูงสุดอันยิ่งใหญ่ไว้ว่า ‘…ในวันนั้น พระผู้เป็นเจ้าจ้องมองลงมายังนครศักดิ์สิทธิ์ นักบุญทั้งสี่ อันได้แก่ อีวานส์ อเล็กเซย์ ยูริเอล และเฟลิกซ์ ผู้เป็นพระคาร์ดินัลชั้นนักบุญทั้งเจ็ด เมื่อรวมซ็อตต์ อเลสเตอร์ และซิริซีอุส ยืนอยู่ท่ามกลางแสงศักดิ์สิทธิ์และประณามเกรกอรีว่าเป็นอวตารของเจ้าแห่งนรกภูมิ…’
นักบุญคือตำแหน่งศักดิ์สิทธิ์ในศาสนา ‘นักบุญแห่งความจริง’ มีอำนาจรองจากกระบอกเสียงแห่งพระเจ้า และนักบุญก็ได้รับการยกย่องให้เป็นอัครทูตสวรรค์ที่พระเจ้าส่งลงมายังโลกมนุษย์ แม้ว่าตำแหน่งจะไม่ได้เป็นตัวแทนพลังของคนผู้นั้นเสมอไป แต่ก็มีความเชื่อมโยงกันอย่างมาก บาทหลวงหรือพระคาร์ดินัลสามารถเลื่อนระดับขึ้นได้ง่ายกว่าเมื่ออยู่ในตำแหน่งนี้ ดังนั้นในกรณีส่วนใหญ่แล้ว พวกเขาจึงเป็นกลุ่มที่มีอำนาจในศาสนจักรมากกว่า จะเป็นรองก็เพียงพระสันตะปาปาเท่านั้น
ขณะที่อ่านบันทึกนี้ ลูเซียนก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น ‘ท่านไรน์บอกว่าข้าจะเจอเรื่องน่าสนใจ แต่ข้าไม่เห็นว่าในนี้จะมีอะไรเลย ก็มีเกร็ดประวัติที่น่าสนใจอยู่หรอก แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ข้ามองหาอยู่เลย…’
เมื่อไม่มีอะไรที่ทำได้อย่างปลอดภัยอีกแล้ว ลูเซียนจึงอ่านหนังสือต่อไป
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ พระคาร์ดินัลเสื้อคลุมแดงก็บินตัดผ่านท้องฟ้ากลับมา เขายังคงเมินเฉยต่อผีกินศพบนพื้นดิน และตรงไปที่ทางออกในทันที ทว่า ทั้งนิโคนอฟและสัตว์ประหลาดที่มีพลังระดับสูงต่างไม่ปรากฏตัวขึ้นอีกเลย โลกนี้จึงกลับมาว่างเปล่าและน่าขนลุกเหมือนเดิม
ในขณะที่อ่านตำรา ‘นักบุญอีวานมส์’ อยู่นั้น ลูเซียนก็เห็นพระคาร์ดินัลผู้นั้นบินผ่านไป เขานึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น และมันอาจถึงเวลาที่เขาจะไปจากสถานที่แห่งนี้แล้วก็ได้
ลูเซียนจำต้องออกไปจากที่นี่ เพื่อหลบเลี่ยงการพบเจอกับพระคาร์ดินัลหลวง หากเกิดว่าพระคาร์ดินัลตัดสินใจนำพวกเขาเข้ามายังโลกนี้ แต่เขาก็ไม่อยากจะรีบร้อนก่อนจะแน่ใจว่าพระคาร์ดินัลเสื้อคลุมแดงได้ออกไปจากที่นี่แล้วจริงๆ การเลือกเวลาที่เหมาะสมถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง
ในตอนที่ลูเซียนปิดตำรา ‘นักบุญอีวานส์’ เขาบังเอิญเหลือบไปเห็นประโยคหนึ่งบนหน้ากระดาษ ‘…ดังนั้นนักบุญอีวานส์จึงรับคำสั่งและตรงไปยังดินแดนภายใต้การปกครองของวิลเฟร็ด พวกเขาจำต้องชำระล้างนักเวทผู้ชั่วร้ายน่าหวั่นเกรง…’
ความคิดแปลกๆ พลันแล่นวูบเข้ามาในสมองลูเซียน ราวกับสายฟ้าฟาด
‘วิลเฟร็ด… ปรมาจารย์แห่งหัตถ์ไร้ชีวา… ไม่ใช่ว่าเขาคือนักเวทศาสตร์มืดระดับตำนานที่เคยร่วมงานกับมันเคลินย์และสหายคนอื่นๆ ของเขาหรอกหรือ’
ลูเซียนได้รับข้อมูลนี้มาจากสมุดบันทึกของฮันต์ พร้อมกันนี้ ลูเซียนยังเคยเห็นชื่อวิลเฟร็ดมาแล้วหลายครั้งในตำราเล่มอื่นๆ ที่เขาเคยอ่าน วิลเฟร็ดไม่เหมือนกับมาสเกลีน ไวเค็น และผู้วิเศษระดับตำนานอีกสามคนที่หายตัวไปหรือติดอยู่ใน ‘โลกแห่งวิญญาณ’ ในท้ายที่สุด เขากลับเสียชีวิตในวงล้อมของบรรดาพระคาร์ดินัลหลวง
