มิน่าเล่าเขาถึงได้อ่อนแอถึงเพียงนี้ ที่แท้ก็สูญเสียกำลังภายในไปจนสิ้น ซูหลีปวดแปลบในใจ อดกล่าวด้วยความร้อนใจไม่ได้ “เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงไม่บอกข้า?”
ตงฟางเจ๋อหันมามองนาง สายตาเย็นชาจางหาย กลีบปากซีดขาวหยักยิ้มเล็กน้อย เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”
เซิ่งฉินตำหนิด้วยน้ำเสียงปวดใจ “วันนี้ฝ่าบาทกำลังขับพิษในอ่างอาบน้ำ พวกกระหม่อมทั้งสามแยกย้ายกันเฝ้าระวังในสวน เซี่ยอวิ๋นเซวียนผู้นั้นใช้อุบายเลียนเสียงล่อพวกกระหม่อมออกไป กว่าพวกกระหม่อมจะรู้ตัวแล้วย้อนกลับมา ก็ยังคงสายไปหนึ่งก้าว!”
เซิ่งเซียวชี้หน้าเซี่ยอวิ๋นเซวียนแล้วกล่าวอย่างเคียดแค้น “เจ้าคนชั่ว ฉวยโอกาสตอนฝ่าบาทสูญเสียกำลังภายใน หมายจะปลงพระชนม์ฝ่าบาท โชคดีที่ฝ่าบาททรงมีกระบี่ประกายแสงอยู่ในมือ จึงได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของคนชั่วเช่นเจ้า!”
สายตาของซูหลีตึงเครียด นางหันไปมองเซี่ยอวิ๋นเซวียนด้วยความประหลาดใจ เซี่ยอวิ๋นเซวียนเชี่ยวชาญเรื่องอาวุธลับและซ่อนกลไก ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่ามาด้วยความตั้งใจ พวกเซิ่งฉินจะพลาดท่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่เรื่องที่ตงฟางเจ๋อสูญเสียกำลังภายในจนสิ้นระหว่างขับพิษรักษาอาการบาดเจ็บ แม้แต่นางก็ยังไม่รู้ แล้วเซี่ยอวิ๋นเซวียนรู้ได้อย่างไร? จะต้องมีคนคอยยุยงอยู่ตรงกลางเรื่องนี้อย่างแน่นอน
เซิ่งฉินชี้หน้าเซี่ยอวิ๋นเซวียน ตะโกนด่าเสียงดัง “หากมิใช่เจ้าคนชั่วช้าคนนี้ฉวยโอกาสลอบปลงพระชนม์ เซี่ยหมิงหยางจะถูกกระบี่แทงตายได้เช่นไร?”
เซิ่งจินเองก็ขึ้งเคียด “ในเมื่อสองแคว้นตกลงร่วมมือกันแล้ว เขายังกล้ากระทำเรื่องที่ไม่ยึดมั่นคำสัญญา ละทิ้งคุณธรรมเช่นนี้ได้ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนชั่วที่จิตใจเลวทรามอำมหิต!”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนพลันเงยหน้า ดวงตาแดงก่ำทั้งสองข้าง เขาลุกขึ้นยืน ตะโกนโต้แย้งเสียงดัง “ข้าไม่เคยตกลงร่วมมือกับใครทั้งสิ้น! ข้าเพียงต้องการสังหารปิศาจตนนี้เพื่อแก้แค้นที่เขาฆ่าคนนับร้อยชีวิตในสำนักกระบี่เหล็กของเรา!”
“เจ้าไม่มีวันได้ทำอย่างนั้นแน่นอน!” ตงฟางเจ๋อยกมือแตะลูกธนูบนไหล่ซ้าย แววเหี้ยมเกรียมพาดผ่านดวงตา กล่าวเสียงเย็นเยียบ “เซิ่งฉิน จับตัวไว้!”
พวกเซิ่งฉินชักกระบี่ออกจากฝัก รีบเดินเข้าไปล้อมเซี่ยอวิ๋นเซวียนตามคำสั่งทันที
“ทหาร!” หลางฉ่างดวงตาแดงก่ำเล็กน้อย รีบตะโกนเรียกคน หลิงอวิ๋น หลิงเซียวรีบโฉบเข้ามายืนขวางด้านหน้าเซี่ยอวิ๋นเซวียน ก่อนจะชักกระบี่ออกจากฝักเช่นกัน
ทั้งสองฝ่ายต่างจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยดวงตาแดงก่ำ ราวกับต้องการจะแทงร่างศัตรูให้ทะลุเสียเดี๋ยวนั้น
“ช้าก่อน!”
ครั้นเห็นสถานการณ์ตึงเครียด ใกล้จะไม่อาจควบคุม และอาจนำมาซึ่งการนองเลือดอีกครั้ง ซูหลีก็รีบร้องขึ้นด้วยความร้อนใจ “เสด็จพี่ ใจเย็นก่อนเพคะ! ทั้งหมดนี้อาจเป็นเรื่องเข้าใจผิด เหตุการณ์ระเบิดที่โรงหล่อเมื่อครู่ยังตรวจสอบไม่ชัดเจนเลยนะเพคะ!”
