995 เสริมความแข็งแรงให้กับอวัยวะทั้งห้าและกล้ามเนื้อ
ในตอนแรกเป็นเจิ้งเหว่ยจวินที่ต้องเป็นฝ่ายขอร้องแต่ตอนนี้กลับกลายเป็นอีกฝ่ายที่ต้องขอร้องเขาแทนเพราะแบบนั้นมันจึงทําให้เขาพอใจมาก
มีคนไข้สามคนมาที่คลินิกในตอนเช้าทั้งหมดมาด้วยอาการไข้หวัดธรรมดาไม่มีสัญญาณของโรคที่ร้ายแรงกว่านั้น
เมื่อมีเวลาว่างหวังเย้าก็ใช้ไปกับการปรับปรุงสูตรยาที่เขาเพิ่งคิดค้นขึ้นมาได้เมื่อคืนก่อนเพื่อปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นยิ่งกว่าเดิม หนึ่งวันผ่านพ้นไปโดนที่เขาไม่ทันได้รู้ตัวแทน
พูด
ในคืนนี้ เขาได้เริ่มลงมือต้มยาอยู่บนเนินเขาหนานชาน
หวูเถิง,เตี่ยเหมย,ชางหยาง…
สมุนไพรส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นสมุนไพรวิเศษที่ล้ําค่า
แสงไฟบนเขาดับลงในตอนกลางดึก
เขาไม่ได้รับคนไข้ในตอนเช้าแต่ได้ให้จงหลิวชวน,เจี๋ยจื้อจาย, และหูเหมยมาหาเขาที่คลินิก
“มีเรื่องอะไรเหรอครับ เขียนเชิง?”
“ผมทํายาตัวใหม่ออกมาน่ะ”หวังเย้าพูด“มีใครในพวกคุณที่อยากทดสอบเป็นคนแรกไหม?” “มันมีสรรพคุณอะไรบ้างครับ?”
“เสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย,ปรับสมดุลอวัยวะภายใน,และเสริมสติปัญญา”หวังเย้า
“ฟังดูสุดยอดไปเลยนะครับ”เจี๋ยจื้อจายพูด“ถ้าอย่างนั้นผมขอเป็นคนแรกก็แล้วกัน”
“ฮ่ะ คิดจะคว้าของดีเอาไว้กับตัวเองแค่คนเดียวอย่างนั้นเหรอ?ให้พวกเราลองพร้อมกันทั้งสามคนเลยได้ไหมคะ?”หูเหมยเสนอขึ้นมา
“ได้สิ หลังจากที่ดื่มเข้าไปแล้วก็บอกผมด้วยล่ะว่ารู้สึกยังไงกันบ้าง” หวังเย้าพูดทั้งสามแบ่งยาเท่าๆกันและดื่มจนหมด
พวกเขารู้สึกอุ่นในท้องและมันเป็นความรู้สึกที่ดีแล้วความร้อนก็ค่อยๆกระจายออกไปตามส่วนต่างของร่างกายอย่างรวดเร็วทําให้พวกเขารู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากยิ่งขึ้น
“รู้สึกเป็นยังไงบ้าง?” หวังเย้าถาม
หลังจากคิดดูสักพักเจี๋ยจื้อจายก็ตอบกลับไปว่า“ผมรู้สึกเหมือนได้กินยาโด๊ปเข้าไปจํานวน
มาก ร่างกายของผมเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแต่ก็ไม่ได้รู้สึกกระสับกระส่ายเลย” “มานี่สิ”หวังเย้าพูด“ผมขอตรวจร่างกายของพวกคุณหน่อย”
เขาจับดูชีพจรของแต่ละคน
ตัวยานั้นได้ผลโดยเฉพาะกับส่วนของกล้ามเนื้อและกระดูก
“ดี ถือว่าเรียบร้อยแล้ว”หวังเย้ายิ้มและโบกมือ“อีกสองวันให้กลับมาที่นี่อีกครั้งจริงสิกลับบ้านไปก็ให้ฝึกฝนด้วยนะมันจะช่วยให้การดูดซึมตัวยาดีขึ้น”
“ได้ครับ/ค่ะ”
ทั้งสามกลับออกไปพร้อมกัน
