ภาคแคว้นติ้ง บทที่ 46 พี่น้องร่วมใจ

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

เพียงชั่วข้ามคืน ข่าวแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วดั่งไฟลามทุ่ง ว่าองค์หญิงออกไปเที่ยวเกาะฉางหลี แต่กลับอยู่ในเรือของฮ่องเต้แคว้นเฉิงทั้งวันไม่ยอมออกมา กระทั่งกลางดึกฮ่องเต้แคว้นเฉิงจึงอุ้มกลับไปส่งที่เรือชมทิวทัศน์ ทั้งสองท่าทางใกล้ชิดสนิทสนม ต่างไม่อยากแยกจาก ชวนให้สงสัยว่าระหว่างนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง หลังทราบข่าว ฮองเฮากระวนกระวายใจ รีบมุ่งหน้าไปยังห้องบรรทมของฮ่องเต้แคว้นติ้งทันที

ฮ่องเต้แคว้นติ้งอ่านฎีกาได้พักหนึ่งแล้ว ร่างกายเริ่มอ่อนแรง ขณะนี้กำลังพักผ่อน ซูหลีรับถ้วยชาจากมือนางกำนัล ทดสอบความร้อนก่อน แล้วจึงค่อยยื่นให้ฮ่องเต้แคว้นติ้งอย่างระมัดระวัง พลางกล่าวเสียงเบาว่า “เสด็จพ่อค่อยๆ ดื่มนะเพคะ”

ฮ่องเต้แคว้นติ้งยิ้มจนตาหยี เขาจิบน้ำชาหลายคำ ซูหลีหยิบผ้าเช็ดหน้ามาช่วยเช็ดมุมปากให้เขาเบาๆ

ฮองเฮาเดินเข้ามาในตำหนัก หมายจะค้อมกายถวายบังคม ฮ่องเต้แคว้นติ้งยิ้มกว้าง กล่าวว่า “ฮองเฮาไม่ต้องมากพิธี มานั่งนี่เร็ว”

ฮองเฮานั่งลงข้างกายฮ่องเต้แคว้นติ้ง เห็นซูหลีเดินเข้ามาถวายบังคม ก็รีบเอื้อมมือประคองนาง ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องมากพิธี” เอ่ยจบ นางก็ตบหลังมือซูหลีเบาๆ ก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ยคล้ายไม่ใส่ใจว่า “หลายวันก่อนฉางเล่อออกไปเที่ยวเล่นกับอวิ๋นฮุ่ย สนุกหรือไม่?”

ถึงแม้นางกำลังยิ้ม แต่สายตากลับสะท้อนแววกังวลและหยั่งเชิงรางๆ

ฮ่องเต้แคว้นติ้งรีบหันไปมองธิดาอันเป็นที่รักของเขา แล้วกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ใช่แล้ว รีบบอกพ่อมาเร็ว ทิวทัศน์บนเกาะฉางหลีถูกใจเจ้าหรือไม่?”

ซูหลีถอนหายใจ นางยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยตอบว่า “ดอกหลีบนเกาะฉางหลีงดงามยิ่งนัก เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ได้ไปชมด้วยกันก็คงจะดีเพคะ”

ฮ่องเต้กระแอมเบาๆ “เจ้าว่างามก็ดีแล้ว แล้ว…เจ้ากับอวิ๋นฮุ่ยเที่ยวเล่นด้วยกันทั้งวัน มีเรื่องน่าสนใจใดเกิดขึ้นบ้างหรือไม่?”

ซูหลีมองหน้าฮ่องเต้แคว้นติ้ง ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เด็กสาวสองคนชมบุปผา จะมีเรื่องพิเศษอะไรได้เล่าเพคะ?”

นางกำนัลยกชามาถวาย ฮองเฮายกชาขึ้นจิบหลายคำ สายตากลับวนเวียนอยู่บนตัวซูหลีตลอด นางยิ้ม แล้วเอ่ยถามว่า “ข้าได้ยินอวิ๋นฮุ่ยบอกว่า พวกเจ้า…พบคุณชายเซียงด้วยหรือ?”

