ซูหลียกแขนเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผากตงฟางเจ๋อเบาๆ คิ้วที่ขมวดเข้าหากันของเขาคลายออก เขาลืมตาเล็กน้อย มองเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของนาง เขาขยับนิ้วทีละนิด เอื้อมไปจับมือนางช้าๆ แล้วจึงค่อยกล่าวเสียงเบา “เรื่องที่โรงหล่อข้าไม่รู้เรื่อง เซี่ยงหมิงหยางข้าก็ไม่ได้ตั้งใจฆ่าเขา”
ซูหลีปวดใจ รีบกุมมือเขาตอบแน่นๆ ก่อนจะยิ้มบางแล้วกล่าวว่า “ข้าเชื่อท่านอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าพุ่งเป้ามาที่ท่าน บางที ตั้งแต่วินาทีที่ท่านก้าวเท้าเข้ามาในแคว้นติ้ง ก็มีคนคอยบงการเรื่องราวทุกอย่างอยู่เบื้องหลังแล้ว สถานการณ์ตอนนี้ไม่เป็นผลดีกับท่าน ท่านไปจากที่นี่ กลับไปพักฟื้นให้ดีก่อนเถิด ข้าจะต้องสืบเรื่องราวทุกอย่างให้กระจ่างได้แน่นอน”
ตงฟางเจ๋อหอบหายใจ กัดฟันหยัดกายลุกขึ้นนั่ง แล้วกล่าวเสียงขรึมว่า “ข้าไปไม่ได้! คนผู้นี้ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดแต่แรก จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมโผล่หน้าออกมา จะต้องเป็นคนชั่วภายใต้หน้ากากคนดีอย่างแน่นอน สี่ทูตประจำกายของเจ้ายามนี้เหลือเพียงเจียงหยวนที่อยู่ที่นี่ แล้วจะให้ข้าวางใจได้เช่นไร?”
ซูหลีกล่าว “เสด็จพี่ออกคำสั่งขับไล่แล้ว วันนี้เขาโกรธมากจริงๆ ถ้าหากเขารู้ว่าท่านไม่ไปจากที่นี่ เกรงว่า…”
ตงฟางเจ๋อกล่าว “ข้าจะระวัง” พูดไป เขาก็ฝืนลุกจากเตียง แล้วกำชับเสียงขรึมว่า “เซิ่งฉิน รีบไปจัดการให้เรียบร้อย…” เขายังพูดไม่ทันจบ จู่ๆ ก็ถูกตีท้ายทอยอย่างแรง สายตาพลันมืดมน หมดสติไปทันที
พวกเซิ่งฉินตะโกนด้วยความตกใจ “องค์หญิง!”
ซูหลีประคองร่างกายของตงฟางเจ๋อที่ล้มลง แล้วพาไปนอนลงบนเตียงอีกครั้ง จากนั้นก็สกัดจุดไป่ฮุ่ย[1]ของเขา น่าจะทำให้เขาหลับไปอีกหลายชั่วยาม นางหันไปกล่าวกับองครักษ์ทั้งสามว่า “รีบไปเตรียมรถ ข้าจะไปส่งพวกเจ้าออกจากเมืองด้วยตนเอง ต้องส่งเขากลับเมืองหลวงแคว้นเฉิงอย่างปลอดภัยให้ได้!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ทั้งสามรับคำแล้วจากไป
สายตาของซูหลีจับจ้องอยู่บนดวงหน้าหล่อเหลาที่กำลังหลับใหล จากกันครั้งนี้ ไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกเมื่อใด นางโน้มตัวเข้าไปใกล้ จุมพิตบนกลีบปากเขาเบาๆ ลึกๆ ในใจอาลัยอาวรณ์สุดแสน แต่กลับจำต้องตัดใจพลัดพราก
ยามพลบค่ำ รถม้าสีดำเรียบหรูคันหนึ่งเคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวงแคว้นติ้งอย่างรวดเร็ว และค่อยๆ หายลับไปจากครรลองสายตาของซูหลี…
วันต่อมา ซูหลีตรงไปยังที่พักของเซี่ยหมิงหยาง ในห้องโถงใหญ่ถูกจัดให้เป็นห้องโถงไว้อาลัยเล็กๆ เซี่ยอวิ๋นเซวียนสวมชุดไว้อาลัยที่ทำจากสายป่าน ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าโศก กำลังนั่งคุกเข่าเผากระดาษอยู่ตรงหน้าป้ายวิญญาณ ซูหลีเดินเข้าไปจุดธูปไหว้ศพสามดอก จากนั้นก็หันไปถามเซี่ยอวิ๋นเซวียน “ทุกอย่างกลายเป็นเช่นนี้ ท่านสำนึกผิดบ้างหรือไม่ หากไม่ใช่เพราะความวู่วามของท่าน บางทีอาจารย์ลุงของท่านอาจไม่ต้องตาย ใครเป็นผู้บอกท่านกันแน่ ว่าเมื่อวานฮ่องเต้แคว้นเฉิงจะทำการขับพิษ?”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนชะงักงันเล็กน้อย เขาค่อยๆ หันหน้าไปอีกทาง คล้ายไม่อยากพูดอะไร
ซูหลีกล่าวด้วยสีหน้าตึงเครียด “ถึงแม้อาจารย์ลุงของท่านถูกฮ่องเต้แคว้นเฉิงสังหารโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่คนที่แอบบอกความลับกับท่านต่างหากคือคนที่มีเจตนาร้ายอย่างแท้จริง หากท่านยังไม่ยอมเข้าใจอีก อาจารย์ลุงของท่านคงนอนตายตาไม่หลับ!”