“นี่ ศิษย์พี่ คิดว่าเชียนเชิงกําลังจะทําให้พวกเรากลายเป็นยอดมนุษย์ที่ต้านพิษและมีกล้ามเนื้อกับกระดูกที่แข็งเหมือนเหล็กอยู่ใช่ไหม?”เจี๋ยจื้อจายถามด้วยอารมณ์ขันซ้ำ”
“อะไร? หรือนายไม่ชอบ?” จงหลิวชวนถาม
“ชอบสิ ฉันชอบมากฉันยังอยากให้เชียนเชิงใส่บางอย่างที่ทําให้เรากลายเป็นเซียนลงไปด้วย
“เซียน? นายเพ้อเจ้อแล้ว”หูเหมยกรอกตาใส่เขา
“โถ่ คุณผู้หญิง ฉันจะบอกอะไรให้นะ จากข้อมูลที่ฉันรู้มาผู้นําหุบเขาพันโอสถเมี่ยวซีเหอน่ะมีอายุ 84 ปีในปีนี้แต่หน้าตาของเขากลับเหมือนคนอายุ 40 ปียังไงยังงั้น”เจี๋ยจื้อจายพูด “เธอลองคิดดูสิเรายังเคยเห็นคนอายุ 130 ปีที่ยังแข็งแรงกระฉับกระเฉงมาก่อนแล้วไม่ใช่เหรอ?” “นั่นไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นปีศาจในคราบของมนุษย์ต่างหากล่ะ” หูเหมยตอบ“แล้วสุดท้ายผู้ชายคนนั้นก็ตายไม่ใช่เหรอ? การได้รับพลังที่ยิ่งใหญ่โดยใช้วิธีการชั่วร้ายก็ต้องมาพร้อมกับสิ่งที่ต้อง แลกเปลี่ยน”
“หรือเขียนเชิงคิดจะใช้ทางลัด?”
“เรื่องนี้มันพูดยาก” จงหลิวชวนพูด“เขาเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกายและรักษาสภาพ ร่างกายด้วยการใช้ยาสมุนไพรมันมีเขียนอยู่ในบันทึกโบราณขนาดหมอที่มีชื่อเสียงในอดีตอย่างหลี่ชื่อเจินกับซุนซีเมี่ยวก็เคยทํามาก่อนมันเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลและเป็นวิทยาศาสตร์ “ศิษย์พี่รู้เยอะจริงๆเลยนะ”เจี๋ยจื้อจายพูด
“เมื่อไหร่ที่ฉันมีเวลาฉันก็จะชอบอ่านหนังสือส่วนใหญ่ก็เป็นคัมภีร์เต๋ากับตําราที่เกี่ยวกับการแพทย์เป็นหลัก”จงหลิวชวนยิ้ม
เขาอยู่ที่บ้านไม่มีอะไรให้ทํามากนักเงินที่เขาหามาได้ก่อนหน้านี้มากพอที่จะทําให้เขากับน้องสาวใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายเวลาส่วนใหญ่ของเขาจึงหมดไปกับการฝึกฝนหรือไม่ก็อ่านหนังสือเขาอ่านหนังสือหลายประเภทมันจึงทําให้เขามีความรู้มากกว่าคนอื่น
“แล้วมีเล่มไหนที่พูดถึงเรื่องเซียนบ้างไหม?”
“เลิกสนใจเรื่องนั้นได้แล้ว”จงหลิวชวนพูด“ลองดูเชียนเชิงสิเขาแข็งแกร่งขนาดนั้นแต่นายเคยได้ยินเขาพูดถึงเรื่องของเซียนกับพวกเราสักครั้งไหม?มันไม่ใช่เรื่องดีที่เอาแต่คิดถึงเรื่องพวกนี้แล้วตอนนี้นายก็อยู่ดีไม่ใช่เหรอ?”
“ได้ๆๆ” เจี๋ยจื้อจายพูดซ้ำๆหลายครั้งแล้วพวกเขาก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
หลังจากกลับไปถึงบ้านแล้วหูเหมยก็พูดขึ้นมาว่า“ดูเหมือนการฝึกฝนของศิษย์พี่จะก้าวหน้าขึ้นมาก”
“หืม? เธอรู้ได้ยังไง? เธอไม่เคยสู้กับเขาสักหน่อย”
“มันเป็นสัญชาตญาณ นายไม่ได้ยินที่เขาพูดก่อนหน้านี้เหรอ?”
