เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วฝืนยิ้มออกมา “กระหม่อมเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงวางพระทัยได้ กระหม่อมไม่มีทางทำให้องค์หญิงลำบากใจแน่นอน”
ซูหลียิ้มสดใส “ข้ารู้ คุณชายเซียงเป็นสุภาพชน ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นแน่นอน” นางชำเลืองมองถุงผ้าต่วนตรงเอวเขา แล้วกล่าวด้วยความประหลาดใจ “คุณชายกำลังเก็บดอกหลีอยู่หรือ?”
เซียงซืออวี่ถอดถุงผ้าต่วนออก พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ดอกหลีแม้งดงาม แต่กลับเบ่งบานได้ไม่นาน กระหม่อมกำลังใคร่ครวญว่าจะทำอย่างไรให้มันอยู่กับกระหม่อมได้นานๆ เพื่อปลอบประโลมหัวใจ”
ซูหลีเอ่ยพลางแย้มยิ้ม “นึกไม่ถึงว่าคุณชายเซียงจะเป็นคนที่รักมั่นคงถึงเพียงนี้” นางเอื้อมมือไปหาเขา “ให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”
เซียงซืออวี่ดีใจ รีบยื่นไปข้างหน้า “องค์หญิงก็โปรดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ซูหลีรับถุงผ้าต่วนมา กลิ่นหอมลอยโชย นางครุ่นคิด “ดอกหลีขาวดุจหิมะ หากต้องการจะเก็บรักษามันไว้ไม่ใช่เรื่องง่าย เว้นแต่จะมีการเคลือบเอาไว้เหมือนผลึกอำพัน มิเช่นนั้นสีจะเปลี่ยนกลิ่นจะจางหาย ยากแท้ เป็นเรื่องยากแท้”
เซียงซืออวี่อึ้งงัน เขาพึมพำเสียงเบา “ผลึก…อำพัน…”
ซูหลีคืนถุงผ้าต่วนให้เขา ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าเพียงกล่าวเพ้อเจ้อไปเช่นนั้นเอง คุณชายเซียงไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”
เซียงซืออวี่รับถุงผ้าต่วนไป สายตายังคงจับจ้องใบหน้านาง “องค์หญิงทรงชื่นชอบดอกหลีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“อืม” ซูหลีรับคำเบาๆ จากนั้นก็หันหน้าไปไม่พูดอะไรอีก สายตาของนางทอดมองไปยังอีกฝั่งของเกาะ ลอบครุ่นคิดว่าจะทำเช่นไรให้เซียงซืออวี่ไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้คนผู้นั้นมาถึง แล้วกลายเป็นเรื่องใหญ่ นางไม่สังเกตเลยว่าดวงตาของเซียงซืออวี่ในยามนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนและลึกซึ้ง
“กระหม่อมได้ยินองค์รัชทายาทตรัสว่าตอนทรงพระเยาว์ องค์หญิงทรงเติบโตที่แคว้นเฉิง?”
ซูหลีหันกลับไปมองเขา “ใช่แล้ว”
เซียงซืออวี่ก้าวเข้าไปหนึ่งก้าว แล้วกล่าวอย่างระมัดระวัง “แคว้นเฉิง…ก็มีดอกหลีด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ซูหลีชะงักไปเล็กน้อย คล้ายเหม่อลอยไปชั่วขณะ นางถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวว่า “มีสิ ตอนเด็กในบ้านข้ามีสวนดอกหลีสวนหนึ่ง เสด็จพ่อรู้ว่าข้าชอบดอกหลีมาก ฉะนั้นจึงปลูกต้นหลีไว้ในสวนมากมาย” นางกับเขาพบกันครั้งแรกในสวนดอกหลีแห่งนั้นเอง ดอกหลี เต็มไปด้วยความทรงจำของเขากับนาง และเรื่องราวในอดีตที่ไม่อยากหวนนึกถึงอีก
สายตาของเซียงซืออวี่เป็นประกาย เขาถามอีกว่า “เช่นนั้นดอกหลีในแคว้นเฉิง ก็งดงามเช่นนี้เหมือนกันหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“งาม…” ซูหลีราวกับจมดิ่งสู่ห้วงความทรงจำ สายตาทอดมองไปยังท่ามกลางดอกหลีสีขาวดุจหิมะ ใบหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อย “งามนั้นงามยิ่ง ทว่ากลับทำให้ปวดใจเหลือเกิน”
เซียงซืออวี่ตะลึงงัน ขยับกลีบปากเล็กน้อย แต่กลับพูดอะไรไม่ออก ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “องค์หญิงกับฮ่องเต้แคว้นเฉิงเคยมีอดีตที่เจ็บปวดช่วงหนึ่ง หรือว่าเกี่ยวข้องกับดอกหลีงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ซูหลีคล้ายได้สติ กล่าวเสียงราบเรียบ “คุณชายเซียงคิดมากไปแล้ว ข้ากับฮ่องเต้แคว้นเฉิงได้ปล่อยวางอดีต เปิดใจให้กันและกันอีกครั้ง ทุกเรื่องราวในอดีต ถือเสียว่าเป็นบททดสอบในชีวิตของเราทั้งสอง”
เซียงซืออวี่เบือนหน้าหนี คล้ายกำลังสะกดกลั้นความเจ็บปวดในใจ “เช่นนั้นเหตุใดองค์หญิงจึงตรัสว่าดอกหลีนั้นทำให้ปวดพระทัยเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”
ซูหลีถอนหายใจ แววตาคล้ายกำลังเสาะหาความจริงจากเขา “คุณชายเซียง สนใจเรื่องในอดีตของฉางเล่อหรือ?”