“อาจารย์ลุงไม่อยู่แล้ว ตอนนี้ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์แล้ว” เซี่ยอวิ๋นเซวียนมองป้ายวิญญาณด้วยใบหน้าอาบน้ำตา เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด “ข้าเพียงนึกแค้นที่ตนเองมีวรยุทธ์อ่อนแอ จึงมิอาจสังหารปิศาจตนนั้นได้”
“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วท่านยังดื้อดึงไม่ยอมรับผิดอีกหรือ?” ซูหลีก้าวเท้ามาข้างหน้าด้วยความร้อนใจ
เซี่ยอวิ๋นเซวียนพลันกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “ในสายตาผู้น้อยเซี่ย องค์หญิงก็ไม่ต่างกันเลยมิใช่หรือ?”
ซูหลีขมวดคิ้ว ถามด้วยความสงสัย “ท่านหมายความว่าเช่นไร?”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนค่อยๆ ลุกขึ้นยืน จ้องหน้านางในระดับสายตาเดียวกัน กล่าวด้วยใบหน้าสับสนว่า “ศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกของผู้น้อยเซี่ยก็คือคนรักขององค์หญิง องค์หญิงมั่นใจได้เช่นไรว่าคนที่บอกความลับกับผู้น้อยเซี่ยมีเจตนาร้ายจริงๆ? องค์หญิงกับกระหม่อมมีจุดยืนไม่เหมือนกัน องค์หญิงมีคนที่อยากปกป้อง กระหม่อมก็มีเหมือนกัน! หากองค์หญิงไม่พอพระทัยที่ผู้น้อยเซี่ยลอบสังหารฮ่องเต้แคว้นเฉิง เช่นนั้นก็จับกุมกระหม่อมเสีย!” เอ่ยจบ เขาก็ค่อยๆ ยกสองมือขึ้น ใบหน้ายังคงแข็งกร้าวไม่ยอมอ่อนข้อ
ซูหลีนึกไม่ถึงว่าเขาจะมีทิฐิสูงถึงเพียงนี้ หัวใจพลันจมดิ่งสู่ก้นเหว นางผงะถอยหลังไปทีละก้าวๆ รู้ดีว่าตอนนี้ยังไม่อาจเกลี้ยกล่อมเซี่ยอวิ๋นเซวียนได้ นางค่อยๆ ล้วงลูกธนูที่ทำจากเหล็กกล้าออกมาจากแขนเสื้อ ซึ่งเป็นลูกธนูที่ทำให้ตงฟางเจ๋อได้รับบาดเจ็บเมื่อวาน
เซี่ยอวิ๋นเซวียนหน้าเปลี่ยนสี มองดูซูหลีวางลูกธนูดอกนั้นไว้หน้าป้ายวิญญาณเซี่ยหมิงหยาง อดกำหมัดแน่นไม่ได้
ใบหน้าของซูหลีตึงเครียด นางกล่าวด้วยน้ำเสียงผิดหวังว่า “ถึงแม้ข้ากับคุณชายเซี่ยเคยพบหน้ากันเพียงไม่กี่หน แต่กลับรู้สึกว่าท่านเป็นคนดีรู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดีมาโดยตลอด แต่วาจาและการกระทำของท่านในวันนี้…ทำให้ข้าผิดหวังมาก”
ดวงตาของเซี่ยอวิ๋นเซวียนฉายแววสับสนและเจ็บปวด ร่างกายเขาสั่นเทาเล็กน้อย เบือนหน้าหนีไม่ยอมสบตานาง ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าแผ่วเบาก้าวออกจากประตูไป แต่ก็หยุดเดินอีกครั้ง
เสียงถอนหายใจของซูหลีดังมาจากข้างหลัง “ท่านเชี่ยวชาญเรื่องอาวุธลับและการสร้างกลไก มีความคิดและจิตใจที่บริสุทธิ์จึงวู่วามง่าย หวังว่าในอนาคตจะสามารถรักษาความสุขุมเยือกเย็น รอบคอบและระมัดระวัง ไม่ปล่อยให้ผู้มีเจตนาร้ายหลอกใช้อีก เพราะถึงอย่างไร ยามนี้สายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของสำนักกระบี่เหล็กก็เหลือเพียงคุณชายเซี่ยแล้ว ท่าน…ดูแลตนเองให้ดีก็แล้วกัน”
เสียงฝีเท้าค่อยๆ ห่างออกไป สายลมพัดเข้ามาในประตู พัดเอากระดาษเงินที่ยังไหม้ไม่หมดบนพื้นให้ปลิวว่อน ดั่งหิมะที่โปรยปรายในเดือนสิบสอง
เซี่ยอวิ๋นเซวียนยืนอยู่กลางห้องโถงไว้อาลัย พลันรู้สึกหนาวเหน็บไปถึงกระดูก
ซูหลีเดินออกจากจวนเซี่ย เจียงหยวนที่ยืนรออยู่ข้างนอกรีบเดินเข้ามา “เจ้าสำนัก สืบได้หรือไม่ว่าเป็นฝีมือของใคร?”
