หนึ่งคืนต่อมา หลิงฮันและสามสาวเดินทางกลับตำหนักสมบัติวิญญาณ
ซวนหยวนจื่อกวงประกาศเอาไว้ว่ามันจะสังหารเขาถ้าหากเขาออกมาจากตำหนัก แต่เห็นได้ชัดว่ามันเองก็ไม่มีเวลามาเฝ้าจับตาดูเขาตลอดทั้งวัน ไม่เช่นนั้นตอนนี้คงเกิดการต่อสู้ที่รุนแรงขึ้นไปแล้ว
ในช่วงเที่ยงของอีกวัน หยินหงได้เข้ามาหาหลิงฮันอย่างรีบร้อน
“เกิดอะไรขึ้นรึ? ทำไมถึงได้ทำตัวรีบร้อนเป็นลิงขนาดนั้น?” หลิงฮันยิ้ม
“เดี๋ยวเถอะ จะอย่างไรนายหญิงผู้นี้ก็เป็นสตรีนะ เจ้ามาเรียกข้าว่าลิงได้อย่างไร?” หยินหงตอบด้วยน้ำเสียงไม่พึงพอใจ
“สตรีที่เอาแต่เรียกตัวเองว่านายหญิงทั้งวัน ข้าเองก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกนี่ล่ะ” หลิงฮันยิ้ม
“เพิ่งเคยเห็นก็มองเสียให้พอสิ” หยินหงตอบอย่างไม่เอียงอาย “ที่จริงข้ามีเรื่องด่วนต้องมาบอกเจ้า”
“เรื่องด่วนอันใด?” หลิงฮันถามออกไปลวกๆ
“ในหลายวันมานี้ ไม่มีใครเข้าเมืองมาเลย” หยินหงกล่าว
“แล้วมันเป็นปัญหาใหญ่?”
“ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ เจ้ารู้รึเปล่าว่าเมืองหมื่นสมบัติแห่งนี้มีคนเข้าออกมามากเท่าใดในแต่ละวัน? หลักล้าน! แต่ช่วงนี้กลับมีแต่คนเดินทางออกไปไม่มีใครกลับเข้ามาเลย ทั่วทั้งเมืองจึงอ้างว้างเป็นอย่างมาก เจ้าลองออกไปดูข้างนอกห้องโถงสิว่ามีแขกลูกค้าหายไปมากขนาดไหน!” หยินหงกล่าว
ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวหลิงฮัน เมื่อวานหม่าตั้วเป่าบอกกับเขาว่าในช่วงนี้อาณาเขตนอกเมืองไม่ปลอดภัยและแนะนำให้เขาอยู่แต่ในเมืองจะดีกว่า หรือว่าเจ้าอ้วนหม่าจะรู้ถึงสาเหตุของเหตุการณ์นี้และจงใจมากล่าวเตือนเขา?
“เจ้ารู้เหตุผลรึเปล่า?”
หยินหงส่ายหัวและพูด “หลายคนที่ถูกส่งออกไปสืบสาเหตุไม่มีใครกลับมาเลย” นางหยุดนิ่งชั่วขณะก่อนจะพูดต่อ “บางทีอาจจะเป็นเพราะเมืองหมื่นสมบัติตกเป็นเป้าหมายของขุมอำนาจใดอำนาจหนึ่ง โดยพวกมันได้ดักซุ่มสังหารคนที่เดินทางออกไปทำให้ไม่มีใครกลับเข้ามาเลย”
หลิงฮันเคาะโต๊ะและถาม “ขุมอำนาจใดจะทำเช่นนี้ และทำไปแล้วพวกมันจะได้ประโยชน์อันใด?”
ตำหนักสมบัติวิญญาณมีอำนาจในการทำธุรกิจในขณะที่สมาคมนักปรุงยาคือการรวมกลุ่มกันของนักปรุงยามากมาย เมื่อทั้งสองกลุ่มอำนาจจับมือกันทำให้เม็ดยาถูกแจกจ่ายขายไปทั่วทั้งทวีปซึ่งเป็นเรื่องดีสำหรับเหล่าจอมยุทธ จะมีใครบ้างที่ต้องการทำลายเมืองนี้?
แม้จะเป็นนิกายโบราณอย่างนิกายดาบสวรรค์หรือนิกายนกอมตะเมฆาสวรรค์ พวกเขาต่างก็มีนักปรุงยาในนิกายของตนเองอยู่แล้ว มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะมาทำเรื่องแบบนี้?
“เพราะงั้นพวกเราจึงต้องสืบหาสาเหตุให้ได้” หยินหงกล่าว
หลิงฮันชำเลืองมองไปที่นางและพูด “เจ้ากำลังยุยงให้ข้าทำอะไรบางอย่าง?”
