ดวงตาที่หรี่เล็กของฮ่องเต้แคว้นติ้งพลันลืมขึ้นช้าๆ สายตาที่มองซูหลีปรากฏแววปลาบปลื้มในที่สุด
ซูหลีเช็ดน้ำตา ร้องด้วยความดีใจ “เสด็จพ่อ เสด็จพ่อโปรดวางพระทัย ฉางเล่อจะต้องหาทางรักษาท่านให้ได้ เจียงหยวน…”
เจียงหยวนรีบหยิบเข็มเงินขึ้นมา และตรวจชีพจรของฮ่องเต้แคว้นติ้งอีกครั้ง
เซียงซืออวี่มองซูหลีเนิ่นนาน จู่ๆ ประกายเด็ดเดี่ยวก็พาดผ่านดวงตาเขา เขาไม่พูดอะไรสักคำ จู่ๆ ก็หันหลังเดินจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก ซูหลีที่มัวแต่สนใจฮ่องเต้แคว้นติ้ง ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าเขาออกไปเมื่อใด นางปรึกษาหารือกับเจียงหยวนว่าจะทำให้อาการประชวรของฮ่องเต้มั่นคงขึ้นได้อย่างไร
ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น เซียงซืออวี่กลับมาที่ตำหนักบรรทมอีกครั้ง ฮ่องเต้แคว้นติ้งเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้งหลังถูกเจียงหยวนฝังเข็ม
ซูหลีนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง มองบิดาที่ไม่รู้จะฟื้นขึ้นมาอีกเมื่อใดด้วยสายตาเหม่อลอย ภาพที่นางอยู่กับฮ่องเต้แคว้นติ้งตั้งแต่เข้าวังมาผุดขึ้นมาในสมองฉากแล้วฉากเล่า ลึกๆ ในใจนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว กลัวว่าเขาจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก เหมือนมารดานาง ที่จากนางไปตลอดกาล และไม่อาจเรียกหานางได้อีก
ซูหลีปวดใจ นึกเสียใจที่ไม่มาหาเขาที่แคว้นติ้งให้เร็วกว่านี้! นางฟุบหน้าลงข้างเตียง น้ำตาไหลรินดั่งสายน้ำ
เซียงซืออวี่เดินมายืนข้างกายนาง หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง เห็นได้ชัดว่าเขาวิ่งมาด้วยความเร็วตลอดทาง เขาลูบหัวไหล่ที่กำลังสั่นเทาของนาง แล้วขานเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฉางเล่อ!”
ซูหลีเงยหน้า ดวงตาที่รื้นไปด้วยน้ำตามองไปที่กล่องใบหนึ่งในมือเขา เขายกมือนางขึ้นช้าๆ แล้ววางกล่องใบนั้นลงกลางฝ่ามือนางด้วยสีหน้าหนักแน่น กล่าวพลางหอบหายใจว่า “สิ่งนี้ ให้เจ้า!”
ซูหลีเปิดฝากล่องออกด้วยความสงสัย กลิ่นคาวจางๆ ลอยออกมา ด้านในกล่องกลับมีวัตถุรูปวงรีที่คล้ายเกล็ดปลาวางอยู่แผ่นหนึ่ง ขนาดเท่าฝ่ามือคน ภายใต้แสงไฟส่องสะท้อนแสงสีขาว นางคล้ายเดาได้รางๆ ว่าสิ่งนี้คืออะไร ได้แต่พึมพำเสียงเบาอย่างไม่อยากเชื่อ “นี่ นี่มัน…”
เซียงซืออวี่เริ่มหายใจเป็นปกติ เขาหอบหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยเร่งเร้าว่า “นี่ก็คือเกล็ดเงือก รีบนำไปปรุงยาให้ฝ่าบาทเถิด!”
ของล้ำค่าหายากที่ใฝ่ฝันหาพลันตกลงมาจากฟากฟ้า ซูหลีแทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง นางลุกขึ้นยืนด้วยความตกตะลึง เพ่งมองเกล็ดเงือกในมือตนเองอีกครั้ง แล้วถามราวกับฝันไปว่า “ของสิ่งนี้…ซืออวี่ได้แต่ใดมา?”
