ซูหลีเดินไปตามทางเดินเล็กๆ ที่มุ่งหน้าสู่ทิศเหนือของเกาะ ยิ่งใกล้ทิศเหนือ ต้นหลีก็ยิ่งบางตาลง ไม่ได้เรียงรายหนาแน่นเท่าใจกลางเกาะอีกต่อไป มองลอดกิ่งดอกหลีที่เบาบางทว่างดงาม มองเห็นเรือชมทิวทัศน์ของตงฟางเจ๋อลอยอยู่ไม่ห่างจากฝั่งมากนัก ยามนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใส น้ำทะเลสาบใสสะอาด ตงฟางเจ๋อสวมอาภรณ์สีดำทั้งตัว ยืนรับลมอยู่บนดาดฟ้าเรือ เส้นผมของเขาปลิวไสวไปตามสายลมเบาๆ เขายืนถือพู่กันอยู่ตรงหน้าโต๊ะตัวยาว สายตาจดจ่อมีสมาธิ พู่กันในมือเคลื่อนไหวไปมาช้าๆ คล้ายกำลังเขียนอะไรบางอย่าง
เสียงขับขานใสกังวานเหมือนกระดิ่งดังขึ้นเลือนราง เขาพลันเงยหน้าขึ้น ใต้ต้นดอกหลีที่เรียงรายเบียดเสียดกันอยู่ริมฝั่งน้ำ มองเห็นเงาร่างของซูหลียืนสะโอดสะองอยู่ตรงนั้น นางแย้มยิ้มพริ้มพราย งดงามดั่งแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิ พาให้ผู้เห็นตะลึงในความงาม
ฝนแห่งกลีบบุปผาที่ร่วงโรยลงมาตามสายลมบดบังสายตา ทว่ากลับมิอาจกั้นขวางความเสน่หาอันละมุนละม่อม
สายตาสองคู่สบประสาน แย้มยิ้มอย่างลึกซึ้ง
ความสุขีเอ่อล้นในใจ ซูหลีสูดหายใจเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มแล้วพาร่างกายลอยเหนืออากาศ โฉบผ่านเหนือผิวน้ำดั่งผีเสื้องดงามอ่อนช้อยตัวหนึ่ง มุ่งตรงไปยังเรือชมทิวทัศน์ของเขา ตงฟางเจ๋อเล็งทิศทางอย่างแม่นยำ จากนั้นก็เหินกายเข้าไปรับอย่างไม่ลังเล พู่กันที่หลุดจากมือกลิ้งไปบนโต๊ะตัวยาว เพียงเสี้ยววินาทีต่อมา เขาก็รั้งเอวซูหลีเข้ามาในอ้อมแขนกลางอากาศ
ท่ามกลางสายฝนบุปผาที่โปรยปรายทั่วท้องฟ้า ตงฟางเจ๋อค่อยๆ ทิ้งตัวลงบนดาดฟ้าเรือ เขาไม่อยากปล่อยคนในอ้อมแขน เพียงอุ้มซูหลีให้นั่งลงบนโต๊ะตัวยาว แขนแกร่งทั้งสองข้างยังคงโอบเอวนางไว้ สายตาคะนึงหาจับจ้องดวงหน้างดงามซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่อยากละสายตาออกไปแม้วินาทีเดียว
ซูหลีเห็นเขาเนิ่นนานก็ยังไม่ยอมพูดจา สายตาไหวระริกเล็กน้อย ยกปลายนิ้วลูบไล้ใบหน้าคมคาย แล้วถามด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน “เป็นอะไรไปหรือ?” กลีบดอกไม้สีขาวดุจหิมะยังติดอยู่กลางเรือนผมนาง ขับเน้นให้เส้นผมสีดำยิ่งเข้มดุจน้ำหมึก เสริมให้สายตาของนางแลดูอ่อนโยน และสุกสกาวน่าดึงดูด
ตงฟางเจ๋อกลับไม่พูดอะไร เพียงถอนหายใจยาวๆ เขาหลับตา แล้วจูบเรือนผมที่ขมับนางเบาๆ
ซูหลีรู้ใจเขา ได้แต่ยิ้มอย่างทอดถอนใจ เอนศีรษะพิงไหล่เขาเบาๆ ซึมซับช่วงเวลาอันงดงามที่หาได้ยากยิ่งอย่างเงียบงัน
ผ่านไปครู่หนึ่ง ตงฟางเจ๋อจึงค่อยเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ตอนนี้แค่อยากพบหน้าเจ้าสักครั้ง กลับกลายเป็นเรื่องยากเย็นเสียเหลือเกิน เสด็จพ่อของเจ้าจับตาดูเจ้าไม่ยอมห่าง เหตุใดวันนี้จึงยอมปล่อยให้เจ้าออกมาชมดอกไม้นอกวังได้เล่า?”
ซูหลีถอนหายใจเบาๆ “เฮ้อ เสด็จพ่อ…มีความคิดของพระองค์เอง…”
สายตาของตงฟางเจ๋อเย็นชาเล็กน้อย “เซียงซืออวี่?”