“แล้วเจ้าไม่อยากรู้รึไงว่าใครเป็นคนทำเรื่องแบบนี้?” หยินหงพูด
“แม้ท้องฟ้าจะร่วงหล่นแต่ก็ยังคงมีตัวตนที่แข็งแกร่งคอยยืนค้ำจุน ข้าในตอนนี้เป็นเพียงระดับบุปผาผลิบาน เรื่องนี้คงเกินตัวข้า” หลิงฮันพูดอย่างไม่แยแส
หยินหงเลิกพูดเล่นและตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง “สถานการณ์ที่ตอนนี้แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก แม้แต่หินสื่อสารในเมืองไม่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ ในไม่ช้านี้เมืองหมื่นสมบัติคงกลายเป็นเมืองรกร้าง ไม่รู้ว่าภายนอกเมืองมีอะไรเกิดขึ้นกันแน่”
“มีตัวตนระดับสวรรค์อยู่ในเมืองนี้ไม่ใช่รึ? ให้พวกเขาไปสำรวจดูสิ” หลิงฮันพูด
“มีคนคาดการณ์ว่าสถานการณ์ในครั้งนี้คือแผนการชั่วร้าย เพราะงั้นตัวตนระดับสวรรค์จึงปรึกษากันแล้ว สิ่งที่สามารถช่วยปกป้องเมืองนี้ได้ดีที่สุดในสถานการณ์ตอนนี้คือข่ายอาคมของเมืองหมื่นสมบัติ ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ใช่ตัวตนระดับทลายมิติ รูปแบบอาคมนี้ก็ไม่มีทางพังทลาย” หยินหงกล่าว
หลิงฮันหัวเราะ “เพราะตัวตนระดับสวรรค์กลัวตาย เลยจะให้ระดับบุปผาผลิบานอย่างข้าออกไปเสี่ยงชีวิตแทน?”
หยินหงแสดงสีหน้าเป็นกังวล “ตอนนี้เมืองหมื่นสมบัติกลายเป็นเมืองปิดตาย พวกเราไม่รู้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับอะไรอยู่ สิ่งจำเป็นที่สุดในตอนนี้คือการร้องขอความช่วยเหลือจากโลกภายนอก”
หลิงฮันถอนหายใจ ทำไมเขาไปไหนก็ต้องเจอแต่ปัญหาด้วย?
“ข้าถูกลากเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยรึเปล่า?” หลิงฮันยิ้ม
“ฮ่าๆ เข้ามาอยู่บนเรือของข้าแล้ว สิ่งที่เจ้าทำได้ก็มีเพียงยอมทำตามอย่างเดียวเท่านั้น” หยิงหงหัวเราะออกมา
ข่าวที่หยิงหงนำมาบอกไม่ใช่ข่าวที่ดีแม้แต่น้อย
ไม่กี่วันต่อมา สถานการณ์ก็เริ่มเลวร้ายลงเรื่อยๆ เพราะหากแหงนหน้ามองขึ้นไป จะเห็นว่าก้อนเมฆสีขาวได้เลือนหายไปหมดแล้ว เหลือแต่เพียงเมฆหมอกสีดำห่อหุ้มไปทั่วท้องฟ้า
ตอนนี้ทุกคนต่างเป็นกังวลรู้สึกว่าภายในเมืองนั้นเริ่มไม่ปลอดภัย
หลิงฮันนำเครื่องรางที่หม่าตั้วเป่าให้เขาออกมา เขาอดที่จะนึกไม่ได้ว่าอ้วนหม่าต้องรู้อยู่แล้วแน่ๆว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นจึงเตือนเขาว่าในช่วงนี้ห้ามออกไปนอกเมือง ดูเหมือนว่าสถานการณ์อันเลวร้ายจะยังไม่จบเพียงเท่านี้ บางสิ่งบางอย่างที่อันตรายกว่ากำลังจะเกิดขึ้น
เครื่องรางชิ้นนี้สามารถช่วยชีวิตเขาได้
หลิงฮันยิ้ม หม่าตั้วเป่านั้นไม่รู้ว่าเขาครอบครองหอคอยทมิฬที่เป็นไพ่ลับสำหรับช่วยชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ แต่หลิงฮันก็ไม่อาจใช้เครื่องรางชิ้นนี้อย่างสิ้นเปลืองได้ เพราะการที่จะได้รับอะไรบางอย่างจากอ้วนหม่านั้นไม่ใช่เรื่องเง่ายเลย
“สิ่งนี้ควรเป็นยันต์อาคมเคลื่อนย้ายในพริบตา” ด้วยความรู้ในชีวิตที่แล้วของเขา หลิงฮันยังพอมองรูปแบบอักขระที่สลักเอาไว้บนเครื่องรางออกอยู่บ้าง “ในขณะที่หลบหนีเข้าไปยังหอคอยทมิฬ ข้าสามารถนำสิ่งนี้ออกมาใช้หลอกคนอื่นได้ว่าข้าใช้ยันต์อาคมเคลื่อนย้ายในพริบตา”
“สมบัติเช่นนี้ไม่เคยปรากฏขึ้นในชีวิตที่แล้วของข้า มีคำกล่าวว่ามีเพียงตัวตนระดับทลายมิติที่เข้าในหลักของมิติเท่านั้นถึงจะสร้างมันขึ้นมาได้”
“หม่าตั้วเป่าช่างมั่งคั่งไปด้วยสมบัติยิ่งนัก หรือว่าหมอนั่นจะค้นพบขุมทรัพย์โบราณ?”
