ภาคแคว้นติ้ง บทที่ 50 ซูหลียอมแต่งงาน (1)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

ซูหลีกับหลางฉ่างตะโกนขึ้นมาพร้อมกัน “อะไรหรือ?”

“เกล็ดเงือก” เจียงหยวนเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ในตำราแพทย์โบราณ เกล็ดเงือกสามารถรักษาได้สารพัดโรค เป็นยาอายุวัฒนะ เพียงแต่ กระหม่อมเวียนว่ายอยู่ในยุทธภพมานาน ก็ยังไม่เคยพบเห็นสักครั้ง…ไม่รู้ว่าเกล็ดเงือกนี้มีอยู่จริงหรือไม่…”

ประกายยินดีในดวงตาของซูหลีหมองลงหลายส่วน ไม่เคยพบเห็น ก็หมายความว่าเกล็ดเงือกอาจเป็นเพียงแค่ตำนานเล่าอ้างเรื่องหนึ่งเท่านั้น

หลางฉ่างขมวดคิ้ว สายตากลับหนักแน่น รีบเดินออกจากตำหนักบรรทม แล้วตะโกนเสียงดัง “กู้เซี่ยงเทียน! รีบส่งคนออกจากวังไปตามหาเกล็ดเงือกเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าต้องข้ามน้ำข้ามทะเล ขึ้นสวรรค์ลงนรก ก็ต้องหากลับมาให้ได้!”

กู้เซี่ยงเทียนรับคำแล้วรีบจากไปทันที บนขั้นบันไดของตำหนักบรรทม เซียงซืออวี่ค่อยๆ ก้าวขึ้นมา

หลางฉ่างชะงักงันเล็กน้อย “สหายเซียงเข้าวังมามีธุระใดหรือ?”

เซียงซืออวี่เอ่ยเสียงเบา “กระหม่อมได้ยินมาว่าฝ่าบาทประชวรหนัก จึงตั้งใจมาเยี่ยม” เขาทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป มองเข้ามาด้านในด้วยสายตาลังเล

หลางฉ่างกล่าวด้วยใบหน้าเศร้าหมอง “ขอบคุณสหายเซียงที่เป็นห่วง อาการประชวรของเสด็จพ่อ…”

เซียงซืออวี่ถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวว่า “กระหม่อมมีโรคติดตัวมาตั้งแต่เด็ก ผ่านความลำบากมามากมายกว่าจะมีวันนี้ได้ ฝ่าบาทเป็นคนดีสวรรค์ย่อมคุ้มครอง พระองค์จะต้องดีขึ้นแน่พ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาทอย่าทรงกังวลไปเลย”

หลางฉ่างเอ่ยอย่างปวดใจ “ขอให้เป็นดังท่านว่า ในเมื่อมาแล้ว ก็เชิญตามข้าเข้าไปเยี่ยมเสด็จพ่อข้างในเถิด”

เซียงซืออวี่พยักหน้า จากนั้นก็เดินตามหลางฉ่างเข้าไปข้างใน

ฮองเฮานั่งอยู่ด้านหน้าเตียงมังกร ใบหน้าเจ็บปวดไร้ที่พึ่ง แอบเช็ดน้ำตาเงียบๆ ซูหลีที่ยืนนิ่งอยู่ด้านหลังนางก็มีสีหน้าเศร้าหมองไม่ต่างกัน

หลางฉ่างพยายามข่มกลั้นความเศร้า ฝืนยิ้ม แล้วเดินเข้าไปปลอบใจฮองเฮาว่า “เสด็จแม่อย่าทรงกังวลนักเลยพ่ะย่ะค่ะ ลูกส่งคนออกไปตามหาเกล็ดเงือกแล้ว ไม่นานก็คงได้เรื่อง หลายวันนี้เสด็จแม่ก็ทรงเหนื่อยมากแล้ว กลับไปพักก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ ลูกกับฉางเล่อจะอยู่เฝ้าเสด็จพ่อเอง หากมีอะไรลูกจะให้คนไปทูลเสด็จแม่ทันทีแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”

