ภาคอวสาน ตอนที่ 21 ผลึกแก้วหลิวหลี (1)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ตอนเสวียนจีจากมาก็ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นางไล่ตามอยู่ด้านหลังไป๋ตี้เงียบๆ ที่คิดในสมองนั้นก็มีแต่สหายที่ตนจากมาพวกนั้น

เข้าเฝ้าราชันสวรรค์แน่นอนว่าเป็นเป้าหมายใหญ่ที่สุดของพวกเขาครั้งนี้ แต่หากพวกเขารู้ล่วงหน้าว่ามีแต่เสวียนจีคนเดียวที่จะได้เข้าเฝ้า คนที่เหลือตายก็ตายไป สาบสูญก็สาบสูญไป ยังมีพวกถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ พวกเขายังคงพยายามมาที่นี่กันด้วยความกระตือรือร้นกันอย่างเต็มที่หรือ

ฉู่เหล่ยเคยกล่าวว่าคนเรามีชีวิตอยู่ ทุกเรื่องล้วนมีกฎเกณฑ์และคาดการณ์ล่วงหน้า หากปล่อยไปตามกฎเกณฑ์กำหนดก็จะราบรื่นตลอดไป ย่อมเรียบง่าย แต่ทว่าไม่อาจได้ลิ้มลองรสชาติแห่งความสุขอย่างหนึ่ง ผู้ใดก็ไม่รู้อนาคตจะเกิดอะไรขึ้น เหมือนที่พวกเขามาเขาคุนหลุนด้วยจิตใจมุ่งมั่นแรงกล้า ทุกย่างก้าวล้วนทำให้พวกเขารู้สึกหวาดหวั่น แต่ผู้ใดก็ไม่ละทิ้งความตั้งใจ

เส้นทางสายนี้ถูกหรือผิด ไม่เดินจนสุดทางก็ไม่มีผู้ใดรู้ได้ ระหว่างทางมีคนมากมายเข้ามาปะทะพวกเขา ส่งเสียงร้องตะโกนท้าทาย คิดให้พวกเขาเดินไปยังทางแยกอื่น หากเดินไปย่อมกลายเป็นเส้นทางสายมารอย่างไม่อาจย้อนคืน นั่นคือการลวงหลอกอย่างหนึ่ง เป็นการล่อลวงใจอย่างหนึ่ง เสวียนจีไม่อยากคิดต่อเลยจริงๆ

ในเมื่อเลือกเส้นทางนี้แล้ว ก็ย่อมยืดอกสง่าผ่าเผยก้าวเดินต่อไปให้สุดทาง วาจาฉู่เหล่ยนั้นนางจำขึ้นใจมาโดยตลอด ทำอะไรให้คิดถึงผลภายหลัง คิดชั่งตวงผลลัพธ์ดีร้ายให้ดี ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่อาจตัดสินว่าอะไรคือถูก อะไรคือผิด คนที่ถูกโลกรอบข้างดึงออกนอกเส้นทางไป คนเช่นนี้ย่อมไม่มีวันได้รู้ว่าอะไรเรียกว่าไปจนสุดทาง

ถูกผิด ดำขาว ล้วนเป็นสองสิ่งที่ตรงกันข้าม นางเองก็ต้องเลือกมาตลอด เส้นทางนี้ผิดหรือถูก

ไม่เดินไปถึงสุดทาง ผู้ใดก็ไม่รู้คำตอบ

เจ้าอาจบอกว่ามันคือความดื้อรั้นของคนดี หรืออาจเรียกว่าความดึงดันของคนชั่ว ไม่ว่าแบบใด แต่สุดท้ายแล้วก็ล้วนเป็นความจริงใจแท้จริงของทั้งสองสิ่ง

ก็แค่ตาย ไม่เห็นมีอะไร ในใจเสวียนจีคิดเช่นนี้ ทำให้รู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมาทันที ความอัดแน่นที่กดทับในใจมานานก็เหมือนผ่อนคลายลงในพริบตา

“ท่านแม่ทัพราวกับคิดปัญหาหนักอกหนักใจตกแล้ว” ไป๋ตี้พลันเอ่ยขึ้น น้ำเสียงแฝงเสียงหัวเราะ ทำเอาเสวียนจีตกใจสะดุ้ง