เซียงซืออวี่รีบกล่าว “องค์หญิงเข้าพระทัยผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อม…ถึงแม้เลื่อมใสองค์หญิง แต่ไม่เคยคิดจะก้าวก่ายเรื่องขององค์หญิงแม้แต่น้อย เพียงแต่…เพียงแต่…เพียงแต่…” ใบหน้าของเขาแดงเรื่อ คล้ายกำลังร้อนรนมาก ต้องการอธิบาย แต่ก็ไม่รู้ว่าควรเริ่มจากตรงไหน เขาเอาแต่พูดคำว่าเพียงแต่ซ้ำไปซ้ำมา
ซูหลีหลุดยิ้ม ก่อนจะกล่าวว่า “คุณชายเซียงร้อนรนไปไย? ความรู้สึกที่ท่านมีต่อฉางเล่อ ฉางเล่อตระหนักดี วันนี้ก็ใกล้ค่ำแล้ว คุณชายเซียงรีบกลับเถิด”
เซียงซืออวี่ผงะถอยหลัง เอ่ยอย่างเหม่อลอย “องค์หญิง…อยากให้กระหม่อมกลับไปหรือ…”
ซูหลียิ้ม แล้วกล่าวว่า “หากคุณชายอาลัยทิวทัศน์อันงดงามนี้ จะอยู่ชมอีกสักหน่อยก็ไม่เป็นไร ฉางเล่อไปหาอวิ๋นฮุ่ยแล้ว ขอตัว”
นางหมุนกายเดินออกไปทันที ใบหน้าเซียงซืออวี่ซีดเผือดไร้สีเลือด เขาถอนหายใจ แล้วกล่าวหยันตนเอง “เป็นกระหม่อมที่ไม่ประมาณตนเอง กลับคิดเพ้อฝันอยากเป็นคนรู้ใจขององค์หญิง…ที่แท้ องค์หญิงก็ไม่เคยเห็นกระหม่อมอยู่ในสายตาเลย…”
ซูหลีชะงักเท้า หันกลับไปมองเขา เงาร่างที่ดูผ่ายผอมของเขายืนอยู่ใต้ต้นดอกหลี แลดูโดดเดี่ยวและอ้างว้าง สายตาจับจ้องมาที่นาง ดวงหน้าซีดขาวกลับมีแววเจ็บปวดรวดร้าวพาดผ่าน สีหน้าเช่นนั้นกลับทำให้นางตะลึงงันไปชั่วขณะ เงาร่างของใครคนหนึ่งในความทรงจำผุดขึ้นมาในสมอง สีหน้าเช่นนั้น สายตาเช่นนั้น ราวกับซ้อนทับกันอยู่ในส่วนลึกของหัวใจนาง กลายเป็นความทรงจำที่ยากจะลบเลือน นางพลันใจอ่อน หันหลังเดินไปตรงหน้าเขา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เหตุใดคุณชายเซียงจึงต้องกล่าวเช่นนี้? ท่านเคยช่วยชีวิตเสด็จพี่ แล้วยังเคยช่วยชีวิตฉางเล่อ สำหรับข้า ท่านได้กลายเป็นสหายที่จริงใจตั้งแต่แรกแล้ว”
“จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?” สายตาของเซียงซืออวี่เป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย เขาจ้องหน้านางด้วยสายตาลึกซึ้ง “องค์หญิงเห็นกระหม่อมเป็นสหาย เพียงเพราะกระหม่อมเคยช่วยชีวิตองค์หญิง?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่!” ซูหลีปฏิเสธโดยสัญชาตญาณ
“เช่นนั้นเป็นเพราะอะไร?” เขาถามด้วยความร้อนใจ กระทั่งลืมตัวคว้ามือนาง!
ซูหลีสะดุ้งเล็กน้อย เซียงซืออวี่ได้สติ รีบปล่อยมือนาง แล้วกล่าวว่า “ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ!”