ครั้นได้ยินคำว่า ‘เกล็ดเงือก’ เซียงซืออวี่หน้าเปลี่ยนสี เขาหันไปมองซูหลี นางมองบิดาที่นอนอยู่บนเตียงมังกร ใบหน้าอมทุกข์ หัวใจของเซียงซืออวี่สั่นไหว ขยับปากเล็กน้อย แต่กลับไม่พูดอะไร

ฮองเฮาน้ำตาไหลพราก กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด “ฉ่างเอ๋อร์ ร่างกายของเสด็จพ่อเจ้าเป็นเช่นไร แม่รู้ดีแก่ใจ หากฝ่าบาท…แม่เองก็คง…” นางหยุดพูดไป หัวใจเจ็บปวด แทบพูดต่อไม่ไหว นางพักหายใจครู่หนึ่ง แล้วกล่าวต่ออีกว่า “ยามนี้ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเสด็จพ่อเจ้า ก็คือได้เห็นเจ้ากับฉางเล่อเป็นฝั่งเป็นฝา แตกกิ่งก้านสาขาเพื่อบ้านเมืองของเราด้วยพระเนตรตนเอง ใช่ ใช่แล้ว! เรื่องการแต่งงานของเจ้ากับหมานเอ๋อร์ไม่ต้องรอให้ถึงสามเดือน รีบจัดเถิด จัดงานมงคลขจัดเคราะห์ให้เสด็จพ่อเจ้า ให้เขาได้อุ้มหลานเร็วๆ หากราชวงศ์มีผู้สืบทอด ฝ่าบาทจะต้องดีพระทัยแน่นอน ไม่แน่อาการประชวรอาจหายดีก็เป็นได้!” พูดถึงประโยคสุดท้าย นางก็จับมือหลางฉ่าง เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวร้องไห้ กล่าววาจาละล่ำละลัก คล้ายระงับอารมณ์ไม่ค่อยอยู่

“เสด็จแม่โปรดวางพระทัย ลูกจะไปจัดการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ!” หลางฉ่างรีบรับปาก ในแววตาเจ็บปวดสะท้อนความเป็นห่วงอย่างปิดไม่มิด

ซูหลีเรียกจี้ฉิงให้เข้ามาประคองฮองเฮา แล้วหันไปกล่าวกับหลางฉ่างว่า “เสด็จพี่ไปอยู่เป็นเพื่อนเสด็จแม่เถิดเพคะ หม่อมฉันจะอยู่กับเสด็จพ่อเอง”

หลางฉ่างมองฮ่องเต้แคว้นติ้งแวบหนึ่ง ทำได้เพียงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ข้าจะไปส่งเสด็จแม่กลับตำหนักก่อน อีกประเดี๋ยวก็มา”

ซูหลีนั่งลงด้วยใบหน้าเหม่อลอย นางกุมมือที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงของฮ่องเต้แคว้นติ้ง น้ำตาไหลรินออกจากดวงตาหงส์เงียบๆ

เซียงซืออวี่ก้าวเท้าเข้ามา ขานเรียกนางเสียงเบา “ฉางเล่อ!”

ซูหลีหันกลับไป ดวงตาที่รื้นไปด้วยน้ำตาแห่งความโศกเศร้า สบเข้ากับสายตาตกใจและห่วงใยของเซียงซืออวี่พอดี นางสูดหายใจลึกๆ พยายามสงบอารมณ์ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ท่านมาแล้วหรือ?”

เซียงซืออวี่กล่าวด้วยสีหน้าสับสน “อาการประชวรของฝ่าบาท มีเพียงเกล็ดเงือกที่ใช้รักษาได้เท่านั้นหรือ?”