ซูหลีส่ายหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักใจ “เขาไม่ยอมพูด”
เจียงหยวนขมวดคิ้ว กล่าวว่า “คนที่ทำให้เซี่ยอวิ๋นเซวียนปิดปากสนิทได้ถึงเพียงนี้ จะต้องมีสายสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับเขาอย่างแน่นอน”
ซูหลีนิ่งคิด หลังจากเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงในสำนักกระบี่เหล็ก เซี่ยอวิ๋นเซวียนก็ใช้ชีวิตหลบซ่อนมาโดยตลอด ระหกระเหินมาจนถึงแคว้นติ้งจึงค่อยลงหลักปักฐานอย่างมั่นคง เขาต้องรู้จักคนผู้นั้นในแคว้นติ้งอย่างแน่นอน…สายตานางพลันสะดุดเล็กน้อย “เจียงหยวน รีบส่งคนไปสืบเดี๋ยวนี้ ตั้งแต่ออกจากแคว้นเฉิง โดยเฉพาะหลังจากมาถึงแคว้นติ้ง เซี่ยอวิ๋นเซวียนติดต่อกับผู้ใดบ้าง!”
“ขอรับ!” เจียงหยวนรับคำแล้วจากไปทันที
โรงหล่อระเบิด เซี่ยหมิงหยางตาย การร่วมมือระหว่างสองแคว้นจบลงด้วยความล้มเหลวในที่สุด ข่าวร้ายที่เกิดขึ้นติดต่อกันทำให้อารมณ์ของฮ่องเต้แคว้นติ้งขึ้นลงไม่มั่นคง ไม่นานก็ล้มป่วย อาการป่วยครั้งนี้ร้ายแรงนัก ฮ่องเต้แคว้นติ้งจมสู่ห้วงหลับใหล สีหน้าซีดเหลืองไปทั้งดวง ดื่มยารักษาไปมากมายก็ไม่ดีขึ้น หมอหลวงในวังยืนเฝ้าอยู่นอกตำหนักบรรทมทั้งคืน ใบหน้าอิดโรย ต่างก็ไม่รู้จะรักษาด้วยวิธีใดแล้ว
ซูหลีรีบเรียกเจียงหยวนเข้าวัง เพื่อรักษาอาการป่วยให้ฮ่องเต้แคว้นติ้ง
เจียงหยวนตรวจชีพจร เงียบงันเนิ่นนาน แล้วจึงค่อยดึงมือกลับ
ซูหลีรีบถาม “เป็นอย่างไรบ้าง?”
หลางฉ่างกับฮองเฮาต่างมองเขาด้วยสีหน้าคาดหวังโดยมิได้นัดหมาย
เจียงหยวนส่ายหน้าช้าๆ กล่าวด้วยสีหน้าหนักใจ “พระวรกายของฝ่าบาทบาดเจ็บมานาน อาศัยการรักษาโดยใช้ยาวิเศษ และทำใจให้สงบ จึงชะลออาการมาได้จนถึงตอนนี้ ครั้งนี้ กระหม่อมเกรงว่า…คงหมดหนทางรักษาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ซูหลีตะลึงงัน
ฮองเฮาน้ำตาไหลพราก ขานเรียกด้วยความเศร้าโศก “ฝ่าบาท!” ร่างกายซวนเซ
“เสด็จแม่ระวังพ่ะย่ะค่ะ!” หลางฉ่างรีบเข้าไปประคองฮองเฮาที่อยู่ข้างหลัง นางกลับดันมือเขาออก แล้วเดินซวนเซมาข้างเตียง มองฮ่องเต้แคว้นติ้งด้วยสายตาเหม่อลอย
หลางฉ่างกล่าวด้วยสีหน้าเจ็บปวด “ไร้หนทางรักษาแล้วจริงๆ หรือ?!”
เจียงหยวนคล้ายนึกอะไรบางอย่างออก สายตาเป็นประกายเล็กน้อย “บางทีอาจมีบางสิ่ง ที่สามารถบรรเทาอาการของฝ่าบาท และประวิงเวลาออกไปได้อีกสักระยะ”
—————————————————————————–
[1] จุดไป่ฮุ่ย หมายถึง จุดรวบรวมเส้นลมปราณทั้งหลาย เป็นจุดที่มีเลือดและพลังมารวมกันอยู่เยอะ