บทที่ 204 มันคือคำสั่ง

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

ภายในบริษัทก่อสร้างเทียนเฉิน

ในตอนที่เย่เทียนกำลังแสดงแสนยานุภาพอยู่ที่บริษัทแซ่เฉินนั้น จางหารือก็จ้องมองไปยังจอโปรเจคเตอร์อย่างพึงพอใจ

หลังจากที่สามผู้อาวุโสแห่งสำนักหวู่หันตายอย่างโหดเหี้ยมในมือของเย่เทียนแล้ว เขาก็รู้สึกหวาดกลัวอยู่ตลอด กลัวว่าเย่เทียนจะมาหาตนถึงที่

พอเขารู้ว่าข่าวที่ออกในวันนี้เป็นข่าวด้านลบของบริษัทแซ่เฉินทั้งนั้น เขารีบรวบรวมสินทรัพย์พร้อมกับความรู้สึกดีใจจากสิ่งไม่คาดคิด เหมือนต้องจากที่จะซ้ำเติมบริษัทเเซ่เฉิน เหมือนต้องการที่จะกดดันเย่เทียน

ยังไงทั้งคู่ก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากันอยู่แล้ว จางเวยไม่มีทางรู้สึกว่าเย่เทียนจะปล่อยตนไว้แน่

ถ้าต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัวทุกวัน สู้ชิงลงมือก่อนไม่ดีกว่าเหรอ!

ทุกอย่างมันเป็นไปตามที่เขาคิด หลังจากที่ตลาดหุ้นเปิด หุ้นของบริษัทแซ่เหารือก็ร่วงอย่างรวดเร็ว สีสันที่เป็นสีเขียวทำให้จางเวยยิ้มจนแทบจะหุบยิ้มไม่ได้

“ประธานจาง พวกเราเตรียมตัวเสร็จแล้วครับ” เทรดเดอร์ที่เตรียมจะเข้าซื้อหุ้นได้พูดรายงาน

จางเวยโบกมือใหญ่ๆ ของเขา แล้วพูดด้วยสีหน้าที่ดุร้ายว่า “แล้วยังจะรออะไร! ไปจัดการซะ! ต้องทำให้บริษัทเเซ่เฉินล้มละลายให้ได้!”

……

ถ้าสามารถเลือกได้ละก็ เย่เทียนก็ไม่อยากช่วยเฉินหวั่นชิงด้วยวิธีนี้เลย

มันไม่ใช่อะไร มันแค่ยุ่งยากแล้วเสียเวลามากก็เท่านั้น

ทั้งๆ ที่แค่เอามีดจ่อคอก็สามารถจัดการได้แล้ว ทำไมต้องทำให้มันยุ่งยากขนาดนี้ด้วย?

แต่พอนึกถึงป้ายคนป่าเถื่อนที่เฉินหวั่นชิงติดให้เขาก่อนหน้านี้ เขาก็มีแต่ต้องใช้วิธีนี้เท่านั้น

แต่ปัญหามันจบแล้วจริงๆ แล้ว?

บางทีในสายตาของเฉินหวั่นชิงนั้นอาจจะใช่ แต่ในความคิดของเย่เทียนนั้น มันยังไม่จบหรอก!

ในเมื่อกระทำความผิดแล้ว มันก็ต้องชดใช้ให้สาสม

แต่ประเด็นคือ จะให้ส่งจางเจี้ยนถังไปโรงพักทั้งอย่างนี้ มันจะไม่เอาเปรียบเขาไปหน่อยเหรอ?

อีกอย่าง ในมือของจางเจี้ยนถังยังถือหุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของบริษัทเเซ่เฉินอยู่ ถ้าเขาถูกส่งไปที่โรงพัก นักข่าวพวกนั้นก็คงจะตามรายงานข่าวเหมือนกับแมวที่ได้กลิ่นคาวเลือด

ถ้าถึงเวลานั้นจริง เกรงว่าหุ้นของบริษัทเเซ่เฉินก็น่าจะดิ่งลงเหว มันไม่ใช่สิ่งที่เย่เทียนอยากเห็นเลย

พอออกจากห้องประชุม เย่เทียนก็มุ่งตรงไปที่ห้องรปภ.

นอกจากจางเจี้ยนถังแล้ว ในห้องยังมีรปภ.อีกหลายคนเฝ้าอยู่ ส่วนคนที่นำทีม นอกจากเหอเชิ่งที่เป็นหัวหน้ารปภ.แล้วจะเป็นใครได้อีก?

เหอเชิ่งค่อนข้างที่จะปลื้มเย่เทียน ถ้าไม่ได้เย่เทียน แล้วเขาจะขึ้นเป็นหัวหน้ารปภ.ได้ยังไง?

ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่เย่เทียนมาสัมภาษณ์ตำแหน่งบอดี้การ์ดส่วนตัวของเฉินหวั่นชิงนั้น เหอเชิ่งก็วิเคราะห์ได้แล้วว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่ธรรมดาด้วยความที่ยึดถือความรู้สึกแรกเป็นหลัก เหอเชิ่งก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของเย่เทียนเลย ต่อให้จางเจี้ยนถังที่เป็นประธานก็ไม่ยกเว้น!

อีกอย่าง แม้แต่จางฟู่ฉีที่เป็นลูกชายก็ได้ล่วงเกินไปแล้ว แล้วคนเป็นพ่ออย่างจางเจี้ยนถังยังมีอะไรให้กลัวอีก?

“คุณชายเย่ มาแล้วเหรอครับ?”

พอเห็นเย่เทียนมาถึง เหอเชิ่งก็รีบเข้าหาทันที

เย่เทียนพยักหน้าเบาๆ เป็นการทักทาย จากนั้นค่อยทอดสายตาไปที่จางเจี้ยนถัง

จางเจี้ยนในตอนนี้แตกต่างกับตอนอยู่ในห้องประชุมราวกับเป็นคนละคนเลย มือขวายังคงมีปากกาเสียบอยู่ สีหน้าหม่นหมองจนถึงที่สุด ไม่เหลือราศีของคนระดับสูงเลย

“พวกคุณออกไปกันก่อน! ผมขอคุยกับประธานจางหน่อย”

หลังกวาดตามองรปภ.ที่อยู่ในห้องไปรอบหนึ่ง เย่เทียนก็ได้โบกมืออย่างสบายๆ

กลุ่มรปภ.ที่มีเหอเชิ่งนำทีมก็ต้องไม่ขัดข้องอะไรอยู่แล้ว พวกเขาออกจากห้องไปทันที และไม่ลืมที่จะปิดประตูอย่างเอาใจใส่ด้วย

“นี่แกยังคิดจะทำอะไรอีก?”

จางเจี้ยนถังนั่งอยู่ที่พื้น มือซ้ายกุมอยู่บนมือขวาทีได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากความเจ็บจึงทำให้เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดออกมาจากตรงหน้าผาก แต่เขากลับไม่ได้โอดครวญออกมาสักคำ พร้อมกับจ้องมองเย่เทียนด้วยสายตาที่เคียดแค้น

“หนึ่ง คืนเงินทั้งหมดที่คุณเอาไปจากบริษัทเเซ่เฉินในช่วงหลายปีกลับมาให้หมด สอง ยกหุ้นของบริษัทเเซ่เฉินให้หวั่นชิงโดยไม่มีข้อแม้ สาม ผมให้เวลาคุณสามวัน ออกจากเจียงหนันไปซะ!”

เย่เทียนลากเก้าอี้มานั่ง ไขว่ห้างด้วยความยโส พร้อมกับจ้องมองจางเจี้ยนถังอย่างผู้ที่อยู่เหนือ

จางเจี้ยนถังมองดูเย่เทียนอย่างลึกซึ้ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า “ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าแกไม่ได้หลอกฉัน?”

เขานั้นอายุปูนนี้แล้ว ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก็ไม่น้อย เขารู้ดีว่าตัวเองทำอะไรผิด ยิ่งรู้ว่าเรื่องแบบนี้ถ้าขึ้นศาลแล้วบทสรุปจะออกมาแบบไหน

ถึงการถอนหุ้นกับคืนเงินที่ยักยอกไปจะทำให้เขาเจ็บหนักมาก แต่อย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าถูกยึดจนไม่เหลืออะไรเลยมั้ง?

“ขอให้คุณทำความเข้าใจอะไรอย่างหนึ่ง”

เย่เทียนโน้มตัวลงมาเล็กน้อย แล้วพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ผมไม่ได้กำลังหารือกับคุณ!”

“คุณสามารถปฏิเสธได้ แต่ผมรับรองได้เลยว่าคุณ ลูกชายของคุณ หรือแม้กระทั่งทุกคนในตระกูลจางอาจจะไม่ได้เห็นดวงอาทิตย์ของวันพรุ่งนี้อีก!”

“แก……” จางเจี้ยนถังสีหน้าไม่น่าดูเลย

ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขากลัวตายรึเปล่า แต่เขาจำเป็นต้องคำนึงถึงจางฟู่ฉี คำนึงถึงคนในตระกูลจาง

“คุณอย่าสงสัยในคำพูดของผมเด็ดขาด ผมถึงขั้นสามารถตรวจสอบการทำงานของคุณในช่วงหลายปีมานี้ได้ มันก็มากพอที่จะรับรองความอดทนของผมได้”

ไม่รอให้จางเจี้ยนถังพูดจบ เย่เทียนก็ตัดพ้อว่า “ไม่นานมานี้ ผมเองก็เคยเกลี้ยกล่อมหลิวเหวินซวุ่มาก่อน แต่เขากลับไม่ยอมฟัง สุดท้ายก็มีจุดจบโดยการถูกคนบุกเข้าไปยิงถึงในห้อง”

รูม่านตาของจางเจี้ยนถังหดเล็กลง แฝงด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากจะเชื่อ “แกเป็นคนฆ่าหลิวเหวินซวุ่อย่างนั้นเหรอ?!”