อาจจะด้วยเหตุผลบางประการ วิลเฟล็ดจึงไม่ได้ร่วมออกสำรวจเพื่อไขความลับอันลึกล้ำของ ‘โลกแห่งวิญญาณ’ …นั่นคือสิ่งที่ลูเซียนคาดเดา ในขณะเดียวกันนั้น เขาก็รีบหาบันทึกของศาสนจักรเกี่ยวกับเหตุการณ์ล้อมวงสังหารที่สำคัญนี้
แต่แล้วลูเซียนก็ต้องประหลาดใจและเป็นกังวลเล็กน้อย เพราะผลการค้นหาส่วนใหญ่นั้นมาจากศาสนจักรเหนือและสภาเวทมนตร์ ในขณะที่ศาสนจักรใต้เลือกที่จะเล่าถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์นี้สั้นๆ โดยไม่เอ่ยถึงนามผู้นำการลงมืออย่างนักบุญอีวานส์เลย
‘พระคาร์ดินัลหลวงทั้งหก อันได้แก่ อีวานส์ อเล็กเซย์ นิคอน ยูริเอล จีโน เฟลิกซ์ ได้ลอบโจมตีมิติพิเศษในหอคอยเวทมนตร์ของวิลเฟร็ด ในการต่อสู้อันดุเดือดนี้ พระคาร์ดินัลหลวงทั้งหกสังหารนักเวทศาสตร์มืดและทำลายกล่องแห่งชีวิตได้สำเร็จ…ทว่านิคอนกลับถูกวิลเฟร็ดสังหาร’
ลูเซียนทวนชื่อเหล่านั้นซ้ำๆ ในใจ แล้วเขาก็พลันรู้สึกราวกับว่ายอดสูงสุดของความลับแสนลึกลับนี้ได้ถูกเปิดเผยออกแล้ว…
นิคอนถูกวิลเฟร็ดสังหาร… แล้วจีโนเล่า
หลังค้นหาเอกสารอย่างรวดเร็ว ลูเซียนก็ได้เห็นบันทึกสุดท้ายเกี่ยวกับพระคาร์ดินัลหลวงผู้นี้ ‘ในระหว่างการต่อสู้กับวิลเฟร็ด นักเวทศาสตร์ผู้ชั่วร้าย พระคาร์ดินัลหลวงจีโนได้รับบาดเจ็บสาหัสในวินาทีสุดท้ายก่อนที่วิลเฟร็ดจะดับดิ้น ดวงจิตของจีโนถูกพลังแห่งความตายเข้าพัวพัน เจ็ดปีหลังจากนั้น จีโนก็เสียชีวิตลง ณ นครศักดิ์สิทธิ์แลนซ์’
หนังสือเล่มนั้นถูกเปิดทิ้งไว้บนโต๊ะในห้องสมุดห้วงจิต ลูเซียนกำลังตกอยู่ในภวังค์…
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ลูเซียนก็ตระหนักได้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ เขาฝืนบังคับตัวเองให้สงบจิตใจลงแล้วลอบหลบหนีออกมาจากฝูงผีกินศพ แล้ววิ่งตรงไปยังทางออก
หลังจากตรวจดูและใช้ ‘มงกุฎสุริยัน’ สัมผัสสถานที่ทั้งหมดแล้ว ลูเซียนก็เดินผ่าน ‘ม่าน’ ที่แสนหนาหนักและเย็นเยียบตรงปากทางออกและกลับมายังโลกคนเป็น ไม่นานเขาก็ออกไปจากอุโมงค์เหมืองและซ่อนตัวอยู่ภายในเทือกเขา
…
หนึ่งสัปดาห์ถัดมา ข้างหนองน้ำลึกในเทือกเขาเมืองยูรัล
ลีโอค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากพุ่มไม้แล้วตรวจตราสภาพแวดล้อมด้วยความระแวดระวัง เพื่อให้แน่ใจว่ามิมีผู้ใดตามเขามา
สัญลักษณ์บางอย่างที่ยากจะสังเกตเห็นถูกทำทิ้งไว้ใกล้ๆ กับหนองน้ำนั้น ชี้นำให้ลีโอไปยังสถานที่อื่น
ลีโอตามสัญลักษณ์นั้นไป และสถานที่นัดพบของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอีกสองสามครั้ง แล้วในที่สุดเขาก็ได้ยินเสียงอันนุ่มนวลอ่อนโยนคุ้นหู “ลีโอ ทางศาสนจักรกับจักรวรรดิยังตามหาเราหรือไม่”
ลีโอหันหลังขวับ และก็ได้เห็นว่าลูเซียนยืนอยู่บนต้นสนยักษ์โดยที่ในมือทั้งสองข้างถือดาบหนักเอาไว้
“ขอรับ ยังตามหาอยู่ สองสามวันหลังจากนี้คงยากลำบากไม่น้อยกว่าจะไปถึงป่าในเขตราชรัฐออร์วาริต…” เสียงลีโอสั่นเครือ ก่อนที่เขาจะถามด้วยความเหลือเชื่อ “นายท่าน… ดาบหนักเล่มนั้นคือ…?”
………………….