“เอ๋? คือว่า…ไม่มีปัญหา…หนักอกหนักใจอะไร” นางจ้องมองแผ่นหลังไป๋ตี้ แขนเสื้อซ้ายว่างเปล่าของเขาสะบัดไปตามแรงลม แผ่นหลังชายหนุ่มเปล่งรัศมีเย็นเยียบกระแสหนึ่ง

ไป๋ตี้รู้สึกตัว ลูบแขนเสื้อซ้ายที่ว่างเปล่า ค่อยๆ เดินช้าลง กล่าวเบาๆ ว่า “เราชินกับการมีแขนขวาข้างเดียวแล้ว”

ในใจเสวียนจีตกใจเล็กน้อย อยากถามว่าเขาเกิดมาก็ไม่มีแขนซ้ายหรือว่าถูกคนฟันขาด แน่นอนนางเองก็รู้ว่าไม่มีผู้ใดเกิดมาก็ไม่มีแขนซ้าย นับประสาอันใดกับไป๋ตี้ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดแห่งตะวันออก ผู้เปล่งประกายแสงเจิดจ้าดุจดาวประกายพรึก ผู้ใดกล้าตัดแขนเขา

ไป๋ตี้ค่อยๆ หันกลับมามองนางด้วยสายตาลุกโชน กล่าวเบาๆ ว่า “ไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพคิดปัญหาหนักใจอันใดตก ข้าอยากขอแบ่งปัน”

เสวียนจีนิ่งอึ้งไปเป็นนานจึงได้กล่าวว่า “ไม่…ข้าเพียงแต่คิดว่า ไม่รู้ว่ามาเขาคุนหลุนครั้งนี้…ไม่ บางทีข้าเกิดมาจนอายุสิบแปดสิบเก้านี้ แท้จริงถูกหรือผิด”

ไป๋ตี้ยิ้มกล่าวว่า “คำถามนี้ยากสำหรับเรา ถูกหรือผิด ฟ้าเองก็ไม่อาจกล่าวได้กระจ่าง ล้วนขึ้นแต่ใจคน ท่านแม่ทัพ ความสำคัญนั้นไม่ใช่ผล แต่เป็นกระบวนการนั้นได้ตระหนักรู้อันใดต่างหาก ท่านเข้าใจไหม”

เสวียนจีพยักหน้าเหมือนเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ สำคัญที่กระบวนการ ไม่ใช่ผลหรือ นางนึกถึงชีวิตหลายปีมานี้ มีทั้งรอยยิ้ม มีทั้งคราบน้ำตา มีทั้งพร้อมหน้า มีทั้งจากไกลห่าง ทุกประสบการณ์ล้วนทุ่มเทจิตใจลงไปหมดสิ้น ไม่ทันรู้ตัว นางก็เติบโตเช่นนี้แล้ว มีความคิดเป็นของตนเอง เทียบกับความไร้ใจที่ไม่เคยเข้าใจอะไรเลยก่อนหน้าแล้ว ตอนนี้เรียกได้ว่าแตกต่างไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ

ครั้งนี้นางพยักหน้าอย่างจริงใจ กล่าวว่า “เป็นเช่นนี้จริง”

ไป๋ตี้ลูบแขนเสื้อด้านซ้ายที่ว่างเปล่าเบาๆ เผยรอยยิ้มกล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ท่านแม่ทัพเปลี่ยนไปไม่น้อยจริงๆ ความคมกริบฟาดฟันในวันวานล้วนเก็บคมเรียบร้อย เราชื่นชมยิ่ง ราชันสวรรค์เห็นแล้วก็ย่อมต้องยินดียิ่งอย่างแน่นอน”

ในใจเสวียนจีมีคำถามใหญ่มาคำถามหนึ่ง รีบถามว่า “แต่…ตอนนี้ท่านชมข้าเช่นนี้ เช่นนั้นเหตุใดยังจะลงโทษข้าอีก ว่าอะไรนะ…กบฏ?”