ฮ่องเต้และฮองเฮาต่างมองไปที่ซูหลีพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย สายตาแฝงแววคาดหวัง แล้วยังมีแววสงสัยรางๆ

ซูหลียิ้มแล้วตอบว่า “ใช่แล้วเพคะ คุณชายเซียงบอกว่าเสด็จพ่อเชิญเขาไปชมดอกไม้ เขาดีใจมากเพคะ”

ฮ่องเต้แคว้นติ้งชะงักงัน สีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย ฮองเฮายิ้มแล้วกล่าวว่า “คุณชายเซียงมาเยือนแคว้นติ้งนานแล้ว ยังไม่เคยเห็นทิวทัศน์งดงามของดอกหลีบนเกาะฉางหลี เดิมทีข้าคิดว่าในเมื่อจะไปชมดอกไม้ คนยิ่งเยอะก็ยิ่งคึกคัก ฉะนั้นจึงได้ให้ฝ่าบาทเชิญคุณชายเซียงไปด้วย”

ซูหลีหันไปมองฮองเฮา แล้วบอกว่า “เสด็จแม่รอบคอบ ความพยายามของพวกท่านทั้งสอง ลูกรับไว้ด้วยใจเพคะ”

สีหน้าของนางดูหนักแน่น ความหมายในวาจากระจ่างชัด ฮองเฮาพลันรู้สึกไม่สบายใจ นางหันไปมองฮ่องเต้แคว้นติ้ง ทั้งสองพลันรู้สึกสับสนลังเล

ซูหลีกล่าวคล้ายไม่ใส่ใจ “เสด็จพ่อกับเสด็จแม่พักผ่อนเถิดเพคะ ลูกทูลลา”

ฮองเฮารีบเรียก “ช้าก่อน ฉางเล่อ…วันนี้ที่แม่มา จริงๆ แล้วมีเรื่องหนึ่งอยากถามเจ้า”

ซูหลีแย้มยิ้ม “เสด็จแม่อยากถามอะไรหรือเพคะ?”

ฮองเฮาสูดหายใจ หันไปมองฮ่องเต้แคว้นติ้งเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวอย่างเลือกใช้ถ้อยคำ “หลายวันมานี้มีข่าวลือในวัง บอกว่าฉางเล่อไปพบคนอีกผู้หนึ่ง บนเกาะฉางหลี…”

ในที่สุดก็ถามเรื่องนี้แล้ว ซูหลีค่อยๆ คุกเข่าลงตรงหน้าฮ่องเต้และฮองเฮา จากนั้นก็กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ วันนั้นที่ออกจากวัง ลูกไปพบตงฟางเจ๋อมาจริงๆ เพคะ”

ฮองเฮาสูดหายใจ เดิมทีนางตั้งใจจะสอบถามอย่างอ้อมๆ นึกไม่ถึงซูหลีกลับสารภาพออกมาตามตรง

ฮ่องเต้แคว้นติ้งเอ่ยด้วยความตกตะลึง “อะไรนะ? เจ้าไปพบเขา? เช่นนั้นเซียงซืออวี่…”

ซูหลีสบตาฮ่องเต้กับฮองเฮาที่นั่งอยู่เบื้องบนอย่างตรงไปตรงมา แล้วกล่าวว่า “ความพยายามของเสด็จพ่อและเสด็จแม่ ฉางเล่อล้วนเข้าใจ คุณชายเซียงแม้เป็นคนดี แต่เขาเป็นเพียงสหายของลูกเท่านั้น ไร้วาสนาเป็นสามีภรรยาต่อกัน คนรักเพียงคนเดียวของฉางเล่อในชีวิตนี้ มีเพียงตงฟางเจ๋อเท่านั้นเพคะ ชาตินี้ภพนี้ หากไม่ใช่เขาลูกก็จะไม่ขอแต่งกับใคร! ลูกหวังว่าเสด็จพ่อและเสด็จแม่จะทรงอวยพร!”