เซียงซืออวี่แย้มยิ้ม “ข้าร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก ท่านพ่อกับท่านแม่กลัวว่าข้าจะอายุไม่ยืน ได้ยินมาว่าสิ่งนี้สามารถต่ออายุได้ จึงตามหาอยู่นานกว่าจะได้มาหนึ่งแผ่น”
ซูหลีกล่าวอย่างตกตะลึง “เจ้ามอบสิ่งนี้ให้เสด็จพ่อ เช่นนั้นอาการป่วยของตนเอง…”
สายตาของเซียงซืออวี่สั่นไหวเล็กน้อย เขาเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ข้า…ไม่เป็นไร ข้ารักษาตัวมานานหลายปี ร่างกายแข็งแรงขึ้นมากแล้ว มิเช่นนั้นจะเก็บเกล็ดเงือกไว้จนป่านนี้ทำไมเล่า? ฝ่าบาททรงเมตตาข้ามาก เซียงซืออวี่อยากตอบแทนเสมอมา…”
สายตาของเขาในยามนี้อบอุ่นอ่อนโยน ใบหน้าฉายแววอิ่มเอมใจรางๆ ราวกับคนที่กำลังล้มป่วยก็คือบิดาบังเกิดเกล้าของเขา ซูหลีตื้นตันใจ ขยับปากเล็กน้อย แต่กลับพูดอะไรไม่ออก นางกำกล่องในมือแน่น มองบุรุษตรงหน้าอย่างเหม่อลอย
เซียงซืออวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อย่ามัวเสียเวลาอีกเลย รีบไปปรุงยาให้ฝ่าบาทเถิด! อีกสองสามวันข้าค่อยมาเยี่ยมฝ่าบาทอีกครั้ง พอถึงตอนนั้นพระองค์จะต้องมีพระพลานามัยแข็งแรงแน่นอน”
ซูหลีจ้องตาเขาแน่นิ่ง พลันนั้นก็แย้มยิ้มงดงาม รอยยิ้มของนางเต็มไปด้วยความจริงใจและซาบซึ้ง พาให้หัวใจของเซียงซืออวี่หวั่นไหวไปทั้งดวง เพื่อรอยยิ้มนี้ แม้ต้องแลกด้วยอะไรเขาก็ไม่เสียใจ กระทั่งกลับจวนมาเอนกายลงบนเตียง เขาก็ยังคงหวนนึกถึงน้ำตาและรอยยิ้มของนาง ค่ำคืนนี้ เขาหลับสนิทและผ่อนคลายมาก แสงสลัวข้างหมอน ทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ในความฝันอันหอมหวานที่ไม่อยากตื่นขึ้นมาอีกตลอดกาล
เจียงหยวนใช้เกล็ดเงือกปรุงยาลูกกลอนตามตำราแพทย์โบราณโดยไม่ได้หลับไม่ได้นอน หลังให้ฮ่องเต้แคว้นติ้งกิน ชีพจรก็มั่นคงขึ้นมาก อาการดีขึ้นเรื่อยๆ ครั้นถึงวันที่สาม ฮ่องเต้แคว้นติ้งก็ฟื้นได้สติ ทุกคนยินดีปรีดายิ่ง เกล็ดเงือกนี้เป็นยาวิเศษสมดังคำร่ำลือจริงๆ!
ฮ่องเต้แคว้นติ้งนั่งพิงหมอนตรงหัวเตียง มองดูฮองเฮาที่นั่งอยู่ตรงขอบเตียงด้วยใบหน้าซูบซีด รวมถึงบุตรธิดาทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างหลังด้วยสายตาเป็นห่วง พลันรู้สึกแสบจมูก กล่าวพร้อมดวงตารื้นน้ำตา “ข้านึกว่า จะไม่ได้พบหน้าพวกเจ้าอีกแล้ว นึกไม่ถึงกลับฟื้นขึ้นมาจากความตายอีกครั้ง…”
ฮองเฮาเอ่ยพร้อมกับยิ้มทั้งน้ำตา “เพราะฝ่าบาททรงรักราษฎรดุจลูกหลาน มีจิตใจเมตตาอันเป็นสิริมงคล จึงทำให้อายุมั่นขวัญยืนอย่างไรเล่าเพคะ”
หลางฉ่างเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ที่อาการประชวรของเสด็จพ่อดีขึ้น ล้วนต้องขอบคุณคุณชายเซียง!”
ฮ่องเต้แคว้นติ้งชะงักงัน “คุณชายเซียงหรือ?!”
