แดนนิรมิตเทพ บทที่ 565
เมืองฮ่านหยาง ห้องทำงานของท่านประธานเหม่ยหวากรุ๊ป

ขณะนี้เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว หลี่ซู่เฟินและเวินฉิงยังยุ่งวุ่นวายอยู่กับผลิตภัณฑ์ของโครงการใหม่อยู่ ภายในห้องทำงานที่ใหญ่โต เหลือเพียงแค่พวกเธอสองคนเท่านั้น

ชายวัยกลางคนอายุสามสิบกว่าปีคนหนึ่ง เดินออกมาจากลิฟต์ แล้วเดินตรงไปทางห้องทำงานของหลี่ซู่เฟิน แต่กลับไม่มีเสียงฝีเท้าดังเลยแม้แต่น้อย

หลี่ซู่เฟินที่ใช้ปากกากำลังวาดอะไรบางอย่างอยู่บนกระดาษ จู่ๆก็เงยหน้าขึ้น มองดูนอกประตู แล้วตะคอกถามว่า “ใคร!”

ประตูห้องที่ถูกล็อกไว้กลับถูกคนอื่นเปิดออก ชายคนนั้นเดินเข้ามา ก้มหน้าเล็กน้อย ทำให้มองใบหน้าไม่ออก

“ท่านประธานหลี่ ผมมาพาคุณไปตาย!”

หลี่ซู่เฟินและเวินฉิงตกตะลึง แต่สีหน้านิ่งเฉย “นายเป็นใคร? หากต้องการเงินก็บอกจำนวนมา ฉันสามารถให้นายได้ ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงเช่นนี้!”

ชายคนนั้นยิ้มชั่วร้าย ไม่หยุดฝีเท้า เดินตรงไปทางหลี่ซู่เฟิน “ผมไม่ต้องการเงิน ผมต้องการแค่ชีวิตคุณ!”

ทันใดนั้น ร่างหนึ่งเดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ ขวางไว้ตรงหน้าชายคนนั้น

เมื่อเห็นผู้มาเยือน หลี่ซู่เฟินและเวินฉิงถึงได้สบายใจ

ชายคนนั้นมองดูนักบู๊ที่ลอยอยู่กลางอากาศประมาณสามฟุต แล้วแสดงสีหน้าหวาดกลัว “ปรมาจารย์นักบู๊!”

“ใช่แล้ว แกสามารถไปตายได้แล้วละ!”

เฉินซงจื่อสีหน้าอาฆาต ร่างกายเคลื่อนไหวมายังตรงหน้าของชายคนนั้น แล้วมือหนึ่งก็บีบคอเขาไว้

“ปรมาจารย์ ปรมาจารย์โปรดไว้ชีวิตด้วยครับ!” ชายหนุ่มหายใจติดขัด ร้องขอชีวิตด้วยสีหน้าหวาดกลัว

เฉินซงจื่อน้ำเสียงเย็นชา “บอกมาว่าใครส่งแกมา แล้วฉันจะไว้ชีวิตแก!”

“ผมไม่ทราบครับ คนผู้นั้นบอกแค่ว่าหากทำภารกิจสำเร็จแล้วจะมอบยาวิเศษชั้นดีให้กับผมหนึ่งเม็ด สามารถทำให้ผมได้เข้าสู่แดนแปรภาพ!”

“อย่างนั้นไว้ชีวิตแกแล้วจะมีประโยชน์อะไร?”

กร็อบ เฉินซงจื่อออกแรงบีบ ชายคนนั้นก็ตายคาที่ทันที

เฉินซงจื่อหันหลังโค้งคำนับให้กับหลี่ซู่เฟินแล้วพูดว่า “ขอโทษที่ทำให้ท่านประธานต้องตกใจครับ!”

หลี่ซู่เฟินลุกขึ้นยืน รีบทำความเคารพกลับให้เฉินซงจื่อ “ท่านพรตอย่าทำเช่นนี้ค่ะ บุญคุณการช่วยชีวิตครั้งนี้ หลี่ซู่เฟินไม่รู้จะตอบแทนเช่นไรเลยค่ะ!”

“ใช่สิ ทำไมท่านพรตถึงได้มาได้ทันเวลาเลยละคะ แล้วเสี่ยวโม่ละคะ?”

เฉินซงจื่อยืนอยู่ด้านข้าง พูดว่า “นายน้อยมีธุระจากไปแล้วครับ เขากลัวว่าคุณจะได้รับอันตราย จึงสั่งให้ผมอยู่ปกป้องคุณ”

หลี่ซู่เฟินพยักหน้า โค้งคำนับแล้วพูดว่า “ลำบากท่านพรตด้วยค่ะ!”

“ท่านประธานไม่ต้องเกรงใจครับ นี่คือหน้าที่ส่วนหนึ่งของผมครับ!” เฉินซงจื่อโค้งคำนับตอบกลับ

“ท่านทั้งสองรีบพักผ่อนนะครับ ผมขอออกไปจัดการทิ้งก่อนครับ!” เฉินซงจื่อพูดจบ เขาก็แบกศพจากไป

เวินฉิงรู้สึกหวาดผวา มองหลี่ซู่เฟินแล้วถามว่า “ท่านประธานคะ คุณคิดว่าคนเมื่อกี้ใครเป็นคนส่งมาคะ?”

หลี่ซู่เฟินยิ้มเย็นชา “ยังต้องถามอีกงั้นหรอ? นอกจากตระกูลว่านแล้วจะมีใครอีก!”

“ดูแล้วตระกูลว่านคงจะถึงขั้นสุนัขจนตรอกแล้วละค่ะ!” ใบหน้าของเวินฉิงมีความกังวล

“ใช่แล้ว ยังดีที่มีเสี่ยวโม่ระวังไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นพวกนั้นคงจะได้ทำสำเร็จแล้วละ!” หลี่ซู่เฟินรู้สึกเคียดแค้น พูดด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยวว่า “แต่ถ้าหากว่านฉางหรูคิดว่าแผนการชั่วร้ายแค่นี้จะสามารถขัดขวางฉันได้ อย่างนั้นก็คงจะดูถูกจิตใจของฉันที่จะเอาชนะตระกูลว่านแล้วละ!”

“เสี่ยวฉิง เธอเองก็คิดหาวิธีรวบรวมพวกนักบู๊มาซะ จะคอยเอาแต่รบกวนเสี่ยวโม่และท่านพรตเฉินทุกเรื่องตลอดไม่ได้หรอก”

เวินฉิงพยักหน้า “พรุ่งนี้ฉันจะไปจัดการค่ะ!”

วันต่อมา ห้องทำงานของท่านประธานว่านซื่อกรุ๊ป

ว่านเหวินโยวเข็นรถเข็นเข้ามาในห้องทำงานของว่านฉางหรู แล้วก็ปิดประตูห้อง

“พ่อครับ คนผู้นั้นตายแล้วครับ” ว่านเหวินโยวสีหน้าเรียบเฉย

เหมือนว่าว่านฉางหรูคาดการณ์ไว้แล้ว แววตาลึกซึ้ง ถอนหายใจเบาๆ “ดูแล้วคงยังไม่ถึงเวลาที่พวกเราจะต้องสู้ด้วยชีวิตสินะ!”

ว่านเหวินโยวยิ้มเยาะ “พ่อครับ ผมว่าอาจจะไม่ใช่”

ว่านฉางหรูมองเขา รอคำพูดต่อไป