วันนั้นที่ทหารมาส่งข่าว นางก็ได้ตัดสินใจใช้กลยุทธ์ประหารก่อนรายงานทีหลัง[1]แล้ว เพื่อตัดความหวังของเสด็จพ่อที่คิดจะให้นางแต่งงานกับผู้อื่น และเพื่อที่จะสามารถกำหนดวันแต่งงานของนางโดยเร็ว ด้วยเหตุนี้หลังจากกลับวังมา เมื่อรู้ว่าข่าวแพร่ไปทั่ววัง นางจึงไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย แทนที่จะปล่อยให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่ทำให้การแต่งงานของนางวุ่นวายไปมากกว่านี้ มิสู้ลงดาบตัดปัญหาในคราวเดียวเสียยังดีกว่า

ฮองเฮาลุกขึ้นประคองนาง กล่าวด้วยความปวดใจว่า “เด็กโง่ ถึงแม้เจ้าอยากแต่งงานกับฮ่องเต้แคว้นเฉิง ก็ควรเป็นห่วงชื่อเสียงของตนเองในฐานะสตรีคนหนึ่ง…เจ้าทำอย่างนี้เพื่อเขา รู้หรือไม่ว่าเสด็จพ่อของเจ้าปวดใจเพียงใด?”

ฮ่องเต้แคว้นติ้งทั้งเจ็บปวดและตกใจ ลมหายใจหอบกระชั้น

ซูหลีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตา นางกล่าวด้วยความปวดใจ “ลูกอกตัญญู ทำให้เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ผิดหวัง แต่ลูกหวังว่าเสด็จพ่อกับเสด็จแม่จะทรงเข้าใจลูก อย่าได้ทรงเป็นห่วงเรื่องการแต่งงานของลูกอีกเลยเพคะ”

ฮองเฮาหมายจะเกลี้ยกล่อมอีกสองประโยค หลางฉ่างสาวเท้ายาวๆ เดินเข้ามาในตำหนักด้วยใบหน้าเบิกบาน ฝีเท้ารวดเร็วดั่งสายลม จากนั้นก็ค้อมกายทำความเคารพฮ่องเต้และฮองเฮา “ทูลเสด็จพ่อ หนังสือร่วมมือระหว่างสองแคว้นร่างเสร็จแล้ว โรงหล่อเตรียมพร้อมแล้ว รอเพียงแคว้นเฉิงส่งวัสดุเหล็กมา ก็เริ่มสร้างพิรุณโปรยปรายได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้แคว้นติ้งยังคงไม่พอใจกับเรื่องเมื่อครู่ เขาโบกมือเล็กน้อย พยายามรวบรวมเรี่ยวแรงแล้วกล่าวว่า “เรื่องกองทัพเจ้าตัดสินใจไปเถิด”

หลางฉ่างประหลาดใจเล็กน้อย เสด็จพ่อให้ความสำคัญกับเรื่องพิรุณโปรยปรายมาโดยตลอด ปฏิกิริยาในวันนี้ต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง เขาหันไปมองฮองเฮาที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้แคว้นติ้ง ดวงหน้าหงส์เต็มไปด้วยความกังวล นางลอบส่งสายตาให้เขาเงียบๆ

หลางฉ่างหันไปมองซูหลีที่คุกเข่าอยู่ด้านหนึ่ง เขาเริ่มเดาสาเหตุได้รางๆ พลันบังเกิดความคิด ยิ้มแล้วกล่าวว่า “อำนาจการตัดสินใจเรื่องพิรุณโปรยปรายขึ้นอยู่กับฉางเล่อ ลูกมิอาจตัดสินใจเพียงลำพัง ฉางเล่อ ยังไม่ขออนุญาตเสด็จพ่อไปสำรวจโรงหล่ออีกหรือ?”

ซูหลีหันไปมองฮ่องเต้แคว้นติ้ง แล้วแย้มยิ้มเล็กน้อย“พิรุณโปรยปรายเป็นอาวุธวิเศษ มีขั้นตอนซับซ้อน ครั้งนี้สองแคว้นร่วมมือสำเร็จ ล้วนเป็นเพราะความช่วยเหลือของเสด็จพี่และฮ่องเต้แคว้นเฉิง ยังมีเรื่องที่ฉางเล่อไม่รู้อีกมากมาย เสด็จพ่อไปกับฉางเล่อ เพื่อให้คำชี้แนะหน่อยได้หรือไม่เพคะ?”