ตงฟางเจ๋อหน้าเปลี่ยนสี หันมามองหน้านางแล้วถามว่า “โรงหล่อระเบิดงั้นหรือ?”
ซูหลีพยักหน้าอย่างตึงเครียด “เมื่อครู่ข้ากับเสด็จพ่อและเสด็จพี่ไปเดินสำรวจโรงหล่อ จู่ๆ โรงหล่อก็ระเบิด ข้าจับตัวผู้ต้องสงสัยได้หนึ่งคน คนผู้นั้น…เป็นคนประสานงานขนส่งวัสดุเหล็กของแคว้นเฉิง”
ตงฟางเจ๋อตกตะลึง “เป็นไปไม่ได้!”
หลางฉ่างเอ่ยเสียงแช่มช้าและทุ้มต่ำ “ตั้งแต่ฮ่องเต้แคว้นเฉิงมาเยือนแคว้นติ้ง ท่านทำสารพัดวิธีเพื่อจะสานสัมพันธ์อันดีกับข้า เพียงเพราะต้องการให้เชื่อว่าท่านจริงใจต่อฉางเล่อ แต่ยามนี้…ตอนแรกก็ระเบิดโรงหล่อ ตอนนี้ก็สังหารสหายเซี่ย…ฮ่องเต้แคว้นเฉิงจริงใจต่อการร่วมมือกันในครั้งนี้มากน้อยเท่าใดกันแน่? บางทีวันนั้นที่ท่านยอมปล่อยพวกเขา ก็เพียงเพื่อยืดเวลากระมัง?”
ตงฟางเจ๋อหน้าเปลี่ยนสี ก้าวไปข้างหน้าอย่างทุลักทุเลสองก้าว แล้วกัดฟันถามว่า “องค์รัชทายาทพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? ในเมื่อข้าตกลงร่วมมือ ย่อมไม่มีทางคืนคำอยู่แล้ว!”
หลางฉ่างโกรธเกรี้ยว ตะโกนเสียงดัง “ไม่คืนคำเช่นนั้นหรือ! ถ้าหากสหายเซี่ยฟื้นคืนชีพได้ ข้าก็จะเชื่อท่าน”
หลางฉ่างมองร่างไร้วิญญาณของเซี่ยหมิงหยางที่นอนอยู่ตรงหน้า ความเจ็บปวดและโกรธแค้น ทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก ความคาดหวังและความเชื่อใจที่เคยมี ยามนี้มลายหายไปจนสิ้น
ซูหลีเห็นสีหน้าเขา หัวใจเริ่มจมดิ่งสู่ก้นเหว นางกำหมัดแน่น สาวเท้าเดินไปตรงหน้าหลางฉ่าง แล้วพยายามเกลี้ยกล่อมอย่างสุดกำลัง “เสด็จพี่โปรดทรงระงับโทสะ สืบหาความจริงก่อนแล้วค่อยตัดสินเถิดเพคะ”
สายตาของหลางฉ่างยังคงจับจ้องร่างของเซี่ยหมิงหยาง ดวงตาของเซี่ยหมิงหยางยังคงเบิกค้างไว้เช่นนั้น ทว่าเลื่อนลอยไร้จุดหมาย คล้ายยังมีความฝันมากมายที่ยังทำไม่สำเร็จ หลางฉ่างพลันปวดใจแสนสาหัส เขาค้อมกาย หลับตาลงเบาๆ อย่างไม่อาจควบคุมตนเอง สำหรับเขา เซี่ยหมิงหยางเป็นสหายรู้ใจที่หาได้ยากยิ่ง พวกเขาเคยผ่านเหตุการณ์อันตรายด้วยกันมามากมาย มีอุดมการณ์ร่วมกัน เคยร่วมดื่มกิน และพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจวบจนถึงตอนนี้…แต่ตอนนี้ ทุกอย่างล้วนกลายเป็นเพียงภาพลวงตา!
หลางฉ่างค่อยๆ หดมือกลับ นิ้วมือสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม ประกายน้ำตารื้นผ่าน กล่าวด้วยน้ำเสียงปวดใจสุดแสน “ข้าเคยรับปากกับสหายเซี่ยว่าจะปกป้องเขา ยามนี้กลับต้องเห็นเขาตายไปต่อหน้าต่อตา หากวันนี้ข้าไม่อาจหาคำอธิบายให้เขาได้ ข้า…ก็ไม่คู่ควรกับตำแหน่งรัชทายาทแห่งแคว้นติ้ง!” เอ่ยถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของเขาพลันแปรเปลี่ยน เขาหันกายมา จ้องหน้าตงฟางเจ๋อด้วยสายตาเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง
พวกเซิ่งฉินเห็นท่าไม่ดี รีบเข้าไปคุ้มกันตงฟางเจ๋ออย่างพร้อมเพรียง สายตาเต็มไปด้วยแววระแวดระวัง ตั้งท่าเตรียมพร้อม
ซูหลีรีบดึงมือเขา กล่าวว่า “เสด็จพี่! ใจเย็นก่อนเพคะ! เรื่องนี้ต้องไม่ได้มีแค่ที่เห็นภายนอกอย่างแน่นอน ต้องมีผู้วางแผนร้ายอยู่เบื้องหลังแน่นอนเพคะ!”