ซูหลีนั่งตัวตรง พยักหน้าเบาๆ
ตงฟางเจ๋อแค่นเสียง “ไม่ประมาณตนเอง”
ซูหลียิ้มแล้วกล่าวว่า “ในงานเลี้ยงวันนั้น ข้าได้แสดงความคิดของตนเองต่อหน้าทุกคนแล้ว ไม่ว่าคนอื่นจะคิดเช่นไร ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว!”
คิ้มเข้มของตงฟางเจ๋อขมวดเข้าหากัน แววกังวลผุดพรายในดวงตา “เหตุใดข้าจะไม่รู้ใจเจ้าเล่า? แต่เสด็จพ่อของเจ้า…”
ซูหลีจูงมือเขา ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “เสด็จพ่อทรงชราแล้วยังไม่อาจปล่อยวาง ตอนนี้เขายังคงคาดหวังมาก ข้าเองก็ไม่สะดวกขัดใจเขา รอให้ผ่านไปสักช่วงหนึ่ง ข้าค่อยไปเกลี้ยกล่อมเขา แล้วรีบกำหนดวันแต่งงานโดยเร็ว”
ตงฟางเจ๋อสอดนิ้วมือทั้งสิบกับนาง กลีบปากหยักยิ้ม สายตาอ่อนโยนสุดแสน “ดี”
สายลมอ่อนๆ พัดผ่านเหนือผิวน้ำทะเลสาบ กระดาษสีขาวสะอาดที่ถูกทับไว้ใต้ที่ทับกระดาษหยกขาวบนโต๊ะตัวยาวพัดกระพือเบาๆ เกิดเป็นเสียงดังพึ่บพั่บ
ซูหลีได้ยินก็อดหันไปมองไม่ได้ จึงเพิ่งค้นพบว่าด้านข้างมีภาพเหมือนสตรีอยู่หนึ่งกอง แผ่นที่อยู่ด้านบนสุด รอยหมึกยังไม่แห้งดี นางเดินไปพลิกดูอย่างเบามือ ความหวานละมุนเอ่อล้นในใจ ภาพเหมือนเหล่านั้น แต่ละแผ่นล้วนเป็นนางในอิริยาบถต่างๆ บ้างนั่งบ้างยืน บ้างยิ้มบ้างโกรธ ลายเส้นอันบางตา ราวกับมีชีวิต ทุกรายละเอียดชัดเจน แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจ ราวกับสตรีในภาพวาดได้สลักลึกและตราตรึงในหัวใจของผู้วาดนานแล้ว
ขอบตาของซูหลีร้อนผ่าว นางพึมพำเสียงเบา “ภาพเหล่านี้…ท่านวาดในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้หรือ?”
ตงฟางเจ๋อโอบนางเบาๆ ถอนหายใจ กล่าวว่า “ช่วงเวลาที่ไม่มีเจ้าอยู่ข้างกาย ไม่มีเวลาไหนเลยที่ข้าไม่คิดถึงเจ้า”
ซูหลีเม้มปาก พวงแก้มแดงเรื่อเล็กน้อย นางเอื้อมมือไปหยิบพู่กันบนโต๊ะ ครุ่นคิดเงียบๆ ครู่หนึ่ง นางสัมผัสได้ว่าคนข้างกายกำลังกลั้นหายใจเพ่งสมาธิ ก็อดยิ้มอย่างอ่อนโยนไม่ได้
ปลายพู่กันตวัดพลิ้วบนกระดาษสีขาวสะอาดอย่างไม่หยุดพัก ไม่นานก็ปรากฏภาพเงาร่างของบุรุษรูปงามสง่า เขาสวมมงกุฎของกษัตริย์ สวมอาภร์ของโอรสสวรรค์ นั่งอย่างผ่าเผยอยู่บนบัลลังก์ สายตาคมปลาบจ้องตรงไปข้างหน้า เรียบเฉยทว่าน่าเกรงขาม พาให้ผู้คนรู้สึกเคารพเลื่อมใสจากใจ
นับตั้งแต่ขึ้นครองราชย์ ซูหลียังไม่เคยเห็นเขายามอยู่ในท้องพระโรง…สายตาของตงฟางเจ๋ออ่อนโยน เขาหอมแก้มนางอย่างอดใจไม่ไหว อมยิ้มแล้วหยิบพู่กันจากมือนาง จากนั้นก็วาดภาพสตรีที่แต่งกายด้วยชุดฮองเฮานั่งข้างกายฮ่องเต้ สตรีแต่งกายสวยวิจิตรตระการตา รูปโฉมงดงามไม่มีผู้ใดเทียม
นางเม้มปากยิ้ม หยิบพู่กันจากมือเขา แล้ววาดเด็กผู้ชายคนหนึ่งข้างกายโอรสสวรรค์ เรียวคิ้วและดวงตาของเด็กชายร่าเริงสดใส มีชีวิตชีวา ดูคล้ายเขามาก ตงฟางเจ๋อพลันแย้มยิ้มด้วยความปลื้มปริ่ม กลีบปากของซูหลีหยักยิ้มเล็กน้อย นางหันไปมองเขา
ตงฟางเจ๋อยิ้มแต่ไม่พูดอะไร หยิบพู่กันไปจากมือนาง แล้วมองพิจารณาภาพวาด ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาตวัดพู่กันอย่างรวดเร็ว วาดภาพเด็กผู้หญิงที่เพริศพริ้งดั่งเทพธิดาตัวน้อยข้างกายฮองเฮา คิ้วและดวงตาของเด็กผู้หญิงงดงาม สดใสไร้เดียงสา กลับดูเหมือนนางอย่างไม่มีที่ติ
กลีบปากของซูหลีหยักยิ้มกว้าง นางเอ่ยเสียงเบา “ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง อายุมั่นโชคมั่งมี ท่านอยากวาดสักกี่คนกัน?”