“เธอเลิกพูดอ้อมค้อม แล้วบอกสามีเธอมาตรงๆเลยไม่ได้เหรอ?” เจี๋ยจื้อจายพูด
“ไม่ยึดติดและปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติของมันเอง”หูเหมยพูด “ถ้าเป็นในเรื่องของระยะเวลาการฝึกฝนและสภาวะอารมณ์ ศิษย์พี่อยู่เหนือพวกเราไปไกลแล้ว”
“อืม ฉันไม่เห็นรู้เลย” เจี๋ยจื้อจายพูด
เขาเป็นคนประเภทที่ไม่ให้ความสนใจกับคนที่ไม่ใช่ศัตรูของเขามากนัก
“เชียนเชิงเอายาอะไรให้พวกเรากินกันแน่?”เจี๋ยจื้อจายถาม“ตอนนี้ ฉันรู้สึกร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแต่ก็ไม่รู้สึกกระสับกระส่ายหรือต้องการปลดปล่อยมันออกไปเลยมันรู้สึกเหมือนกับมี
ความอบอุ่นที่กําลังค่อยๆแทรกซึมเข้าสู่กล้ามเนื้อและกระดูกของฉัน”
“เขาก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ?มันช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย, ปรับสมดุลอวัยวะภายใน เสริมสติปัญญา”
“ถ้าอย่างนั้นก็อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย เรามาเริ่มฝึกกันเลยดีไหม?”
หวังเย้าเก็บกวาดภายในคลินิกเล็กน้อยก่อนจะออกไปข้างนอก เขามุ่งหน้าขึ้นบนเนินเขาหนานชาน
มีคนไข้หลายคนที่มาคลินิกในตอนกลางวันแล้วพวกเขาก็เห็นป้ายแขวนติดเอาไว้ที่หน้าประตู
“หา? ไม่มีใครอยู่งั้นเหรอ?”
“โถ เราอุตส่าห์ดูเวยป๋อก่อนจะมาที่นี่แล้วแท้ๆ”
มีบางคนที่เลือกอยู่รอด้วยความหงุดหงิด
เจี๋ยจื้อจายที่เพิ่งฝึกฝนเสร็จก็ออกไปเดินเล่นด้านนอกเขารู้สึกเปี่ยมล้นไปด้วยพลังงานแล้วเขาก็หันไปเห็นคนที่กําลังยืนรออยู่ที่ด้านนอกคลินิกเมื่อดูแล้วก็สบายใจว่าคนเหล่านั้นไม่ได้มาเพื่อสร้างเรื่องและเขายังพบว่าพวกเขาไม่ได้ป่วยหนักอะไรมากนัก เขาจึงมุ่งหน้าขึ้นไปบนเนินเขาตงชานพร้อมกับหูเหมย
“ยานี่ได้ผลดีจริงๆ หรือเชียนเชิงจะใส่โสมพันปีหรือสมบัติล้ําค่าลงไปในยาด้วย?” เจี๋ยจื้อจาย
ยังคงรู้สึกได้ถึงประสิทธิภาพของตัวยาที่เขาดื่มไปในตอนเช้า
“มันน่าจะไม่ใช่สมุนไพรธรรมดาเพราะสมุนไพรธรรมดาไม่มีทางทําได้แบบนี้แน่ๆ”
ทั้งสองพากันขึ้นไปบนเนินเขาตงชานและพบว่าจงหลิวชวนกําลังนั่งอยู่บนหินก้อนหนึ่งเขา
อยู่ที่บ้านครู่เดียวก่อนจะตัดสินใจได้ว่าการฝึกอยู่บนเขานั้นให้ผลดีกว่าเขาจึงขึ้นมาบนเขาโดยไม่สนใจที่จะกินอาหารกลางวันก่อน เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตรงมาเขาจึงหันหน้าไปมองและกลับมาสนใจการฝึกต่อ
“ศิษย์พี่น่าจะชวนพวกเราขึ้นมาที่นี่ด้วยกัน”
จงหลิวชวนท่าเพียงยิ้มตอบเท่านั้น
“เลิกคุยได้แล้ว”