ไป๋ตี้ยิ้มกล่าวว่า “เมื่อเจ้าได้เข้าเฝ้าราชันสวรรค์ก็ย่อมเข้าใจเอง”

นางร้อนใจกล่าวว่า “ช้าก่อน! แล้วสหายข้าพวกนั้น…”

“ทุกคนล้วนมีวาสนาของตน ท่านแม่ทัพอย่าได้เป็นกังวลมากไป”

เงาร่างไป๋ตี้พลิ้วแผ่ว พริบตาก็ผ่านพุ่มดอกไม้สดใสตรงหน้า ชุดขาวต้องแสงตะวันส่องประกายแสงเข้าตา เขาเดินไม่เร็วนัก แต่เสวียนจีพบว่านางต้องใช้แรงวิ่งจึงจะตามหลังเขาไม่ให้ทิ้งห่าง สุดท้ายรู้สึกยิ่งกินแรง เขาเดินพาดผ่านเส้นทางที่มีต้นไม้ขวางหน้าราวกับหมอกควันบางเบา ไม่ได้เหนื่อยหอบเหมือนนาง ระยะห่างของทั้งสองยิ่งห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ

เสวียนจีร้องตะโกนขึ้น “ช้าก่อน! ท่าน ท่านอย่าเดินเร็วอย่างนั้นสิ!”

เสียงตะโกนจบ พริบตาร่างชุดขาวของเขาก็ค่อยๆ หายวับไปกลางพุ่มดอกไม้ ทิ้งไว้เพียงเสียงกลั้วหัวเราะว่า “ท่านแม่ทัพ ตอนนี้ท่านมีกายเนื้อ มนุษย์กับเทพย่อมแตกต่าง คงต้องไล่ตามมาเอง”

เสวียนจีพลันฮึดไล่ตามไปต่อ มองไกลๆ ก็เห็นเขานำทางอยู่ข้างหน้าไม่รีบไม่ร้อน นางกัดฟันเหินไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว รู้สึกเพียงแค่ไม่ว่าตนเองจะพยายามไล่ตามอย่างสุดชีวิตอย่างไร ระยะห่างจากแผ่นหลังเขาก็ยังคงห่างราวสี่ห้าจั้ง ไล่ตามอย่างนี้ไปไม่รู้นานเท่าไร พลันได้ยินไป๋ตี้ด้านหน้ากล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ดวงจิตผลึกแก้วหลิวหลีชิ้นหนึ่ง ไยมีความรู้สึกได้ วันวานท่านทำผิดมหันต์เช่นนั้น วันนี้ก็ถือว่าไม่มีความผิดแม้แต่น้อยหรือ”

วาจาเขาลึกล้ำยิ่ง ทำเอาไม่อาจเข้าใจได้ เสวียนจีกะพริบตาปริบๆ เห็นเพียงด้านหน้ามีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีร่างเงาไป๋ตี้แล้ว! อยู่ๆ นางก็เริ่มลนลานมองไปรอบทิศ เห็นตำหนักงดงามอลังการ มีบันไดและราวกั้นสีขาวราวหิมะปรากฎตรงหน้า ขอเพียงยกเท้าก็ก้าวขึ้นไปได้

ที่นี่ใช่ตำหนักข้างหรือยัง

นางแอบวาดหวังว่าใช่ รีบก้าวขึ้นบันไดไป รั้วกั้นสีขาวหยกล้อมหลายพันร้อยรอบ มีเส้นทางวนรอบไม่รู้เท่าไร จนมาถึงประตูใหญ่ได้ในที่สุด ตอนผลักเข้าไป นางได้แต่หอบหายใจหมดแรงแล้ว

หลังประตูมีตำหนักใหญ่โตอลังการ เสาทองคำเก้าต้นเรียงยาวสลับกันไป ม่านสีเงินทิ้งตัวพลิ้วตามแรงลม หลังม่านเหมือนมีเงาคนมากมายนับไม่ถ้วนยืนรอกันอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยท่ามกลางกลิ่นกำยานหอม เสวียนจีหลังประชิดประตูจ้องมองภาพตรงหน้าพลางไตร่ตรอง เห็นบัลลังก์มังกรตรงหน้าว่างเปล่า ไม่มีคน