เย่เทียนเบ้ปาก “ผมไม่เคยพูดอย่างนั้นสักหน่อย”

ถึงเย่เทียนจะปฏิเสธ แต่รอยยิ้มอันลึกซึ้งที่อยู่บนใบหน้าของเขามันสื่ออะไรออกมาได้มากมาย มีเหรอที่จิ้งจอกเฒ่าอย่างจางเจี้ยนถังจะดูไม่ออก

หลังจากที่เงียบไปสองวิ เหมือนเขาจะดูแก่ไปหลายสิบปีเลย จากนั้นก็พูดออกมาอย่างหดหู่ว่า “ตกลง! ฉันจะทำตามที่แกบอก!”

“คุณเป็นคนที่ฉลาดคนหนึ่ง”

เย่เทียนได้ยิ้มออกมา แล้วโยนเอกสารโอนหุ้นที่ให้กู้กวนชีเตรียมไว้นานแล้วไป “เซ็นซะ!”

จางเจี้ยนถังเก็บเอกสารขึ้นมาแล้วเปิดดูคร่าวๆ หันมองเย่เทียนอย่างลึกซึ้ง จากนั้นก็เซ็นชื่อของตัวเองลงไปในสัญญา

“ส่วนเรื่องเงิน ผมจะให้เวลาคุณเตรียมหนึ่งวัน”

เย่เทียนรับเอกสารมาอย่างพึงพอใจ ลุกขึ้นแล้วพูดไปว่า “คุณไม่ต้องคิดที่จะหนีหรอก เพราะทุกการเคลื่อนไหวของคุณมันอยู่ในสายตาผมแล้ว!”

ทำไมจางเจี้ยนถังจะฟังคำขู่ของเขาไม่ออก “แกไม่ต้องห่วง ฉันไม่หนีหรอก”

เมื่อได้หุ้นมาแล้ว เย่เทียนก็ไม่อยากเสวนากับจางเจี้ยนถังต่อ เขาจึงหมุนตัวแล้วเดินออกจากห้องรปภ.

เหอเชิ่งที่รออยู่นอกห้องรีบเดินเข้ามา แล้วถามไปว่า “คุณชายเย่ เป็นยังไงบ้าง? เราต้องแจ้งตำรวจมั้ยครับ?”

เย่เทียนส่ายหน้า “ไม่ต้อง ปล่อยเขาไป”

กริ้งๆ!

ทันใดนั้น มือถือของเย่เทียนก็ได้ดังขึ้น หยิบมือถือออกมาแล้วมองดู ปรากฏว่าเป็นกู้กวนชีที่โทรมา

เย่เทียนรับสายพร้อมกับคิ้วที่ขมวดเป็นปม “ทำไม? นี่เธอยังจัดการไม่ได้อีกเหรอ?”

“ไม่ค่ะ ประธานเฉินจัดการเสร็จแล้ว ตอนนี้พวกประธานเฉินกำลังหารือกันอยู่ว่าจะอาศัยโอกาสนี้โปรโมทยาเพิ่มพลังยังไงดีค่ะ”

กู้กวนชีรู้ดีว่าเธอที่เขาพูดถึงนั้นหมายถึงใคร จึงรีบตอบไป

จู่ๆ เย่เทียนก็หลุดขำออกมา ภรรยาของเขาคนนี้ ช่างเป็นอัจฉริยะในด้านการค้าจริงๆ!

พอนึกขึ้นได้ เขาก็ถามกลับไปว่า “แล้วที่คุณโทรหาผมมีเรื่องอะไร?”

“คุณชายเย่ ประธานเฉินเป็นคนให้ฉันโทรหาคุณค่ะ”

กู้กวนชีตอบไปตามตรง “ประธานเฉินบอกว่าอีกเดี๋ยวอยากเปิดงานแถลงข่าวสักหน่อย เธออยากให้คุณเข้าร่วมด้วยและให้คุณไปรออยู่ที่ห้องทำงานก่อนค่ะ”

“โอเค ผมเข้าใจแล้ว”

เย่เทียนรู้สึกจนใจ ถึงเขาจะมีอย่างอื่นที่ต้องไปทำ แต่คำของภรรยา ถ้าไม่ไว้หน้ามันจะดูน่าเกลียดเกินไปนะ!

ยังไงซะ เรื่องตลกโปกฮาที่เกิดขึ้นในวันนี้ ต้นเหตุมันก็มาจากเขานี่แหละ……