หูเหมยกับเจี๋ยจื้อจายเดินไปที่จุดประจําของแต่ละคนและเริ่มปรับจังหวะการหายใจเข้าออกถึงมันจะเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิและต้นไม้บนเขาก็เริ่มผลิใบมากขึ้นแต่ลมบนเขาก็ยังคงให้
ความรู้สึกเย็นฤดูใบไม้ผลิยังคงความหนาวเย็นไม่จางหาย
ทั้งสามนั่งนิ่งอยู่บนเขาปล่อยให้ลมเย็นพัดผ่านตัวพวกเขาไป
พระอาทิตย์บนท้องฟ้าดูเฉื่อยเฉื่อย
นกหลายตัวบินผ่านพวกเขาไปมา
เวลาผ่านไปช้าๆทั้งสามนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมไปจนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน
สุนัขที่ตัวโตราวกับสิงโตโผล่ออกมาจากป่าด้านหลังของพวกเขา มันกําลังจะกลับขึ้นเขาแต่ก็หยุดเดินอยู่ไม่ไกลจากจุดที่พวกเขาอยู่ มันเอียงคอและมองดูพวกเขาเงียบๆ
“ซานเซียน มานี่สิ” เจี๋ยจื้อจายโบกมือเรียกสุนัข
มันส่ายหางไปมาและต้องมองชายที่เรียกมันอยู่แต่มันก็ไม่ได้เข้าไปหาอีกฝ่าย
“หมาไม่สนใจนายล่ะ” หูเหมยยิ้มพูด “มานี่สิซานเซียน”
ซานเซียนเคลื่อนตัวไปหาเธออย่างช้าๆ
“ไม่มีทางน่า!”
มันเดินเข้าไปดมเจี๋ยจื้อจายจากนั้นก็ตามด้วยหูเหมยสุดท้ายมันก็เข้าไปดมจงหลิวชวน
“สวัสดี ซานเซียน” จงหลิวชวนยิ้มและลูบหัวของมัน
มันเดินวนรอบพวกเขาครั้งหนึ่งก่อนจะเดินกลับเข้าไปในป่ามุ่งหน้าขึ้นสู่เนินเขาหนานชาน
“มันคิดอะไรอยู่กันแน่”
“อืม อย่างน้อยมันก็น่าจะฉลาดกว่านาย” หูเหมยยิ้ม
“เอาล่ะ ฉันเสร็จแล้ว” เจี๋ยจื้อจายลุกขึ้นขยับตัวเล็กน้อยเขายังคงรู้สึกว่าร่างกายของเขายังร้อนอยู่แต่เขาก็ดูดซับพลังงานนั้นจนเกือบหมดแล้วตัวยาที่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายเริ่มแสดงผล
ของมันออกมาให้เห็น มันได้เสริมความแข็งแกร่งของร่างกายอย่างต่อเนื่อง
หูเหมยลุกขึ้นยืนและพูดว่า “ฉันก็เหมือนกันเราลงเขาไปพร้อมกันเลยดีไหม?”
“ศิษย์พี่?”
“พวกนายลงไปก่อนเลยฉันจะอยู่ที่นี่ต่ออีกสักหน่อย”
“ก็ได้ ไปกันเถอะ”
ทั้งสองพากันลงไปจากเขาเหลือเพียงจงหลิวชวนที่นั่งอยู่บนก้อนหินตามลําพังเขาหลับตาลงและรักษาจังหวะการหายใจน่าพาพลังฉีให้ไหลเวียนไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง
เขายังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมพระจันทร์เสี้ยวส่องแสงอยู่บนท้องฟ้า มันส่องลงมาปกคลุมทั่วทั้งภูเขารวมถึงตัวเขาด้วย
กลางคืนนั้นหนาวเย็น
ร่างกายของเขาสั่นเล็กน้อยเขาดูเหมือนกําลังเข้าสู่สภาวะพิเศษบางอย่าง
เขาตกอยู่ในห้วงจิตและกลืนไปกับสิ่งรอบด้าน
เขาอยู่ในสภาวะนี้ไปจนกระทั่งเที่ยงคืนบนยอดเขาหนานชานมีแสงไฟส่องลอดออกมา