ดูท่ามาผิดที่แล้ว นางส่ายหน้ากำลังจะหันหลังออกไป พลันได้ยินในตำหนักมีคนตีระฆังราวเบาๆ ทีหนึ่งดัง เก๊ง เสนาะหู ตามมาด้วยเสียงม่านรอบๆ ทิ้งตัวต้องลมพลิ้วแผ่ว พริบตาก็เข้ากั้นหน้าบังลังก์มังกรนั่นไว้ชั้นหนึ่งจนมองไม่เห็นด้านหลังอีก

เสวียนจีกำลังลังเลอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงอ่อนโยนจากด้านหลังม่านดังขึ้น เรียกนางว่า “ท่านแม่ทัพ ท่านต้องการพบเราหรือ”

พอนางได้ยินเสียง ในใจก็ราวกับสายฟ้าฟาดทำเอาตาลายใจเต้นแรงไปหมด เสียงคุ้นเคยมาก! นางเคยได้ยินเสียงนี่มาก่อน! ทำให้นางอดรู้สึกเคารพไม่ได้ เป็นเสียงที่เลื่อมใสมานานแล้ว

ราวกับรู้สึกได้เอง นางรู้ทันทีว่าด้านหลังม่านก็คือราชันสวรรค์ จึงรีบก้าวเข้าไป คุกเข่าลงอย่างเงอะงะ ลังเลกล่าวว่า “คา…คารวะราชันสวรรค์”

ราชันสวรรค์ตรัสอ่อนโยนว่า “ท่านแม่ทัพไม่ต้องมากพิธี เชิญลุกขึ้น”

เสวียนจีลุกขึ้นอย่างตื่นตระหนก ก่อนหน้าเคยคิดไตร่ตรองว่าหากได้เข้าเฝ้าราชันสวรรค์แล้วจะพูดอะไรทำอะไรอย่างละเอียดหลายต่อหลายรอบ ยามนี้ถึงกับลืมไปหมด ในสมองว่างเปล่า ถึงกับกลายเป็นดังเด็กโง่

ราชันสวรรค์กล่าวอีกว่า “ท่านแม่ทัพยังลงไปผ่านเคราะห์ไม่ครบกำหนด ยามนี้บุกรุกเขาคุนหลุนมาพบเรา มีเรื่องสำคัญอันใดหรือ”

เสวียนจีลำคอตีบตัน อึกอักถึงกับพูดไม่ออก

เช่นนี้คงไม่ได้การแล้ว! ในใจนางเริ่มได้สติเตือนตนเอง รีบจิกฝ่ามือลงไปทีหนึ่งเพื่อเรียกสติคืนมา ก่อนจะตั้งสมาธิ วาจาอัดแน่นในใจราวกับกลับคืนมา นางประสานมือกล่าวว่า “ข้า…บุกรุกเขาคุนหลุนเป็นความผิดมหันต์ ข้ารู้ดี ไม่กล้าขอให้ราชันสวรรค์อภัยโทษ แต่…มีบางเรื่อง ข้าต้องมาทูลให้กระจ่าง ไม่เช่นนั้นไม่อาจสบายใจได้”

“ท่านแม่ทัพเชิญกล่าว”

เสวียนจีกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ก่อนหน้าท่านส่งคนไปจับข้า ข้าขัดราชโองการ…ไม่ได้คิดหมิ่นฟ้าดิน แต่ข้าคิดว่าตนเองไม่ได้กบฏ เรื่องอู๋จือฉี บางทีอาจเป็นความผิดข้า ในสายตาแดนสวรรค์ เขาเป็นนักโทษชั่วร้ายไม่อาจละเว้น ไม่ควรเข้าใกล้แม้แต่จะสนทนา แต่ข้ากลับรู้สึกว่าเขาเป็นคนไม่เลว เป็นสหายข้า คบหาเป็นสหายกับเขา หรือว่าก็เท่ากับเป็นกบฏ หลักการนี้ข้าไม่เข้าใจ”

ราชันสวรรค์ “อืม” ขึ้นเสียงหนึ่ง กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “จากการตรวจสอบ อู๋จือฉีไม่ใช่ท่านเป็นผู้ปล่อยออกจากแดนปรภพ หากเป็นครุฑอวี่ซือเฟิ่งกับหลิ่วอี้ฮวนทำความผิดนี้”

เสวียนจีได้ยินเขาเอ่ยถึงอวี่ซือเฟิ่ง ก็ยิ่งลนลานร้อนใจกล่าวว่า “ไม่! เขาไม่ตั้งใจ! มีคนบีบพวกเขา!”