ซูหลีขมวดคิ้ว ปฏิกิริยาของเขาดูรุนแรงกว่าปกติ เหตุใดเขาจึงต้องสนใจว่านางจะมองเขาอย่างไรถึงเพียงนี้?”
เซียงซืออวี่คล้ายอ่านความคิดนางออก เขาถอนหายใจ ยิ้มอย่างเศร้าสร้อย “ตั้งแต่เล็กจนโต กระหม่อมมีโรคประจำตัว ต้องขลุกอยู่กับยาเป็นประจำ ท่านพ่อและท่านแม่เองก็ไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างสบายใจเพราะโรคของกระหม่อม ข้างกายยิ่งไม่มีสหายสักคน ตั้งแต่ที่กระหม่อมรู้จักองค์หญิงกับองค์รัชทายาท จึงได้สัมผัสถึง…คุณค่าของคำว่าสหาย ฉะนั้น…กระหม่อมจึงใส่ใจยิ่งนัก…ว่าองค์หญิงจะมองกระหม่อมเช่นไร”
ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย “ผู้อื่นจะมองเราเช่นไรไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่สำคัญคือเราเข้าใจความรู้สึกข้างในของตนเอง คุณชายเซียงยื่นมือช่วยเหลือครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นผู้มีจิตใจเมตตา ฉางเล่อเลื่อมใสยิ่งนัก”
เซียงซืออวี่กระดกยิ้มมุมปาก “องค์หญิงตรัสชมเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ในเมื่อเราเป็นสหายกัน เหตุใดไม่เรียกข้าว่าฉางเล่อเล่า?”
เซียงซืออวี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงดีใจ “ได้หรือ? ได้จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ซูหลียิ้ม “ทำไมจะไม่ได้เล่า? คุณชายเซียงเป็นเสมือนพี่ชายข้า พวกเราเรียกชื่อกันตรงๆ เถิด”
คิ้วที่ขมวดกันแน่นของเซียงซืออวี่คลายออกในที่สุด เขาพยักหน้า “ได้! เช่นนั้น ฉางเล่อก็อย่าเรียกข้าว่าคุณชายเซียงอีกเลย”
ซูหลียิ้ม “ได้ ซืออวี่ ตอนนี้พวกเรากลายเป็นสหายที่แท้จริงกันแล้ว?”
เซียงซืออวี่พยักหน้าอย่างหนักแน่น “แน่นอน!”
“เช่นนั้นข้าจะพูดตามตรง เสด็จพ่อไม่ยอมให้ข้าแต่งงานไปอยู่ไกลหูไกลตา แต่สำหรับฉางเล่อ มีเพียงฮ่องเต้แคว้นเฉิงเท่านั้นที่เป็นว่าที่สวามีในอนาคต ข้ากับเขาผ่านความลำบากมามากมาย ก้าวผ่านความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วน บัดนี้รักกันอย่างไม่เคลือบแคลงต่อกันอีกต่อไป หากซืออวี่เห็นว่าฉางเล่อเป็นสหายของท่านจริงๆ หวังว่าท่านจะใจกว้างมากพอ ช่วยข้าชี้แนะเสด็จพ่อให้กระจ่างด้วย”
เซียงซืออวี่ตะลึงงัน สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นสับสน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “องค์หญิงกล่าวเช่นนี้ ซืออวี่เข้าใจ เพียงแต่ เพียงแต่ท่าน ไม่กลัวว่าต่อไปเขาจะ…”
“ซืออวี่ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว” ซูหลีตัดบทเขา และจ้องหน้าเขาอย่างครุ่นคิด “ข้าตัดสินใจแล้ว อนาคตไม่ว่าจะมีอุปสรรคกีดขวางใด ข้าก็จะเผชิญหน้ากับมันไปพร้อมกับเขา หากเขาสู่ขอข้าไม่สำเร็จ ข้าก็ไม่มีทางแต่งงานกับผู้อื่นเด็ดขาด หวังว่าท่านจะเข้าใจ”
เซียงซืออวี่หน้าซีด “ข้า…เข้าใจ”
ซูหลียิ้ม “เช่นนั้นก็รบกวนซืออวี่แล้ว ท่านอยู่ชมทิวทัศน์ต่อเถิด ข้าไปหาอวิ๋นฮุ่ยแล้ว”
มองดูเงาร่างของนางห่างออกไปเรื่อยๆ และค่อยๆ หายลับไปจากครรลองสายตา ใบหน้าซีดเผือดของเซียงซืออวี่ แปรเปลี่ยนเป็นหมดอาลัยตายอยาก เขาค่อยๆ ยกถุงผ้าต่วนขึ้นมาที่ปลายจมูก แววมืดมนพาดผ่านดวงตา และหายลับไปในนัยน์ตาอันดำขลับอย่างรวดเร็วจนแทบสังเกตไม่เห็น
—————————————–