ฮ่องเต้มองดูรอยยิ้มอ่อนโยนของนาง เห็นดวงตาคล้ายยังแดงรื้นอยู่เล็กน้อย ก็พลันใจอ่อน เขาลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวว่า “ก็ได้ ไปดูกันเถิด ฉางเล่อ มา” เขากวักมือเรียกนาง ซูหลีรีบเข้าไปประคองเขา สามพ่อลูกบอกลาฮองเฮา จากนั้นก็เดินทางออกจากวังไป

โรงหล่อตั้งอยู่ในหมู่บ้านชานเมืองแห่งหนึ่งที่ไม่มีผู้อาศัย ด้านนอกมีทหารคอยคุ้มกัน ฮ่องเต้กับองค์รัชทายาทเสด็จมา ฟางรั่วไห่นำกลุ่มคนออกมารับเสด็จ ขานถวายพระพรอย่างพร้อมเพรียง ซูหลีกับหลางฉ่างประคองฮ่องเต้แคว้นติ้งลงจากเกี้ยวพระที่นั่ง ฟางรั่วไห่นำทางทุกคนเดินชมพื้นที่ตีเหล็กที่อยู่ด้านหลัง เครื่องสูบลมข้างเตาไฟทำงานอย่างหนัก เปลวเพลิงในเตาลุกโชติช่วง เสียงที่เกิดจากการกระแทกกับค้อนเหล็กดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหล่าคนงานต่างทำหน้าที่ของตนเองอย่างแข็งขัน ทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และเป็นไปตามขั้นตอน

หลังเดินสำรวจรอบหนึ่ง ฮ่องเต้แคว้นติ้งพึงพอใจ หันกลับมามองหลางฉ่าง สายตาเต็มไปด้วยความชื่นชม “รัชทายาท ทำได้ดี!”

หลางฉ่างกลับแย้มยิ้มแล้วหันไปมองซูหลี “ขอบพระทัยเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ ทุกอย่างราบรื่นเช่นนี้ เป็นเพราะฉางเล่อมีผลงานมากที่สุด”

ซูหลียิ้มแล้วกล่าวว่า “เป็นเรื่องสมควรที่ฉางเล่อควรแบ่งเบาภาระเสด็จพ่ออยู่แล้วเพคะ พิรุณโปรยปรายมีความหมายกับแคว้นติ้งเรามาก หากมีมัน ก็สามารถรับมือกับศัตรูแบบหนึ่งต่อร้อยได้ นับจากนี้ไปก็ไม่ต้องห่วงว่ากำลังทหารที่ชายแดนจะไม่เพียงพอ”

หลางฉ่างพลันบังเกิดความคิด จงใจถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “น่าเสียดายที่วัสดุเหล็กในการทำพิรุณโปรยปรายพิเศษเกินไป ล้วนต้องขนส่งมาจากแคว้นเฉิงทั้งหมด มิเช่นนั้นไม่ว่าจะออกแบบแยบยลเพียงใด ก็คงยากจะทำสำเร็จ”

ซูหลีมองหลางฉ่างแวบหนึ่ง “ถูกต้องแล้ว ครานี้สองแคว้นร่วมมือกันได้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่หายากนัก”

หลางฉ่างแย้มยิ้มแล้วมองซูหลี “หากไม่ได้ฉางเล่อ เกรงว่าฮ่องเต้แคว้นเฉิงคงไม่ยอมตกลงร่วมมือง่ายๆ เช่นนี้ จะว่าไปแล้ว ถือเป็นผลงานของฉางเล่อ”

ซูหลีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หม่อมฉันเพียงทำเต็มที่ ครั้งนี้ที่ร่วมมือกันสำเร็จ ถือเป็นผลงานของเสด็จพี่มากกว่า ทว่า ฉางเล่อคิดว่าหากแคว้นติ้งกับแคว้นเฉิงสามารถร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันได้ เป็นมิตรต่อกันจนถึงรุ่นลูกหลานสืบไป จึงจะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง”

ฮ่องเต้แคว้นติ้งหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย มองหน้าซูหลีอย่างครุ่นคิด แล้วหันไปมองหลางฉ่าง ก่อนจะถอนหายใจกล่าวว่า “พวกเจ้าสองพี่น้องเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเช่นนี้ เพราะต้องการให้ข้าเชื่อว่าตงฟางเจ๋อต้องการสานสัมพันธ์อันดีกับแคว้นติ้งเราด้วยใจจริงๆ กระมัง?”

————————————–