“พลังของหมอนั่นเองก็ลึกลับเป็นอย่างมาก ข้าไม่สามารถมองออกได้เลย”
หลิงฮันตัดสินใจจะออกไปดูสถานการณ์ข้างนอก การนั่งหลบๆซ่อนๆอยู่ในเมืองไม่ใช่นิสัยของเขา ถึงแม้จะพบเจอกับภัยอันตรายเขาก็ยังมีหอคอยทมิฬอยู่ ยิ่งกว่านั้นเขาก็ยังสงสัยอีกด้วยว่าทั้งๆที่เมืองหมื่นสมบัติแห่งนี้มีตัวตนระดับสวรรค์คอยคุ้มครองอยู่ แต่อีกฝ่ายก็ยังมีความคิดกล้าที่จะลุกลาม ถ้างั้นแล้วอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งขนาดไหน?
เขานำหญิงสาวทั้งสามเข้าไปหลบในหอคอยทมิฬ ไม่เช่นนั้นถ้าหากในช่วงที่เขาออกไปนอกเมืองแล้วเกิดอะไรขึ้นกับพวกนาง เขาจะต้องรู้สึกผิดมากแน่ๆ
แต่ปัญหาก็คือมีเพียงจูเสวียนเอ๋อเท่านั้นที่ยอมเชื่อฟัง ส่วนฮูหนิวนั้นนางยืนกรานว่าจะไม่เข้าไปในหอคอยทมิฬและจะอยู่กับเขา ในขณะที่เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนไม่สามารถเข้าไปได้
สำหรับฮูหนิวหากเกิดภัยอันตรายขึ้น เขาสามารถนำนางเข้าไปในหอคอยทมิฬได้ในทันที แต่เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนนั้นนางเป็นตัวตนระดับสวรรค์ หากเกิดอันตรายที่จะส่งผลต่อชีวิต สัญชาตญาณของนางอาจจะถูกกระตุ้นและฟื้นฟูความทรงจำกลับมาก็ได้
รูปแบบอาคมขนาดใหญ่ของเมืองถูกเปิดใช้งานเพื่อป้องกันภัยอันตรายที่หลบซ่อนอยู่ภายนอก แต่หากต้องการจะออกไปข้างนอกเมืองนั้นทำได้ง่ายมาก เพราะตอนนี้คนทุกคนต่างก็ไม่มีใครเป็นอาสาสมัครและกำลังต้องการให้ใครสักคนออกไปสำรวจสถานการณ์ข้างนอกแทน
กลุ่มของหลิงฮันสามคนเดินออกนอกเมืองไปอย่างเรียบง่าย แต่เบื้องหน้าก็ปรากฏหมอกสีดำที่ส่งผลต่อการมองเห็นของพวกเขา
หลิงฮันกระตุ้นใช้งานเนตรแห่งสัจธรรมแต่ก็ไม่ได้ผล หมอกเหล่านี้หนาแน่นเกินไปแม้แต่เนตรแห่งสัจธรรมก็ไม่อาจมองทะลุได้ ไม่ใช่เพราะว่าเนตรแห่งสัจธรรมนั้นอ่อนแอ แต่พลังบ่มเพาะในตอนนี้ของหลิงฮันยังต่ำเกินไปทำให้ไม่สามารถใช้งานเนตรแห่งสัจธรรมได้เต็มที่
“ระวังตัวด้วย” หลิงฮันพูดและนำจูเสวียนเอ๋อออกมาข้างนอกเนื่องจากการคะยั้นคะยอของนาง แต่ถึงอย่างไรหากพบเจออันตรายเขาก็สามารถส่งนางกลับเข้าไปหอคอยทมิฬได้ในทันทีอยู่แล้ว
ทั้งสี่คนเดินตรงไปข้างหน้าซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำ การมองเห็นของพวกเขาถูกลดลงมาจนสามารถเห็นได้เพียงระยะหนึ่งฟุตรอบๆกาย
หลิงฮันยังดีหน่อย เขาสามารถมองเห็นได้ระยะสองฟุต
“หมอกนี่คือรูปแบบอาคม?” จูเสวียนเอ๋อถาม ในหมู่หญิงสาวทั้งสามนางเป็นเพียงคนเดียวที่มีความรอบรู้ เนื่องจากอีกสองคนนั้นคนหนึ่งความจำเสื่อม อีกคนหนึ่งเป็นเด็ก
หลิงฮันมีท่าทีครุ่นคิดและพูด “ถ้าข้าเดาไม่ผิด นี่คือรูปแบบอาคมสังหารที่สี่!”