ซูหลีพยักหน้าอย่างทุกข์ใจ “เสด็จพ่อประชวรหนักจนเกินเยียวยาแล้ว มีเพียงเกล็ดเงือกเท่านั้นที่จะสามารถต่อชีวิตได้ นึกไม่ถึงข้ากับเสด็จพ่อจากกันนานถึงสิบเก้าปี เพิ่งได้กลับมาอยู่ด้วยกันก็ต้องเผชิญหน้ากับการจากลาอย่างไม่มีวันหวนกลับอีก ข้า…ข้ารู้แต่แรกแล้วว่าเขาสุขภาพไม่ดี แต่ข้านึกว่าตนเองจะรับได้…” พูดมาถึงตรงนี้ นางก็ปวดใจ น้ำตาไหลพราก สะอื้นจนพูดต่อไม่ไหว

หยาดน้ำตาใสๆ ที่ไหลรินออกจากนัยน์ตางามหยดแล้วหยดเล่า พาให้เซียงซืออวี่เจ็บปวดรวดร้าวจนยากจะทานทน และไม่อาจหายใจ เขาหมายจะเดินเข้าไปปลอบใจนาง แต่กลับเห็นเปลือกตาของฮ่องเต้ที่นอนอยู่บนเตียงมังกรขยับเล็กน้อย

เจียงหยวนร้อง “ฝ่าบาททรงฟื้นแล้ว!”

ซูหลีตกตะลึง ขานเรียกด้วยความดีใจ “เสด็จพ่อ!”

ฮ่องเต้แคว้นติ้งค่อยๆ ลืมตาขึ้น ครั้นเห็นธิดาอันเป็นที่รักน้ำตาอาบหน้า สีหน้าโศกเศร้า ก็พลันรู้สึกปวดใจ อยากยกมือเช็ดคราบน้ำตาให้นาง แต่ร่างกายกลับไร้เรี่ยวแรงจนยกมือไม่ขึ้น เขายิ้มอย่างอิดโรย กล่าวว่า “ฉางเล่อ อย่าร้อง…”

น้ำตาของซูหลีไหลหนักกว่าเดิม นางพยักหน้า กล่าวว่า “เสด็จพ่อ เสด็จพ่อไม่ต้องตรัสอะไร พักผ่อนมากๆ ไม่นานก็จะดีขึ้นเองเพคะ!”

ฮ่องเต้แคว้นติ้งส่ายหน้าเบาๆ กล่าวอย่างแช่มช้า “พ่อป่วยมานานหลายปี ผ่านพ้นวัยที่รู้ชะตาชีวิต ปล่อยวางเรื่องความตายได้นานแล้ว เพียงแต่…” เขามองหน้าซูหลี สายตาอาลัยอาวรณ์ “…พ่อไม่อยากจากเจ้าไปเลย! ฉางเล่อ พ่อ พ่อยังมีความปรารถนาสุดท้าย”

ซูหลีกุมมือเขาแน่นๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น “เสด็จพ่อบอกลูกมาเลยเพคะ ขอเพียงฉางเล่อทำได้ จะต้องทำให้ความปรารถนาของเสด็จพ่อเป็นจริงแน่นอน”

ฮ่องเต้แคว้นติ้งหอบหายใจ หันไปมองเซียงซืออวี่ที่ยืนอยู่ข้างหลัง “เจ้า มานี่”

เซียงซืออวี่ชะงักงัน รีบเดินเข้ามาตรงหน้าเตียงมังกร แล้วกุมมืออีกข้างของเขา “ฝ่าบาท!”