ราชันสวรรค์หัวเราะเบาๆ ขึ้นเสียงหนึ่ง กล่าวว่า “ท่านแม่ทัพ เราถามท่านสักคำ หากว่าเราจับอู๋จือฉีขังในแดนปรภพอีกครั้ง อวี่ซือเฟิ่ง หลิ่วอี้ฮวน ถิงหนู ทั้งสามขังไว้รอลงอาญา ท่านแม่ทัพคงคิดจะเป็นปรปักษ์กับฟ้าดินใช่หรือไม่ จะทำเรื่องที่ขัดต่อหลักคุณธรรมแห่งฟ้าไหม”

หมายความว่าอย่างไร?! เสวียนจีอยู่ๆ พลันได้สติ เขาพูดว่าอีกครั้ง! อะไรคืออีกครั้ง? หรือว่าเมื่อก่อนนางเคยทำเรื่องเป็นปรปักษ์กับฟ้าดินจริง

“ท่านแม่ทัพ” เห็นนางชักช้าไม่กล่าวอันใด ราชันสวรรค์เรียกนางอีกครั้ง

เสวียนจีกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้า…ไม่รู้ แต่สำหรับข้า พวกเขาล้วนเป็นคนสำคัญของข้า ชี้นำชีวิตนี้ให้กับข้า ข้าเชื่อว่าพวกเขาไม่ใช่คนเลว หากราชันสวรรค์จะลงโทษพวกเขาจริง เช่นนั้นไม่ว่าอีกกี่ครั้ง ข้าก็จะมาขอร้องท่านอีก ให้ข้าทำอะไรก็ได้”

สุรเสียงราชันสวรรค์ราวกับเริ่มสนใจ แย้มสรวลตรัสว่า “อ้อ? เช่นนั้นหากไม่ว่าเจ้าขออะไร แล้วเราไม่รับปากล่ะ”

ในใจเสวียนจีเริ่มแผ่ไอมาร ค่อยๆ กำมือแน่น เห็นชัดว่าเขาข่มขู่นาง…ไม่ เตือนนาง! แดนสวรรค์ไม่ได้เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา ตัดสินทุกอย่างอย่างโดยเห็นแต่ตนเองเป็นใหญ่ เขาว่านางเคยทำความผิดมหันต์ที่เป็นปรปักษ์กับฟ้าดิน ดังนั้นจึงถูกลงโทษไปผ่านเคราะห์เบื้องล่าง ต้องเป็นพวกเขาทำเกินเลยไปแน่นอน! ไม่เช่นนั้นในอดีตนางจะเป็นกบฏได้อย่างไร

สีหน้านางซีดลง ในใจมีความคิดมากมายนับไม่ถ้วนแวบขึ้นมา คิดเหตุต้นผลกรรมทั้งหมดอย่างถ่องแท้

เหตุใดแดนสวรรค์จึงลงโทษอู๋จือฉี นั่นเพราะเขาทำความผิดก่อน ขโมยเทพศาสตราคนอื่น ยังสังหารขุนพลเทพไปมากมาย

เหตุใดต้องจับตัวอวี่ซือเฟิ่งไป เพราะเขาปล่อยอู๋จือฉี

เหตุใดต้องควักดวงตาสวรรค์หลิ่วอี้ฮวน เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เขาขโมยไป เดิมก็ไม่ใช่ของของเขา

เหตุใดจิ้งจอกม่วงถึงตาย เพราะพวกเขาบุกรุกเขาคุนหลุน ผิดที่พวกเขาก่อน ไม่ใช่แดนสวรรค์

เสวียนจีอดน้ำตาคลอไม่ได้ น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “หากไม่ว่าร้องขออะไร ราชันสวรรค์ก็ไม่รับปากเสวียนจี นั่นก็เพราะพวกเขาทำผิดก่อน เสวียนจีไร้วาจาจะกล่าว ได้แต่เป็นเพื่อนพวกเขาไปแดนปรภพด้วยกันแล้ว แต่เสวียนจีไม่ได้คิดกบฏเด็ดขาด! ความผิดนี้ยัดเยียดให้ข้า ไม่อาจรับได้จริงๆ!”