ตงฟางเจ๋อหยิบกระดาษขึ้นมาอีกหนึ่งแผ่น กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “เจ้าอยากวาดกี่คนก็วาด ข้าจะอยู่วาดเป็นเพื่อนเจ้าจนแก่เฒ่า”
ซูหลีประทับใจ หยิบพู่กันไปจากมือเขา เอียงคอมองพิจารณาเขา จากนั้นก็เริ่มวาดอีกครั้ง ครานี้โอรสสวรรค์เปลี่ยนเสื้อผ้า สวมชุดผาวสีดำ รัดเกล้าสีทองสะดุดตา เครื่องหน้าทั้งห้าคมชัด เส้นผมตรงขมับเริ่มหงอกขาว ดวงตาทั้งสองข้างยังคงเปล่งประกายเร่าร้อน
ตงฟางเจ๋อถอนหายใจเบาๆ เชยดวงหน้าของนางขึ้นมา ยิ้มแล้วกล่าวว่า “วาดได้ดี ถ่ายทอดจิตวิญญาณได้อย่างยอดเยี่ยม ถึงตาข้าบ้างแล้ว” เขาหยิบพู่กันไปจากมือนางอย่างไม่ลังเล โดยไม่ต้องหยุดคิด เขาวาดหญิงสูงอายุคนหนึ่งข้างโอรสสวรรค์ หญิงชราสวมอาภรณ์เยียนหลัว ถึงแม้เส้นผมขาวหงอก หน้าผากมีริ้วรอยในแนวขวาง ดวงหน้าปรากฏร่องรอยแห่งความชรา มือของนางข้างหนึ่งกลับคล้องแขนโอรสสวรรค์ สายตาเต็มไปด้วยความรักอันลึกซึ้งตรึงใจ ไม่มีท่าทางขัดเขินแม้แต่น้อย
ในที่สุดซูหลีก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่ไหว จากนั้นก็ปั้นหน้าบึ้ง “วาดข้าเสียอัปลักษณ์ถึงเพียงนี้ ท่านคิดอะไรอยู่กันแน่?”
ตงฟางเจ๋อเอ่ยพลางแย้มยิ้ม “วันเวลาไร้ความปรานี รูปโฉมแก่ชราง่ายดาย แต่เจ้าวางใจได้ ไม่ว่าซูซูจะกลายเป็นอย่างไร ก็ยังคงล้ำค่าเสมอสำหรับเจ๋อ”
ซูหลีขยับหน้าผากชนกับหน้าผากของเขาเบาๆ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “วาจาน่าฟังนั้นพูดง่าย แต่ไม่รู้ว่า…”
ตงฟางเจ๋อโอบเอวนางเบาๆ จดจ้องดวงหน้านาง “เกิดแก่เจ็บตาย เป็นวัฏจักรของมนุษย์ ไม่มีใครหนีพ้น ได้จับมือกับคนที่รักไปจนแก่เฒ่า ถือเป็นพรอันยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตแล้วมิใช่หรือ? มีเจ้าอยู่ข้างกายข้า อะไรก็ล้วนดี หากไม่มีเจ้า ถึงแม้ข้าจะได้โลกทั้งใบมาครอง จะมีประโยชน์อะไรเล่า?”
ซูหลีขอบตาร้อนผ่าว เอนกายในอ้อมกอดเขาเบาๆ หัวใจเต็มไปด้วยความสุขและความคาดหวัง ผ่านไปครู่หนึ่ง ได้ยินเขาถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “หากได้ใช้ชีวิตเช่นนั้นจริงๆ ตงฟางเจ๋อไม่มีอะไรให้เสียใจอีกแล้ว เพียงหวังว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วๆ”
ซูหลีหลับตา แล้วพึมพำเสียงเบา “อีกไม่นานแน่นอน…”
ตงฟางเจ๋อวางกระดาษวาดภาพลง ค่อยๆ หมุนตัวซูหลีให้หันมา แล้วก้มศีรษะลงมาชนกับหน้าผากกลมมนของนางเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจเสียงแผ่ว “แต่ว่าข้า…รอไม่ไหวแล้วจริงๆ…ซูซู…ข้าคิดถึงเจ้ามากจริงๆ…”
พวงแก้มของซูหลีแดงเรื่อ นางหัวเราะเสียงเบา ตงฟางเจ๋อไม่ลังเลอีก อุ้มนางเดินเข้าไปในห้องโดยสารเรือทันที
————————————————-