ฮ่องเต้แคว้นติ้งพยายามรวบรวมเรี่ยวแรง แล้วดึงมือของทั้งสองมากุมกันไว้ จากนั้นก็หันไปกล่าวกับซูหลีอย่างยากลำบาก “ตงฟางเจ๋อจิตใจยากแท้หยั่งถึง เคยทำร้ายเจ้ามามาก แคว้นเฉิงอยู่ห่างไกลพันลี้ ข้า…ไม่อาจวางใจ! ถึงแม้คุณชายเซียงไม่ได้มีชาติกำเนิดสูงส่ง แต่กลับเป็นคนจิตใจดี คุ้มค่าที่จะฝากฝังชีวิตไว้ด้วย ฉางเล่อ หากเจ้ารับเขาเป็นราชบุตรเขยได้ พ่อคงจากโลกนี้ไปได้อย่างสงบ…”

ซูหลีตะลึงงัน หันไปมองเซียงซืออวี่ที่อยู่ข้างกาย เขาเองก็กำลังมองหน้านางเช่นกัน ในส่วนลึกของสายตากลับมีความหวังแฝงอยู่รางๆ ซูหลีตกตะลึง รีบกล่าวว่า “เสด็จพ่อ! ฉางเล่อไม่อยากแต่งงานเร็วขนาดนี้ ฉางเล่อยังอยากอยู่ข้างกายเสด็จพ่อไปนานๆ…”

ฮ่องเต้แคว้นติ้งส่ายหน้า แล้วยิ้มอย่างขมขื่น “พ่อไม่มีเวลาอีกแล้ว…” พูดจบ จู่ๆ เขาก็ไออย่างหนัก เขาไอไม่หยุด ไม่อาจควบคุมตนเองได้ ร่างกายขดงอเป็นวงกลม ลมหายใจติดขัด แทบสิ้นสติ ซูหลีตะโกนเรียกด้วยความตกใจ “เสด็จพ่อ! เสด็จพ่ออย่าทำให้ฉางเล่อตกใจสิเพคะ! เจียงหยวน! เจียงหยวนรีบเข้ามาเร็ว!”

เจียงหยวนที่กำลังปรุงยาอยู่ที่ตำหนักด้านข้างรีบวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วดุจสายลม เขาเข้ามาคว้าข้อมือฮ่องเต้แคว้นติ้งไปจับชีพจร ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “แย่แล้ว! ชีพจรอันตรายมาก! เกิดเรื่องใดขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เขาเอื้อมมือไปตบหลังฮ่องเต้แคว้นติ้ง สกัดกั้นจุดลมปราณทั้งสี่ ฮ่องเต้แคว้นติ้งสูดหายใจลึกๆ ในที่สุดลมหายใจก็ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ

ซูหลีประคองฮ่องเต้แคว้นติ้งอย่างร้อนใจทำอะไรไม่ถูก นางจ้องหน้าเจียงหยวนแล้วถาม “เกิดอะไรขึ้น? เป็นอย่างไรบ้าง?”

เจียงหยวนมองนางด้วยสีหน้าสับสน ก่อนจะกล่าวเสียงเบาว่า “ฝ่าบาทถูกกระตุ้นด้วยเรื่องใดหรือพ่ะย่ะค่ะ? อารมณ์ถึงได้ไม่มั่นคงถึงเพียงนี้? พระวรกายของพระองค์อ่อนแอมาก ต้องระวังให้มาก…”

ซูหลีตะลึงงัน หันไปมองฮ่องเต้แคว้นติ้งที่กำลังหายใจรวยริน นางกุมมือเขาอย่างสั่นเทา น้ำตาไหลรินเป็นสาย “เสด็จพ่อ! ลูกรับปากเพคะ! ขอเพียงเสด็จพ่อแข็งแรงปลอดภัย ฉางเล่อยอมฟังคำท่านทุกอย่าง! เสด็จพ่ออยากให้ฉางเล่อแต่งงานกับใคร ฉางเล่อก็จะแต่งกับเขา! เสด็จพ่อ…”

เซียงซืออวี่มองซูหลีอย่างตกตะลึง สายตาตื่นตะลึงพรึงเพริด เพื่อทำให้บิดามีชีวิตต่อไปได้ นางกลับไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นแล้ว!

————————————————————–