หลางฉ่างหลับตา กล่าวด้วยน้ำเสียงปวดใจ “ฉางเล่อ เจ้าไม่เข้าใจ…”
“การตายของอาจารย์เซี่ย ฉางเล่อเองก็เสียใจไม่ต่างจากเสด็จพี่!” ซูหลีเข้าใจความรู้สึกในตอนนี้ของเขา จึงพยายามปลอบใจเขาอย่างสุดความสามารถ นางรีบกล่าว “แต่หากทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิด แล้วเสด็จพี่ทำให้สองแคว้นต้องเกิดสงครามเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ นั่นไม่เป็นการทำให้ผู้อยู่เบื้องหลังซึ่งมีเจตนาร้ายได้ใจหรือเพคะ! เสด็จพี่ โปรดให้เวลาฉางเล่ออีกสักหน่อย หม่อมฉันจะต้องสืบหาความจริง และหาคำอธิบายให้เสด็จพี่ได้อย่างแน่นอนเพคะ!”
หลางฉ่างตะลึงงัน เงียบงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้ามองตงฟางเจ๋อ พยายามควบคุมไฟโทสะในใจ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นลง “ได้ พี่รับปากเจ้า”
ซูหลีเพิ่งจะถอนหายใจ แต่กลับได้ยินหลางฉ่างพูดต่ออีกว่า “ข้าจะให้เวลาเจ้าไปสืบหาความจริง แต่เซี่ยอวิ๋นเซวียนต้องไปกับข้า อีกอย่าง เจ้าต้องให้เขาออกจากแคว้นติ้งไปเสีย ข้าไม่อยากเห็นหน้าคนผู้นี้อีก!”
เอ่ยจบ หลางฉ่างโบกมือออกคำสั่ง จากนั้นก็เดินออกไปโดยไม่หันกลับมาอีก องครักษ์แบกศพของเซี่ยหมิงหยาง และพาตัวเซี่ยอวิ๋นเซวียนไปด้วย ในลานสวนอันกว้างใหญ่พลันเงียบสงัด ดอกไม้ใบหญ้าในสวนล้มตายจนสิ้น สภาพระเนระนาด ในอากาศยังคงมีกลิ่นคาวเลือดลอยอบอวล
กลุ่มคนเพิ่งจะเดินออกไป ตงฟางเจ๋อทนไม่ไหวอีกต่อไป ร่างกายโอนเอนไปมา กระบี่ประกายแสงหลุดจากมือร่วงลงพื้น เซิ่งฉินและเซิ่งจินรีบประคองเขาเข้าไปในห้องนอน
ตงฟางเจ๋อนั่งพิงหัวเตียง ซูหลีนั่งลงตรงขอบเตียงตรวจบาดแผลบนไหล่เขา ลูกธนูทำจากเหล็กกล้า คมกริบสุดแสน จมเข้าไปในร่างกายเขาเกือบครึ่ง เซิ่งเซียวรีบนำยามา ซูหลีหยิบผ้าผืนหนึ่งยื่นให้เขากัดไว้ นางกำปลายธนู แล้วขมวดคิ้วกล่าวว่า “ทนหน่อยนะ”
ตงฟางเจ๋อพยักหน้า
ซูหลีกัดฟัน ออกแรงดึงในครั้งเดียว เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูด
ตงฟางเจ๋อร้องครวญ เหงื่อเย็นเปียกชุ่มเสื้อผ้า ไม่นานก็หมดสติไปเพราะความเจ็บปวด
ซูหลีขว้างลูกธนูทิ้ง ออกแรงกดปากแผล แล้วโรยยาจินช่วงเพื่อหยุดเลือดโดยเร็ว หลังจากทำความสะอาดแผลเสร็จ ซูหลีจึงค่อยกล่าวเสียงขรึม “บาดแผลของเขาเกิดขึ้นได้อย่างไรกันแน่?”
เซิ่งฉินลังเลเล็กน้อย ไม่นานก็กล่าวเสียงเบาว่า “ปีนั้นเพื่อตามหาองค์หญิง ฝ่าบาทอยู่ในน้ำเจ็ดวันเจ็ดคืน ด้วยเหตุนี้จึงถูกพิษเย็นเล่นงาน ต่อมาใต้เท้าหลินอ่านตำราแพทย์ทุกเล่ม จนเจอวิธีขับพิษเย็นออกจากพระวรกายของฝ่าบาทในที่สุด ทุกสามวันจำต้องแช่ตัวในยา ระหว่างนั้นร่างกายจะอ่อนแอ สูญเสียกำลังภายใน…จนสิ้น”
ซูหลีมองคนที่ดวงหน้าซีดขาวดั่งกระดาษ นอนหลับตาสนิทอยู่บนเตียง ลึกๆ ในใจเจ็บแปลบ นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงปวดใจ “เขายังกำชับพวกเจ้า ไม่ให้บอกข้า ใช่หรือไม่?”
เซิ่งฉินสีหน้าเคร่งเครียด ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
——————————-