ซูหลียิ้ม แล้วกล่าวว่า “ยาของเสด็จพ่อจำต้องใช้เกล็ดเงือกเป็นส่วนผสม ของสิ่งนี้เป็นของล้ำค่าหายาก แผ่นดินกว้างใหญ่ ไม่รู้ว่าจะไปหามาได้จากที่ใด บังเอิญคุณชายเซียงมียาวิเศษนี้ในครอบครองพอดี จึงมอบให้เสด็จพ่อ…”
หลางฉ่างเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “เขาป่วยหนักตั้งแต่เด็ก กว่าจะหายาวิเศษนี้มาได้ก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย นึกไม่ถึงว่าเขาจะยื่นมือช่วยเหลือ”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…” สายตาของฮ่องเต้คล้ายกำลังครุ่นคิด เขาอดกล่าวชมไม่ได้ “ข้ามองไม่ผิดดังคาด คนผู้นี้ไม่หวังชื่อเสียงลาภยศ ให้ความสำคัญกับความรู้สึก ยื่นมือช่วยเหลือสมาชิกในราชวงศ์เราในยามคับขันครั้งแล้วครั้งเล่า ช่างเป็นสุภาพบุรุษที่มีคุณธรรมอย่างแท้จริง ถือเป็นดาวนำโชคของราชวงศ์ติ้งของเรา!”
ฮองเฮารีบกล่าว “ฝ่าบาทเพียงพักฟื้นให้ดี รอให้คุณชายเซียงมาเยี่ยมแล้วค่อยขอบคุณเขาก็ได้แล้วเพคะ” นางหันไปมองหลางฉ่าง แล้วยิ้มพลางกล่าวว่า “งานแต่งของฉ่างเอ๋อร์จะจัดขึ้นในอีกเจ็ดวัน เดิมทีต้องการให้ฝ่าบาทดีพระทัย ยามนี้เมื่อฝ่าบาทปลอดภัย ก็ถือเป็นเรื่องมงคลสองชั้นเพคะ!”
ฮ่องเต้แคว้นติ้งตะลึงงันเล็กน้อย จากนั้นก็รีบพยักหน้า เอ่ยอย่างปลื้มปีติ “ดี ดีมาก! ถือโอกาสตอนที่ร่างกายข้ายังทนไหว รีบจัดการงานแต่งงานของรัชทายาทให้เรียบร้อย หากวันใดข้า…”
ซูหลีกับหลางฉ่างร้องขึ้นพร้อมกัน “เสด็จพ่อ!”
ฮ่องเต้แคว้นติ้งโบกมือ ยิ้มขมขื่น กล่าวว่า “ร่างกายข้า ข้าย่อมรู้ดี ตอนนี้ก็เพียงอยู่ไปวันๆ เท่านั้น”
ขอบตาซูหลีพลันร้อนผ่าว นางจงใจหยอกเขาให้มีความสุข “เสด็จพ่อห้ามพูดเช่นนี้เด็ดขาดนะเพคะ เสด็จพี่ยังคิดจะมีหลานให้เสด็จพ่อได้อุ้มเร็วๆ พอถึงตอนนั้นเกรงว่าหากมีหลานๆ หลายสิบคนยืนรายล้อม เสด็จพ่อคงไม่รู้จะอุ้มคนไหนก่อนดี!”
หลางฉ่างยกนิ้วมือจิ้มหน้าผากซูหลี หลุดหัวเราะแล้วกล่าวว่า “หลายสิบคน? เจ้าเห็นพี่เป็นอะไร? เห็นพี่ออกลูกเป็นหมูหรืออย่างไร?”
ซูหลีหัวเราะเสียงดังพรืด
ฮองเฮาหัวเราะด้วยความเอือมระอา “โตขนาดนี้แล้ว สองพี่น้องยังเล่นซนเหมือนเด็กอีก จริงๆ เลย…”
เสียงหัวเราะเบิกบานดังไปทั่วตำหนักบรรทม ไม่เหลือเค้าบรรยากาศกดดันก่อนหน้าอีกแม้แต่น้อย
ใบหน้าฮ่องเต้แคว้นติ้งเต็มไปด้วยความเมตตาและรักใคร่ สายตากลับฉายแววกังวลและอาลัยอาวรณ์ เขาถอนหายใจยาวๆ ยกมือแล้วกล่าวว่า “ฉางเล่อ มาหาพ่อ”
ซูหลีหุบรอยยิ้มเล็กน้อย ลึกๆ ในใจเริ่มสังหรณ์ไม่ดี นางเดินไปนั่งข้างกายเขาอย่างว่าง่าย แล้วกุมมือฮ่องเต้แคว้นติ้ง
ยามนี้เสียงขันทีรายงานดังมาจากข้างนอก “ฝ่าบาท คุณชายเซียงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นติ้งพลันแย้มยิ้มด้วยความยินดี “มาได้เวลาพอดี รีบให้เขาเข้ามาเร็ว”
—————————-